เมื่อมู่เฉินลืมตาขึ้น
ลำแสงพร่างพราวสองสายก็พุ่งออกมาจากดวงตา ทะลุผ่านภูเขาหนาทึบยิงออกไปไกล
คลื่นหลิงที่เชี่ยวกรากกวาดหายนะไปทั่วถ้ำ ทำให้ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนราวกับว่ากำลังจะถล่มลง
ความปั่นป่วนนี้กินเวลานานก่อนที่จะค่อยๆ ลดลง ความแวววาวในดวงตาของมู่เฉินก็อ่อนกำลังจนกลับมาเป็นปกติ ทว่าดวงตาของเขากลับดูลึกเกินหยั่ง
เมื่อมองไปที่กำไลเฉียนคุนทั้งสองวงมู่เฉินก็ส่ายหัว เขายังไม่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายได้
แม้จะมีการเตรียมการและใช้เจดีย์พุทธะ แต่ก็ยังค่อนข้างเคี่ยวกรำสำหรับเขาที่จะดูดซับของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดภายในสี่เดือน
แต่โชคดีที่มันถูกดูดซับเข้าสู่ร่างกายทั้งหมดแล้ว ตอนนี้คลื่นหลิงพลุ่งพล่านในเลือดเนื้อแล้วค่อยๆ หลอมรวมเข้าไป
เมื่อไรที่หลอมรวมเข้าอย่างสมบูรณ์ เขาก็จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายได้
“คงอีกไม่นาน”
มู่เฉินรู้สึกได้ว่ากระบวนการนี้จะใช้เวลาไม่นาน ทว่าเขาไม่มีเวลาเหลือเฟือที่จะอยู่ในสมาธิเงียบสงบ เนื่องจากเขาจะพลาดงานชุมนุมนิรันดร์ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้
“ค่อยไปฝึกฝนระหว่างเดินทางแล้วกัน”
มู่เฉินปลอบใจตัวเองแล้วไปปรากฏตัวบนยอดเขา ก่อนที่เขาจะเห็นเงาร่างสองร่างเข้ามาในทิศทางของเขา คนแรกคือจิ่วโยว ส่วนคนที่สองเป็นหญิงสาวสวมชุดสีม่วง เรือนผมของนางปลิวไสวไปตามสายลม ใบหน้าที่งดงามคล้ายกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบมีประกายแวววาวจางๆ ทว่านางมีสีหน้าเย็นชาและม่านตาสีทองคำคู่หนึ่งที่สะท้อนความลึกลับ
“มั่นถัวหลัว?” มู่เฉินอุทานขณะมองไปที่หญิงสาว
ในอดีตร่างของมั่นถัวหลัวเป็นเด็กสาวตัวเล็กจ้อย แต่ตอนนี้นางกลายเป็นหญิงสาวและจากความผันผวนที่อาบไล้บนตัวนาง ชัดว่านางบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้สำเร็จแล้ว
มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินกล่าวว่า “เผ่าแมนดาลาของข้า แต่ไหนแต่ไรก็มีช่วงเวลาการเติบโตที่ยาวนาน ดังนั้นข้าจึงผ่านช่วงวัยเด็กได้หลังจากบรรลุขั้นเทียนจื้อจุน”
มู่เฉินพยักหน้า พยายามกลั้นเสียงหัวเราะไว้ “ก็ดี ไม่งั้นเดี๋ยวคนอื่นก็คิดว่าคนดูแลตำหนักมู่ของเราเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ”
“เจ้ากำลังเยาะเย้ยรูปร่างก่อนหน้าของข้าเรอะ?” มั่นถัวหลัวหรี่ตา
“ไม่กล้า ไม่กล้า” มู่เฉินตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขากำลังจะไม่อยู่ ดังนั้นเลยไม่กล้าสร้างความเดือดร้อนกับมั่นถัวหลัว ถ้านางโมโหขึ้นมาตำหนักมู่คงจะอยู่ในความโกลาหลแน่
มั่นถัวหลัวเค้นเสียงในลำคอพร้อมกับเบนหน้าเหม็นเบื่อหนีจากมู่เฉิน
“ช่วงนี้ความสนใจของมหาพันภพไปอยู่ที่เผ่าหมัวเฮอหมดแล้ว” จิ่วโยวกล่าว
มู่เฉินท่าทางเคร่งเครียดพลางพยักหน้า “เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของร่างมหาเทพนิรันดร์ไง เป็นเรื่องธรรมดาที่จะดึงดูดความสนใจของทุกคน”
นั่นเป็นหนึ่งในร่างมหาเทพปฐมกาลที่ยิ่งใหญ่ในมหาพันภพ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะให้ความสนใจ มากจนแม้แต่ความสนใจของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งยังจดจ่ออยู่ที่สิ่งนี้
“เอ้านี่” จิ่วโยวหยิบม้วนกระดาษออกมาส่งให้มู่เฉิน “นี่คือทำเนียบยอดนิยมของผู้ท้าชิงร่างมหาเทพปฐมกาล ข่าวพวกนี้เจ้าควรรู้ไว้ จะได้เตรียมตัวถูก”
“โอ้?”
มู่เฉินเปิดม้วนกระดาษด้วยความสนใจ ชื่อคุ้นเคยผุดขึ้นเบื้องหน้าสายตาเขาตั้งแต่บรรทัดแรก
อันดับหนึ่ง เผ่าหมัวเฮอ—หมัวเฮอโยว ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดและเป็นน้องชายของประมุขหมัวเฮอเทียน นอกจากนี้ยังมีโอกาสสูงที่เขาจะบรรลุขั้นเซิ่งเป็นคนต่อไปของเผ่า…
“เจ้านั่น…” มู่เฉินหรี่ตา หมัวเฮอโยวสมกับเป็นจอมยุทธ์แท้จริง ตราบใดที่เขาไม่ได้พบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ก็แทบไม่มีใครต่อกรกับเขาได้ ไม่แปลกที่เขาจะอยู่อันดับหนึ่ง
แม้กระทั่งเขาก็ยังไม่คิดที่จะต่อสู้กับหมัวเฮอโยวก่อนที่จะไปถึงขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย
อันดับสอง หอกอสุรา—เยี่ยฉิง ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย”
“เยี่ยฉิง…” เมื่อมองไปที่ชื่อนี้มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่พัดมาปะทะใบหน้า
“เขาเป็นประมุขอันดับสองของหอทะเลตะว้นตก ใช้หอกอสุรากวาดล้างศัตรูที่ขวางหน้า มีข่าวลือว่าเขาผ่านการต่อสู้มาเป็นพันเป็นหมื่นครั้งเพื่อฝึกฝนตัวเอง เขาดุดันประหนึ่งอสูรสงคราม ชื่อเสียงโด่งดังไม่ได้ด้อยไปกว่าหมัวเฮอโยวเลย” จิ่วโยวถอนหายใจ
มู่เฉินพยักหน้ามองไปที่อันดับต่อไป
อันดับสาม 3 ราชันทองวัชระ—ซื่อหลัว ผู้พิทักษ์ใหญ่ของขุมกำลังยอดวิญญาณ ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย
ขุมกำลังยอดวิญญาณก็เป็นขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพเช่นกัน ว่ากันว่าจอมยุทธ์ทุกคนที่นั่นให้ความสำคัญกับการฝึกฝนร่างกาย ดังนั้นซื่อหลัวในฐานะการเป็นผู้พิทักษ์ใหญ่ไม่ธรรมดาแน่
อันดับสี่ ดาบเทวะ—ทั่วป๋าชาง ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย เขาท่องยุทธภพไปทั่วโดยอาศัยดาบประจำตัวและเคยล้างบางสำนักด้วยดาบของเขามาแล้ว
“ไม่มีใครธรรมดาเลย”
เมื่อดูรายชื่อทั้งสี่คน มู่เฉินก็ฉายสีหน้าเคร่งเครียด ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามีมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบอยู่กี่ตัวในโลก ในสี่อันดับแรกเขาเคยได้ยินแต่ชื่อหมัวเฮอโยว อีกสามคนไม่มีข้อมูลเลย แต่ใครจะคิดว่าความสำเร็จของพวกเขาจะยอดเยี่ยมขนาดนี้
เมื่อนึกถึงคู่แข่งเหล่านี้สำหรับร่างมหาเทพนิรันดร์ แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกกดดัน
ทว่าคนอย่างเขาก็ไม่กลัว ดวงตาเขากลับลุกโชนด้วยเปลวไฟ แม้แต่เลือดในร่างกายของเขาก็เริ่มเดือดพล่าน ในเส้นทางของยอดยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยความมานะพยายามและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากการต่อสู้กับคนที่ทรงพลัง…
มู่เฉินนึกคิดไปครู่ก่อนจะมองไปที่รายชื่อต่อพลางอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ยิ้มเบา
อันดับที่ห้าประมุขตำหนักมู่—มู่เฉิน ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง ครั้งหนึ่งเคยไปสร้างวีรกรรมในเฝ่าฝูถู เอาชนะหวงเฉวียนจือที่สระยกเทพ ล่าสุดก็จัดการจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนด้วยตัวคนเดียวเพื่อครอบครองทวีปเทียนหลัว
“รู้สึกหดหู่ใจไหมที่ได้อันดับห้า? ดูเหมือนหลายคนจะคิดว่าเจ้าอ่อนแอกว่าสี่อันดับแรกนะ” มั่นถัวหลัวกอดอกเอ่ยหยอกล้อ
มู่เฉินยิ้มอย่างสบายๆ “พวกเขาทั้งสี่สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองมานานแล้วและทั้งหมดยังอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายอีกด้วย ดังนั้นชื่อเสียงของข้าจึงลดลงตามธรรมชาติเมื่อเทียบกันในห้าคน”
หลังจากหยุดชั่วครู่เขาก็พูดต่อ “แต่ใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้ายก็ต้องลองมาสู้กันก่อน”
ดวงตาของมู่เฉินกะพริบด้วยไฟแห่งการต่อสู้ เขาทำงานหนักเพื่อตามหาร่างมหาเทพนิรันดร์ ดังนั้นไม่ว่าการแข่งขันจะดุเดือดแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางยอมแพ้หรอก
มู่เฉินเก็บม้วนกระดาษไม่ได้สนใจมองเพิ่มเติม ในมุมมองของเขาภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดก็คือสี่อันดับแรก
“ข้าจะไปแล้วนะ”
มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยวและมั่นถัวหลัว การชุมนุมนิรันดร์จะเริ่มในอีกสิบวัน ดังนั้นเขาต้องออกเดินทางทันที ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องตลกร้ายหากเขาไปไม่ทันทั้งที่รอวันนี้มานานแสนนาน
“ต้องรบกวนพวกเจ้าสองคนเรื่องตำหนักมู่ด้วย”
แม้ว่าขั้วอำนาจทั้งหมดในทวีปเทียนหลัวจะยอมสวามิภักดิ์ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยตำหนักมู่ ซึ่งนี่ทำให้เกิดการปะทะกันแน่ ดังนั้นจิ่วโยวและมั่นถัวหลัวจึงต้องอยู่เพื่อจัดการ
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะมอบตำหนักมู่พร้อมกับควบคุมทวีปเทียนหลัวให้กับเจ้าแบบเป็นระบบสมบูรณ์เมื่อเจ้ากลับมา” มั่นถัวหลัวพูดด้วยความมั่นใจ
ในเมื่อหินขวางทางที่ใหญ่ที่สุดถูกมู่เฉินเตะออกไปแล้ว มั่นถัวหลัวก็มั่นใจว่าตนเองจะแก้ไขปัญหาที่เหลือแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้
มู่เฉินคลี่รอยยิ้มไม่ได้อยู่อีกต่อไป ร่างกลายเป็นริ้วแสงหายไป
เมื่อมองไปที่ภาพเงาของมู่เฉิน จิ่วโยวก็มีร่องรอยของความกังวลบนใบหน้า “ไม่รู้ว่าครั้งนี้มู่เฉินจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่…”
นางรับรู้เสมอว่ามู่เฉินใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์
หลังจากไตร่ตรองครู่มั่นถัวหลัวก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง “นี่น่าจะเป็นศึกที่ยากที่สุดในชีวิตของมู่เฉิน ถ้าเขาสามารถผ่านไปได้ ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา ส่วนจะทำให้เป็นจริงได้อย่างไร ก็ต้องดูที่ตัวเขาเองแล้ว”
จิ่วโยวพยักหน้าได้แต่ภาวนาในใจ แม้ว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่สี่อันดับแรกก็ไม่ใช่ธรรมดา พวกเขาดุร้ายยิ่งกว่าหวงเฉวียนจือเสียอีก
เมื่อเวลาผ่านไป
บรรยากาศในมหาพันภพก็ร้อนระอุจากงานชุมนุมนิรันดร์ ขั้วอำนาจต่างๆ เริ่มมารวมกันที่เผ่าหมัวเฮอ เนื่องจากมีข่าวลือว่าร่างมหาเทพนิรันดร์ได้แสดงปฏิกิริยาจะเลือกผู้ครอบครองแล้ว
เมื่อข่าวลือสะพัดออกไปก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที หรือว่าในที่สุดร่างมหาเทพนิรันดร์จะเลือกเจ้านายหลังจากผ่านไปหมื่นปี?
หากร่างมหาเทพนิรันดร์เลือกเจ้านาย ก็จะมีเทพจอมยุทธ์ถือกำเนิดในมหาพันภพอีกครั้ง…
ดังนั้นภายใต้ข่าวลือที่กระจายไปทั่ว เผ่าหมัวเฮอจึงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน
ภายใต้บรรยากาศนี้มู่เฉินก็มาถึงเผ่าหมัวเฮอในทวีปหมัวเฮอในอีกเจ็ดวันต่อมา…