หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 882 ความร่วมมือที่เปราะบาง
เมื่อมู่เฉินพุ่งเข้าไปในประตูมิติ
เขาสัมผัสชัดเจนถึงความมืดมิดรอบตัวที่ถอยร่นราวกับคลื่นสึนามิ ภาพทิวทัศน์ที่ออกจากประตูมิติก็เป็นภาพที่แตกต่างจากเดิม
ผืนฟ้าและผืนดินถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน บนพื้นดินอัดแน่นไปด้วยรอยบากที่น่ากลัว เห็นได้ชัดว่าจะต้องเคยเกิดการต่อสู้รุนแรงขึ้นที่นี่แน่
เมื่อมู่เฉินก้าวเข้ามาในมิติสีแดงฉาน ร่างกายก็เกร็งเครียดขึ้นทันที แสงสีม่วงทองวูบไหวอยู่ตรงหัวไหล่ บาดแผลที่อยู่บนบ่าถูกรักษาอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยสภาพร่างกายซึ่งเปรียบได้กับเทพอสูรของเขา อาการบาดเจ็บดังกล่าวแทบจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อเขาเลย
คลื่นหลิงกว้างใหญ่กระเพื่อมเป็นลอนรอบตัวมู่เฉิน เขากวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง ขณะที่เขากำลังจะมุ่งหน้าต่อไป สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปฉับพลัน เพราะเขาพบว่าทางด้านขวามือมิติกำลังกระเพื่อมไหวเช่นกัน ไม่นานร่างเงาบอบบางก็ทะยานออกมาจากมิติที่บิดเบี้ยวปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าเขา
ทั้งสองเผชิญหน้ากัน แต่ละฝ่ายอึ้งไป ก่อนที่ใบหน้าของพวกเขาจะเปลี่ยนไปและก้าวถอยหลังไปคนละหลายก้าว
“มู่เฉิน?!” ร่างเงานั่นอุทานเสียงเบา ใบหน้านางอัดแน่นด้วยความตื่นตะลึง เห็นได้ชัดว่าการที่มู่เฉินมาอยู่ที่ได้ ทำให้นางตกใจอย่างรุนแรง
“ฮ่าๆ แม่นางจินไถนั่นเอง” หลังจากที่ตะลึงไปวูบหนึ่ง มู่เฉินก็สงบสติอารมณ์ลงได้ เขามองจินไถหลิวหลีด้วยใบหน้าครึ่งบึ้งครึ่งยิ้ม
เมื่อจินไถหลิวหลีเห็นรอยยิ้มบนใบหน้ามู่เฉิน นางก็ยิ้มฝืดออกมา สายตาของนางวูบไหวขณะที่ซ่อนเร้นความไม่เชื่อในหัวใจเอาไว้
เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดว่ามู่เฉินจะผ่านด่านค่ายกลจตุเทวะมาได้ในเวลาเดียวกันกับนางและมาถึงที่นี่พร้อมกัน
‘มู่เฉินจัดการค่ายกลเต่าดำด้วยหน่วยรบทั้งห้าที่แตกต่างกันได้รึ? เขาทำสำเร็จได้อย่างไร?!’ จินไถหลิวหลีอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นขณะที่กัดริมฝีปาก
“ดูเหมือนแม่นางจินไถจะตกใจมากที่เห็นข้าที่นี่” มู่เฉินส่งรอยยิ้มให้จินไถหลิวหลี
เขายกแขนขึ้นกอดอกขณะที่ส่งยิ้มเยาะไปให้จินไถหลิวหลี เนื่องจากหญิงสาววางแผนหลอกใช้ทุกคนมาก่อนหน้าชัดเจน ถ้าไม่ใช่เพราะมู่เฉินยอมเสี่ยงรวมรัศมีจั้นยี่ทั้งห้าเข้าด้วยกัน เขาคงไม่สามารถผ่านด่านแรกได้ เมื่อจินไถหลิวหลีเข้ามาได้เป็นคนแรก พวกเขาทุกคนก็เท่ากับถูกหลอกใช้อย่างไร้ประโยชน์
“ผู้บัญชาการมู่มีความสามารถแท้จริง ไม่แปลกใจเลยที่ทำลายค่ายกลเต่าดำได้” จินไถหลิวหลีถอยไปอีกสองก้าวขณะที่ฝืนยิ้ม
ตอนนี้นางไม่ได้มีกองทัพติดตามมาด้วย มิหนำซ้ำนางก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่เท่านั้น ด้วยพลังดังกล่าวนางไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อมู่เฉินที่เอาชนะฟังยี่ได้เลย
หากไม่มีกองทัพผลึกฟ้า จินไถหลิวหลีก็ไม่มีอะไรจะเผชิญหน้ากับมู่เฉินได้ เพราะนางไม่ได้มีทักษะหลากหลายเหมือนปีศาจอย่างเขา อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะมีความสามารถศาสตร์รัศมีจั้นยี่ มิหนำซ้ำขุมพลังของเขาก็ไม่ด้อยกว่าพวกฟังยี่เลย
“แผนการของแม่นางจินไถหลิวหลียอดเยี่ยมจริงๆ” มู่เฉินยิ้มบาง
เมื่อจินไถหลิวหลีได้ยินคำชมเช่นนี้ก็ยิ้มขมฝาด พูดอย่างไม่ปิดบังว่า “สงครามล่ามีเป้าหมายจัดการฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว ข้าว่าหมู่ตึกเทวะและอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เป็นศัตรูกัน ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะมีการวางแผนลับใช่ไหมล่ะ? ด้วยความเฉลียวฉลาดของผู้บัญชาการมู่ ข้าว่าเจ้าคงไม่เชื่อคำพูดข้าอยู่แล้วมั้ง?”
จินไถหลิวหลีพูดอย่างเปิดเผยกับมู่เฉินอย่างที่ไม่คาดคิด ทำเอาเขาต้องหรี่ตามอง “ก็อย่างที่เจ้าพูด เจ้าคงไม่ว่าอะไรถ้าข้าจะจัดการเจ้าตอนนี้ใช่ไหม?”
“พวกเราเป็นศัตรูกันตั้งแต่ต้น แม้ว่าเจ้าจะฆ่าข้าที่นี่ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร” จินไถหลิวหลีพูดอย่างสงบนิ่ง
“จริงเหรอ?” แสงเย็นเยือกรวมตัวกันในนัยน์ตาของมู่เฉิน จิตสังหารรุนแรงพวยพุ่งอยู่ภายใน นั่นเป็นเพราะจินไถหลิวหลีเป็นตัวปัญหาอย่างมาก อย่าเห็นว่าตอนนี้นางเป็นลูกไก่ในกำมือ เมื่อไรที่นางมีกองทัพผลึกฟ้าละก็ แม้แต่มู่เฉินก็ไม่มีความมั่นใจว่าตนเองจะเผชิญหน้าได้ไหม ถึงจะมีหน่วยรบทั้งห้าช่วยหนุนก็ตาม
จินไถหิวหลีหลุบตาลงพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “แต่ข้าเชื่อว่าถ้าเทียบกับการฆ่าข้า มรดกของจักรพรรดิเทียนเจิ้นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการมากกว่า เหตุผลหนึ่งก็คือข้ารู้ข้อมูลมากกว่าเจ้า ดังนั้นหากพวกเราร่วมมือกัน เราอาจจะมีโอกาสได้รับมรดกมากขึ้น”
“ร่วมมือ? ตอนนี้เจ้ายังจะให้ข้าเชื่อเจ้าเหรอ? ถ้าข้าฆ่าเจ้า ข้าคิดว่าคงไม่มีใครมาแย่งมรดกจักรพรรดิเทียนเจิ้นกับข้าแล้วมั้ง?” มู่เฉินพูดเยาะด้วยรอยยิ้ม
“มีเรื่องคาดไม่ถึงมากมายในซากอารยธรรมความตาย ข้าเชื่อว่าด้วยความรอบคอบของผู้บัญชาการมู่ เจ้าคงไม่คิดว่าจะได้รับมรดกของจักรพรรดิเทียนเจิ้นง่ายๆ หรอกนะ? แม้ว่าเราจะสามารถผ่านด่านค่ายกลมาได้ แต่ใครจะรับประกันว่าอันตรายที่แท้จริงไม่เกิดขึ้นล่ะ?”
จินไถหลิวหลียิ้ม แววตามั่นใจกลับมา นางช้อนดวงหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉิน “จากข้อมูลที่ข้ารู้มา ผู้บัญชาการมู่เด็ดขาดในการสังหาร ถ้าเจ้าตั้งใจจะฆ่าข้าจริง เจ้าคงทำไปนานแล้ว จะมาพูดให้เสียเวลาทำไม?”
มู่เฉินหรี่ตาลงขณะที่จ้องมองจินไถหลิวหลี่อย่างไม่แยแส เกิดริ้วความประหลาดใจบางเบาในใจ ความสุขุมและความเฉลียวฉลาดของนางเกินความคาดหมายของเขาจริงๆ เพราะอย่างที่นางพูด เขายังรู้สึกไม่สบายใจและต้องระวังอย่างมากในสถานที่แปลกประหลาดนี้
แม้ว่าเขาจะผ่านด่านค่ายกลได้ แต่ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกว่าที่นั่นยังไม่ใช่สถานที่ที่อันตรายที่สุดในซากอารยธรรมความตายแห่งนี้
และจินไถหลิวหลีก็เข้าใจที่นี่ลึกซึ้งกว่า ตัวนางก็มีความสามารถบางอย่างที่สามารถช่วยเหลือเขาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ลงมือทันทีที่เห็นนาง
“ถ้าเจ้าต้องการจะร่วมมือก็แสดงความเชื่อมั่นออกมาให้ข้าเห็นหน่อย” ความเย็นชาในดวงตาของมู่เฉินจางลง แต่เขาก็ยังจ้องมองจินไถหลิวหลีไม่คลาดสายตา
จินไถหลิวหลีกัดริมฝีปากสีแดงชาดเบาๆ นางลังเลก่อนที่จะพูดออกมาในที่สุด “ความรู้สึกของเจ้าไม่ผิด เรายังไม่สามารถได้รับมรดกหลังจากผ่านด่านค่ายกลศึก เพราะตามข้อมูลที่ข้าได้รับ บางทีที่นี่ถึงเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในซากอารยธรรมความตายแห่งนี้”
ใบหน้ามู่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิ้วขมวดพลางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เจ้าหมายถึงอะไร?”
“กองทัพจตุเทวะไม่ใช่สิ่งเดียวที่ถูกรัศมีปีศาจรุกราน แม้แต่จักรพรรดิเทียนเจิ้นก็ถูกรุกรานโดยรัศมีชั่วร้ายจากจักรวรรดิปีศาจต่างมิติในมหาสงคราม ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือจักรพรรดิเทียนเจิ้นที่ถูกรัศมีปีศาจรุกราน”
สีหน้าของจินไถหลิวหลีเครียดมากขณะที่พูดต่อ “เพราะรัศมีปีศาจทำให้ร่างจักรพรรดิเทียนเจิ้นไม่ถูกทำลาย หากการเดาของข้าถูกต้อง ข้าว่าเขาคงกำลังรอเราอยู่ในจุดที่ลึกที่สุด”
“เจ้าหมายความว่าเราผ่านค่ายกลศึกมากลับเข้าสู่แดนมรณะรึ?” มู่เฉินเค้นเสียง นั่นเป็นเพราะตามคำพูดของจินไถหลิวหลี ถ้าจักรพรรดิเทียนเจิ้นถูกรัศมีปีศาจรุกรานและสูญเสียสติสัมปชัญญะ เขาก็ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสามารถต่อกรได้ แต่ตอนนี้แม้จะรู้เรื่องนี้แล้วจินไถหลิวหลีก็ยังเลือกที่จะเข้ามา หรือว่าสมองนางมีปัญหากัน?
“ในเมื่อข้าเลือกเข้ามา ก็ต้องเป็นเพราะมีโอกาสพอจะคว้ามรดกมาได้”
จินไถหลิวหลีเข้าใจในข้อสงสัยของมู่เฉินดี ดังนั้นนางตอบเบาๆ ว่า “ย้อนกลับไปในอดีตตอนที่จักรพรรดิเทียนเจิ้นประสบกับการรุกรานของรัศมีปีศาจ เขาก็ได้เตรียมการบางอย่างไว้ เขาวางค่ายกลศึกเพื่อระงับวิญญาณชั่วร้ายในร่างไว้ในส่วนลึกของซากอารยธรรมความตาย ดังนั้นจิตวิญญาณชั่วร้ายจึงไม่สามารถใช้ร่างกายเขาเพื่อสร้างหายนะได้ ตราบเท่าที่เราสามารถไปถึงที่นั่น แล้วเปิดใช้ค่ายกลศึกสมบูรณ์แบบก็จะสามารถปราบปรามวิญญาณชั่วร้ายในร่างกายเขาเรียกคืนสติที่หลงเหลืออยู่ของจักรพรรดิเทียนเจิ้นออกมา เมื่อถึงเวลานั้นเราก็จะได้รับมรดกจากเขา”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของจินไถหลิวหลี ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปไม่หยุด เขารู้สึกได้ว่าครั้งนี้จินไถหลิวหลีไม่ได้โกหก คำพูดของนางเป็นความจริง
แน่นอนว่ามู่เฉินก็ไม่เชื่อเต็มร้อยกับเรื่องนี้ หลังจากพบกันหลายครั้งมู่เฉินก็เข้าใจว่าจินไถหลิวหลีเป็นนางหมาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
“เราจะเปิดใช้งานค่ายกลศึกได้ยังไง?” ดวงตาของมู่เฉินกะพริบวูบไหว ขณะที่ชี้ประเด็นไปที่เรื่องสำคัญที่สุด
“ข้าเคยได้รับตำราโบราณที่ถูกทิ้งไว้โดยจักรพรรดิเทียนเจิ้น วิธีการเปิดใช้ค่ายกลศึกบันทึกเอาไว้ในข้อความโบราณ ดังนั้นข้าจึงเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเปิดใช้งานได้” จินไถหลิวหลีพูดโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ในน้ำเสียงของตน
“งั้นก็หมายความว่าถ้าข้าต้องการมรดกก็ต้องได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าเรอะ?” มู่เฉินหัวเราะ
“ถูกต้อง”
จินไถหลิวหลีพยักหน้าแบบไม่แยแสน้ำเสียงเย็นเยือกไปกับเสียงหัวเราะของมู่เฉิน “อย่าคิดถามวิธีจากข้า เพราะต่อให้เจ้าจะฆ่าข้า ข้าก็ไม่บอก นอกซะจากเจ้าร่วมมือกับข้า เราทั้งคู่ก็จะชนะ”
มู่เฉินหรี่ตาลงมองจินไถหลิวหลีที่มองตอบอย่างไม่เกรงกลัว หลังจากจ้องหน้ากันมาระยะหนึ่ง เขาก็ถอนสายตาไตร่ตรองคร่าวๆ ก่อนจะพยักหน้า “งั้นเราจะทำตามที่เจ้าพูด แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนนะ ถ้าข้าเจออะไรที่ตุกติกเกี่ยวกับเจ้าสักนิดเดียว ข้าเอาชีวิตเจ้าทันที อย่าคิดว่าสามารถสู้กับข้าด้วยพลังน้อยนิดของตัวเอง เมื่อไม่มีกองทัพผลึกฟ้า การฆ่าเจ้าก็ง่ายพอกับการพลิกฝ่ามือ!”
น้ำเสียงในประโยคสุดท้ายของมู่เฉินแฝงเจตนาเข่นฆ่าแน่แล้ว
จินไถหลิวหลีสัมผัสได้ถึงเจตนาเข่นฆ่าแฝงในคำพูดของมู่เฉิน แต่นางกลับไม่กลัว รอยยิ้มสดใสเผยออกมาก่อนที่จะยื่นมือเรียวบางไปหามู่เฉินเอ่ยว่า “ขอให้พวกเราร่วมมือกันอย่างมีความสุข”
มู่เฉินยิ้มขณะที่จับมือสัญญากับนาง ทั้งสองร่วมมือกันอีกครั้ง ทว่าความไว้วางใจที่มีต่อกันในใจเหลืออยู่เท่าไรก็มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้