หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 876 เซียวเทียนที่ตกลงไปในกับดัก
ลึกลงไปในที่ราบมืดมิด
กองทัพขนาดใหญ่หลากหลายยืนอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตหลั่งไหลออกมาไม่สิ้นสุด ทำให้มิติบิดเบี้ยวไม่รู้จบ
นี่คือกองทัพที่นำโดย จินไถหลิวหลี มู่เฉินและเซียวเทียน
หลังจากที่ทั้งสามเรียกกองทัพของตนออกมา แม่ทัพอีกสามก็นำกองทัพใต้บัญชาการที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา ทำให้รัศมีจั้นยี่แผ่กระจายไปทั่วแผ่นดินในเวลานี้
เซียวเทียนยืนอยู่หน้าหน่วยรบสุดนภาก้มมองทุกคนก่อนที่จะกวาดสายตาเย็นชาใส่มู่เฉิน ยิ่งเมื่อเขาเห็นหน่วยรบทั้งห้าที่เบื้องหลังมู่เฉินแล้ว ริมฝีปากปากก็กระตุกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างไม่อาจควบคุมได้
ในมุมมองของเขา การกระทำของมู่เฉินโง่เง่าที่สุด คงเพราะอีกฝ่ายรู้ว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่อ่อนแอไม่สามารถปะทะกับค่ายกลศึกได้ เขาจึงดึงหน่วยรบอื่นๆ มาเพื่อเติมเต็มข้อบกพร่อง
“ข้าหวังว่าแกจะไม่ลากเราลงเหว ถ้าแกล้มเหลวอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะต้องแบกรับราคาทั้งหมดที่พวกเราจ่ายตลอดทางมาที่นี่” เซียวเทียนเค้นเสียงใส่ไปทางมู่เฉิน
คำพูดของเซียวเทียนแฝงความคิดน่ากลัวเบื้องหลัง ถ้าพวกเขาล้มเหลวในการปะทะกับค่ายกลศึกไม่ว่ากรณีใด เขาก็จะโทษทุกอย่างว่าเป็นความผิดของมู่เฉินแล้วดึงกองทัพอื่นเข้าร่วมผสมโรงด้วย
ทว่ามู่เฉินเพียงกวาดสายตามองอย่างเฉยเมยตอกกลับว่า “เอาคำพูดนี้ให้แกไว้ด้วย แม่ทัพเซียวเทียนระวังยกก้อนหินทับขาตัวเองซะล่ะ”
“ทั้งสองอย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย ประสานแรงเพื่อจัดการกับค่ายกลศึกนี้ก่อนเถอะ” จินไถหลิวหลีหยุดการท้าทายกันของชายหนุ่มทั้งสอง ก่อนที่จะปลายตามองเซียวเทียน
“หน่วยรบสุดนภา เคลื่อนพล!”
เซียวเทียนมองไปที่มู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็ไม่พูดอะไร เพียงพ่นเสียงเย็นชา โบกมือทะยานออกไปพร้อมกับกองกำลังขนาดใหญ่ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด กวาดตัวเข้าไปในค่ายกลจตุเทวะที่ล้อมรอบด้วยแสงมืดมิด
“ไป!”
เมื่อเห็นว่าเซียวเทียนเคลื่อนไปทางที่ราบห่างไกล จินไถหลิวหลีก็เปล่งเสียงเบาทะยานออกไปพร้อมกับรถเข็น กองทัพผลึกฟ้าพร่างพราวก็ราวกับกลายเป็นมหาสมุทรผลึกอัญมณีติดตามไป
“ข้าไปล่ะ” มู่เฉินมองไปที่พรรคพวกพลางพูดอย่างเคร่งขรึม
“ระวังตัวด้วย”
จิ่วโยวชะงักคำพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟัน “หากเจ้าไม่สามารถทำลายค่ายกลได้ ให้ถือความปลอดภัยของตัวเองเป็นที่ตั้ง เรายอมถอยซากอารยธรรมความตายก็ได้”
เห็นได้ชัดว่าจิ่วโยวรับรู้ว่าค่ายกลจตุเทวะน่ากลัวเพียงใด นอกจากนี้นางยังกังวลมากว่ามู่เฉินจะสามารถบัญชารัศมีจั้นยี่หน่วยรบทั้งห้าได้จริงหรือไม่ ถ้ามู่เฉินฝืนตัวเองอาจต้องจ่ายราคามหาศาลกันเลยทีเดียว
เมื่อรับรู้ถึงความกังวลในน้ำเสียงของจิ่วโยว มู่เฉินก็ยิ้มพยักหน้าให้ เขาไม่ได้พูดปลอบใจอะไร เนื่องจากเขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่งานง่ายที่จะทะลวงค่ายกลศึกนี้ไปได้
“ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
มู่เฉินตอบเสียงเบา จากนั้นก็ไม่ลังเลและทะยานออกไป ข้างหลังกองกำลังขนาดมหึมาก็พุ่งตามไปอย่างรวดเร็ว เสียงลมฉีกอากาศดังขึ้นบนขอบฟ้า
ที่ด้านหลังสุด จอมยุทธ์ทั้งสามจากกองทัพพันธมิตรก็ติดตามไปด้วย ทว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาอ่อนด้อยกว่าสามคนที่นำหน้าอยู่หลายส่วน
ภายใต้การจ้องมองของสายตานับไม่ถ้วน กองกำลังขนาดใหญ่ก็ปรากฏที่เบื้องหน้าค่ายกลจตุเทวะ เซียวเทียนมองแสงสีดำที่พรั่งพรูออกมาก็เกิดความลังเลวูบหนึ่งในเวลาสั้นๆ แต่สุดท้ายก็กัดฟันแน่นพุ่งเข้าไป
เมื่อเซียวเทียนและหน่วยรบสุดนภาพุ่งเข้าหาแสงสีดำ ร่างก็อันตรธานหายไป ราวกับว่าถูกกลืนกิน
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
หลังจากเซียวเทียนเข้าไปแล้ว ก็เป็นตาจินไถหลิวหลีและกองทัพที่เข้าไปโดยไม่มีลังเล โดยมีมู่เฉินและหน่วยรบทั้งห้าทะยานเข้าไปเป็นลำดับสาม
ม่านแสงสีดำราวกับหลุมดำไร้ก้นที่กลืนกินทุกสรรพสิ่งที่พุ่งเข้าใส่โดยไม่มีระลอกคลื่นใดๆ ทำให้หัวใจของคนมองเย็นสะท้านจับจิต
“พวกเขาเข้าสู่ค่ายกลจตุเทวะแล้ว!”
แต่ความมืดที่ทำให้หัวใจสั่นไหวก็คงอยู่ไม่นาน มีเสียงร้องเตือนขึ้นกะทันหัน ทุกคนมองเห็นแสงวูบวาบระเบิดออกจากพื้นที่ขนาดใหญ่ทั้งสี่ เมื่อแสงลดระดับลง ทั้งสี่กองกำลังก็ปรากฏตัวขึ้นในสี่ทิศ
โฮก!
เมื่อสี่กองกำลังเผยตัวขึ้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงนักรบจตุเทวะที่ยืนเป็นรูปปั้นบนพื้นดินแผดเสียงคำรามลึก ทำให้เกิดการกระเพื่อมไหวบนมิติเลยทีเดียว
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
รัศมีจั้นยี่สีดำพัดออกเหมือนกับพายุเฮอริเคนสีดำ รัศมีจั้นยี่ที่พลุ่งพล่านทำให้แม้แต่ฟ้าดินยังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ภายใต้คลื่นหมุนวนจำนวนมหาศาล
ทุกคนถึงกับตกตะลึงไปเมื่อเห็นกองทัพจตุเทวะ ก่อนที่จะหายใจเข้าลึกสุดปอด ใบหน้าแต่ละคนเคร่งขรึมลงหลายส่วน นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าค่ายกลจตุเทวะเปิดใช้งานแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ทั้งสามจะสามารถทำลายค่ายกลศึกนี้ได้จริงไหม
ขณะที่กองทัพอื่นด้านนอกจับจ้องมาด้วยสายตากังวลใจ
มู่เฉินก็กวาดมองสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ยามนี้ดูเหมือนพวกเขาเข้าสู่มิติมืดมิด ชั้นความมืดที่ทำเอาหายใจไม่ออกห่อหุ้มพวกเขาไว้โดยรอบ
แม้ว่าผู้คนด้านนอกจะสามารถมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน ทว่ากองทัพที่เข้ามาไม่สามารถมองออกไปได้
แต่ถึงแม้วิสัยทัศน์การมองจะถูกขัดขวาง มู่เฉินก็สามารถคาดเดาเหตุผลได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ตื่นตระหนก เขาหันกลับไปมองนักรบในหน่วยรบทั้งห้า ก็ไม่ได้อาการตื่นตระหนกเช่นกัน เพราะความสนใจทั้งหมดมุ่งมาที่มู่เฉินเท่านั้น สำหรับกองทัพผู้บัญชาการคือหัวใจ ตราบใดที่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับมู่เฉิน กองกำลังจะสามารถรักษาระดับขวัญกำลังใจและอำนาจการต่อสู้ไว้ได้
การมีหน่วยรบทั้งห้ายืนอยู่เบื้องหลัง ทำให้มู่เฉินมั่นใจมาก เมื่อมีหน่วยรบเหล่านี้อยู่ใต้บังคับบัญชา เขาก็ไม่ต้องเกรงกลัวกระทั่งจอมยุทธ์อย่างเลี่ยซัน
“ให้ข้าดูหน่อยสิว่าค่ายกลจตุเทวะยอดเยี่ยมแค่ไหน!” มู่เฉินกวาดมองความมืดรอบข้างขณะที่พึมพำ
ครืน!
ทันใดนั้นมิติก็สั่นสะเทือนในความมืด มู่เฉินหดตาลง นั่นเป็นเพราะเขาเห็นรัศมีจั้นยี่สีดำแผ่ซ่านออกมาจากความมืดอย่างรวดเร็ว
รัศมีนี้ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ก่อร่างเป็นมหาสมุทรสีดำในความมืดมิดพร้อมกับรัศมีจั้นยี่รุนแรงไม่รู้จบ
มู่เฉินร่างขมวดเกร็ง เตรียมตั้งรับเต็มที่
ขณะที่มู่เฉินตื่นระวัง ก็ราวกับมีเสียงโบราณแหบพร่าดังกึกก้องออกมาจากความมืด
“ค่ายกลจตุเทวะสร้างวิญญาณสงครามทั้งสี่จากรัศมีจั้นยี่ โดยแบ่งสี่ค่ายกล ได้แก่ มังกรคราม เสือขาว เต่าดำ และวิหคเพลิง ค่ายกลศึกมังกรครามเป็นหลัก ดังนั้นจึงแข็งแกร่งที่สุด คนที่บุกเข้ามาเป็นคนแรกจะเข้าสู่ค่ายกลมังกรคราม สองค่ายกลเสือขาว ตามลำดับ”
“วิญญาณสงครามทั้งสี่จะเปิดใช้งานในเวลาเดียวกัน คนแรกที่สามารถทำลายค่ายกลได้จะผ่านการทดสอบค่ายกลศึกและเข้าพบกับจักพรรดิของเรา”
เสียงโบราณดังก้องในความมืดทำให้มู่เฉินตะลึงไป ก่อนที่สายตาของเขาจะเปลี่ยนเป็นประหลาด เขาไม่คิดว่าค่ายกลศึกจะแบ่งลำดับการเข้าด้วย เนื่องจากเขาเป็นลำดับสามที่เข้ามา ดังนั้นก็น่าจะอยู่ในค่ายกลเต่าดำ…
ส่วนจินไถหลิวหลีอยู่ในค่ายกลเสือขาว ดังนั้นเซียวเทียนน่าจะอยู่ในค่ายกลมังกรครามที่แข็งแกร่งที่สุด… พอคิดถึงจุดนี้มุมปากของมู่เฉินก็กระตุกยิบๆ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมจินไถหลิวหลีถึงมีสีหน้าแบบนั้น ทุกอย่างอยู่ในการคำนวณของนางจริงๆ
นางไม่คิดจะเข้าสู่ค่ายกลศึกเป็นคนแรกอยู่แล้ว เพราะไม่งั้นนางก็จะต้องเผชิญกับค่ายกลมังกรครามที่แข็งแกร่งที่สุด แต่นางก็ไม่สามารถบอกรายละเอียดข้อมูลพวกนี้ เพราะจะทำให้ไม่มีใครยอมเข้ามาเป็นคนแรก ดังนั้นนางจึงเผยความผิดพลาดโดยเจตนา ทำให้เขาและเซียวเทียนเกิดความสงสัย ด้วยวิธีนี้คนที่ขี้สงสัยจะไม่ยอมให้ทุกอย่างตกอยู่ในมือของนาง ดังนั้นก็จะปฏิเสธในการให้นางไปก่อน
เหมือนกับว่านางทำตัวว่าต้องการที่จะเข้าไปเป็นคนแรก แต่เซียวเทียนที่คิดสงสัยหลายอย่างก็หยุดนางและแย่งตำแหน่งนี้ของนางไป…
ดังนั้นเขาจึงถูกส่งไปยังค่ายกลมังกรครามที่แข็งแกร่งที่สุด
“ผู้หญิงคนนี้น่าครั่นคร้ามซะจริง… ค่ายกลจตุเทวะไม่เหมือนที่นางพูดในจุดที่ทิศทั้งสี่จำเป็นจะต้องถูกทำลายในเวลาเดียวกัน สิ่งเดียวต้องทำคือทำลายค่ายกลทิศทางของตนเองให้เร็วที่เร็วที่สุด เพื่อจะผ่านบททดสอบและได้รับมรดกของจักรพรรดิเจิ้นเทียน!”
มู่เฉินแอบดาะลิ้น กลายเป็นว่าพวกเขาหลงกลจินไถหลิวหลีตั้งแต่ต้น นางซ่อนข้อมูลบางส่วนไว้อย่างชัดเจนและใช้ประโยชน์จากทุกคน
เมื่อคิดว่าจินไถหลิวหลีที่อ่อนแอแสร้งทำอย่างไร มู่เฉินก็อดส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แน่นอนคนเราไม่สามารถตัดสินหนังสือจากปก แม้ว่าเขาจะมีข้อสงสัย แต่เขาไม่เคยคิดว่าจะโดนตลบหลังกันถ้วนทั่วแบบนี้
แต่มู่เฉินไม่ได้โกรธ เพราะคนที่ควรโกรธไม่ใช่เขา แต่เป็นเซียวเทียนที่ถูกส่งไปยังค่ายกลมังกรคราม… ที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการจัดการแน่นอน แค่เซียวเทียนสามารถปกป้องตนเองในนั้นได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำลายค่ายกลศึกก่อนพวกเขาแน่
ดังนั้นเมื่อมองจากมุมหนึ่ง เซียวเทียนสูญเสียสิทธิ์การสืบทอดมรดกจักรพรรดิเจิ้นเทียนแล้ว
มู่เฉิ่นเต็มใจที่จะเห็นภาพนี้ ในเมื่อเขาไม่ได้ชมชอบอะไรกับเซียวเทียน ดังนั้นเมื่อรู้ว่าจินไถหลิวหลีหลอกเซียวเทียนสำเร็จ เขาก็หัวเราะอย่างสะใจในความโชคร้ายของเซียวเทียน
“ไอ้คนโชคร้าย…”
ขณะที่มู่เฉินหัวเราะร่วน ในค่ายกลมืดมิดอีกฝั่ง เมื่อเสียงโบราณหายไปในความมืด ใบหน้าของเซียวเทียนก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ สุดท้ายก็อดแผดเสียงคำรามออกมาไม่ได้
“จินไถหลิวหลี เจ้าจำไว้เลย!”
ครืน!
ท่ามกลางเสียงคำรามคั่งแค้นของเซียวเทียน ค่ายกลจตุเทวะก็เริ่มสั่นคลอนและเปิดใช้งาน คลื่นอันตรายที่น่ากลัวระเบิดขึ้นภายในค่ายกล
ค่ายกลจตุเทวะเปิดใช้งานเต็มอัตราศึกแล้ว!