หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 883 จักรพรรดิเทียนเจิ้น
มิติสีแดงฉานไร้สรรพเสียงใดๆ
ไม่ชีวิตชีวาสักนิดราวกับว่าเป็นทางเข้าปรโลกอย่างไรอย่างนั้น ความตายดูเหมือนว่าจะยืนยงมาตั้งแต่โบราณกาล
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นเสียงลมก็ดังขึ้นในแดนมรณะ ขณะที่ร่างแสงสองร่างปรากฏขึ้นบนขอบฟ้าที่ห่างไกล พวกเขาพุ่งผ่านขอบฟ้าไปในทันที
เมื่อร่างแสงทั้งสองปรากฏขึ้น ในที่สุดความเงียบงันบนแผ่นดินนี้ก็พังทลายลง ในมิติที่อึดอัดกดดันก็เกิดลอนคลื่นกระจายขึ้นมา
ร่างแสงทั้งสองนี้ก็คือมู่เฉินและจินไถหลิวหลี หลังจากได้ข้อสรุปจากการพูดคุย พวกเขาก็ตัดสินใจร่วมมือกันชั่วคราว
ถึงยังไงพวกเขาก็ยังระแวงและหวาดกลัวกับมิติที่ผิดแผกนี้ ถ้าพวกเขาทำงานร่วมกันได้ โอกาสประสบความสำเร็จก็จะมีมากขึ้น
ทว่าทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกันมากระหว่างทาง มู่เฉินก็ไม่คิดจะพูดก่อน กลับทะยานตามหลังจินไถหลิวหลี ให้นางเป็นผู้นำทาง เห็นได้ชัดว่าแม้ทั้งคู่เลือกที่จะร่วมมือกัน แต่เขาก็ยังไม่ให้ความไว้วางใจในตัวจินไถหลิวหลี
ทั้งสองไม่พูดไม่จากัน ใช้เวลาเดินทางราวสิบนาที ก่อนที่จินไถหลิวหลีจะชะลอตัว ใบหน้างดงามเปลี่ยนเคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น
เมื่อรู้สึกว่าจินไถหลิวหลีช้าลง มู่เฉินก็มองไปในระยะไกล จิตวิญญาณเขาถึงกับสั่นไหวเลยทีเดียว ตรงจุดที่ไกลนั้นพื้นที่สีแดงฉานเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ บริเวณมืดมนนั่นราวกับคุกนรก
มองเห็นบัลลังก์หินเลือนรางที่อยู่ภายในมิติราวหลุมดำ มีร่างร่างหนึ่งนั่งอยู่ แรงกดดันทรงพลังกำจายออกมาจากร่างนั้นกระจายไปทั่วมิติ
มู่เฉินและจินไถหลิวหลีหยุดนิ่งไม่ได้ขยับเขยื้อน สายตาจ้องมองร่างเลือนรางซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์หินในความมืด
“หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปีในที่สุดก็มีคนมา…”
เสียงแหบแห้งและโบราณดังกึกก้องในบริเวณมืดมิด ทำให้ริ้วความมืดค่อยๆ กระเพื่อมไหว ขณะที่ร่างเลือนรางบนบัลลังก์หินยกศีรษะขึ้นช้าๆ
นี่เป็นใบหน้าที่มีร่องรอยของกาลเวลาฝังลึกเต็มไปหมด ทว่าดวงตาที่ดูเหมือนหลุมว่างเปล่ากลับเปล่งประกายเมื่อเห็นมู่เฉินและจินไถหลิวหลี
“ข้าคือจักรพรรดิเทียนเจิ้น ในเมื่อพวกเจ้าสองคนสามารถฝ่าด่านค่ายกลศึกจตุเทวะที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยข้า คิดว่าคงต้องมีพรสวรรค์ศาสตร์ด้านรัศมีจั้นยี่ อีกไม่นานจิตสำนึกของข้าจะหายไป มรดกจะถูกทิ้งไว้ให้กับผู้มีชะตาร่วมกัน…”
ร่างเลือนรางพูดด้วยเสียงแหบพร่า พลังงานของเขาดูเหมือนจะค่อยๆ หายไปทีละน้อยก่อนที่เขาจะโบกมืออย่างอ่อนแรง “เจ้าสองคนมาที่นี่…”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็กะพริบตา ทว่าทั้งสองไม่ได้ขยับเข้าหาเลย สายตาตรึงอยู่ที่ร่างจักรพรรดิเทียนเจิ้นนิ่ง
เมื่อร่างนั้นเห็นมู่เฉินและจินไถหลิวหลียังยืนนิ่ง ไม่ได้มีความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รับมรดก ใบหน้าก็แข็งทื่อ แต่เขาไม่พูดอะไร เพียงแค่เอาหลังพิงบัลลังก์หินอย่างช้าๆ ร่างกายเหี่ยวแห้งมากขึ้น…มากขึ้น ราวกับว่ากำลังจะสลายเป็นอากาศธาตุ
ทว่ามู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็ไม่เคลื่อนไหว
ร่างนั้นหยุดเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งมิติกลับสู่ความเงียบพร้อมกับบรรยากาศผิดปกติแข็งทื่อล้อมรอบเอาไว้…
ความเงียบร้ายกาจกินเวลานาน สิบนาที… ยี่สิบนาที…
ดวงตาของจินไถหลิวหลีเกิดริ้วกระเพื่อมขึ้น นางมองไปที่มู่เฉิน ทว่าเขากลับส่ายหัวอย่างไม่ทันสังเกต ซึ่งทำให้นางระงับความอยากในใจลง
เมื่อเวลาผ่านไป ร่างเงาอ่อนระโหยที่หลับตาในบริเวณความมืดมิดก็ลืมตาโพลง แสงชั่วร้ายพวยพุ่งออกมา ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างน่าขนลุก ขณะที่จ้องมองมู่เฉินและจินไถหลิวหลี เสียงร้องแหลมเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดแผดออกมา “ไอ้พวกบ้า ระงับความโลภได้ดีจริงๆ!”
พอได้ยินเสียงประโยคนี้ มู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็โล่งใจก่อนหัวเราะพูดว่า “แกนี่ก็ปัญญาอ่อนมากที่เลือกเล่นบทนี้…”
“คิกๆ”
พอจินไถหลิวหลีได้ยินคำพูดนี้ นางก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้พลางถลึงตาใส่มู่เฉินไปด้วย ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นวิญญาณร้ายที่สามารถบุกรุกร่างจักรพรรดิเทียนเจิ้นได้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กกวนประสาทในสายตาของมู่เฉิน
จักรพรรดิเทียนเจิ้นมองมาที่มู่เฉินอย่างน่าขนลุก ใบหน้าแข็งทื่อกระตุกพูดอย่างเย็นชาว่า “ไอ้เด็กเหลือขอที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ แกไม่นับเป็นมดในสายตาข้าด้วยซ้ำ บังอาจกล้าเสียมารยาทต่อหน้าข้า!”
มู่เฉินฉายสีหน้าสงบเสงี่ยมตอบว่า “ถ้าเจ้ามีความสามารถจริง เจ้าออกมากำจัดพวกเรานานแล้ว ยังต้องพล่ามมากมายแบบนี้หรอ?”
จักรพรรดิเทียนเจิ้น ถลึงมองมู่เฉินก่อนจะเค้นเสียงเยือกเย็น “ระวังตัวจริงนะไอ้หนู แต่ถ้าแกอยากเสียเวลาก็ตามสบาย ข้าเฝ้ารอมานับหมื่นปีแล้วทำไมถึงต้องสนใจเวลาแค่นี้ด้วย? ถ้าพวกแกต้องการมรดกของไอ้นี่ ไม่กำจัดข้าให้ได้ก่อนก็ไม่ต้องคิดจะได้เลย”
มู่เฉินไม่ใส่ใจอีกฝ่าย มองไปที่จินไถหลิวหลีถามว่า “ค่ายกลศึกที่ทิ้งไว้โดยจักรพรรดิเทียนเจิ้นอยู่ที่ไหน?”
ตอนนี้จักรพรรดิเทียนเจิ้นเห็นได้ชัดว่าถูกครอบงำโดยวิญญาณปีศาจแล้ว แม้ว่ามู่เฉินจะไม่รู้ชัดเจนถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ทว่าเขาจะไม่เข้าไปในความมืดนั่นแน่นอน
ดังนั้นถ้าพวกเขาต้องการที่จะจัดการอีกฝ่าย พวกเขาก็ต้องพึ่งค่ายกลศึกที่ทิ้งไว้โดยจักรพรรดิเทียนเจิ้น
เมื่อได้ยินคำถามของเขา จินไถหลิวหลีก็กวาดสายตาไปทั่วมิติ หลังจากนั้นนางก็ขมวดคิ้ว เพราะนางไม่สามารถค้นพบร่องรอยของค่ายกลที่ถูกทิ้งไว้เลย
“หรือว่าค่ายกลศึกถูกทำลายไปแล้ว?” จินไถหลิวหลีขมวดคิ้ว ทว่าก็สลัดความคิดนี้ทิ้งทันที หากค่ายกลถูกทำลายจริง วิญญาณปีศาจก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการหลอกล่อ เขาสามารถฆ่าพวกนางได้ตั้งแต่มาถึงแล้ว
สายตาของจินไถหลิวหลีกะพริบวูบไหว จากนั้นก็จ้องมองไปที่ความมืดพลางโบกมือ ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็กวาดออกไป รัศมีสีดำกระจายออกจากความมืดเบื้องล่าง…
เมื่อรัศมีสีดำสลายลง ภาพเบื้องล่างก็ถูกเปิดเผยต่อหน้ามู่เฉินและจินไถหลิวหลี ทำให้สายตาทั้งสองแข็งเกร็งทันที
ด้านล่างความมืดคือกองทัพขนาดหมื่นคน แต่กองทัพนี้มีนักรบเป็นรูปปั้นหิน ร่างพวกเขาทั้งหมดเต็มไปรอยด่างดำขณะกำลังยืนจังก้า ทว่าจิตสังหารเลือนรางก็กวาดไปทั่ว แม้จะอยู่ยงมาถึงหมื่นปี
“ช่างเป็นกองทัพที่ทรงพลังจริงๆ!” จินไถหลิวหลีกล่าวยกย่องเสียงนุ่ม
“พวกเขาไม่ใช่รูปปั้น” สายตามู่เฉินเคร่งเครียด เขาตระหนักได้ว่าแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นรูปปั้น แต่การแสดงออกบนใบหน้าก็ไม่ไร้อารมณ์ เหมือนมีอารมณ์บางอย่างอยู่บนนั้น
“นี่น่าจะเป็นกองทัพส่วนตัวของจักรพรรดิเทียนเจิ้น ซึ่งเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้การบัญชาของเขา ย้อนกลับไปตอนที่เขาประสบกับจากการรุกรานของวิญญาณปีศาจ กองทัพคงใช้คลื่นหลิงที่มีเพื่อเปลี่ยนให้ตัวเองกลายเป็นหิน สร้างค่ายกลศึกขึ้นมาเพื่อปราบปรามวิญญาณปีศาจไว้”
จินไถหลิวหลีถอนหายใจ “โชคดีที่กองทัพนี้ไม่ได้วางกลศึกค่ายกลจตุเทวะ ไม่งั้นแม้ว่าพวกเขาจะอ่อนแอลงหลังจากผ่านเวลามาเนิ่นนาน เราก็ไม่สามารถทำลายได้”
มู่เฉินพยักหน้า เขามองกองทหารหินอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นสายตาเขาก็สั่นไหว เขาเห็นเส้นใยแสงสีเทาที่จะมีมากกว่าหนึ่งหมื่นเส้นเคลื่อนออกมาจากหัวของเหล่านักรบ เส้นใยแสงสีเทาเหล่านั้นทะลุผ่านความมืดและรวมตัวกันอยู่ใต้บัลลังก์หินของร่างปีศาจจักรพรรดิเทียนเจิ้น
เส้นใยแสงสีเทานี้ดูเหมือนจะเป็นสาเหตุว่าทำไมจักรพรรดิเทียนเจิ้นจึงไม่สามารถออกจากความมืดได้
ในความมืดหลังจากร่างปีศาจจักรพรรดิเทียนเจิ้นเห็นกองทัพหินที่ซ่อนไว้ถูกค้นพบโดยจินไถหลิวหลี ใบหน้าแข็งกระด้างก็เปลี่ยนไป สายตาที่น่าขนพองสยองเกล้าเริ่มเปลี่ยนเป็นดุร้าย
“ไอ้เด็กเหลือขอสองคน พวกแกคิดจะเปิดใช้ค่ายกลศึกที่เหลืออยู่เรอะ?!” ร่างปีศาจจักรพรรดิเทียนเจิ้นเค้นเสียงเย็นพร้อมกับริ้วความเย้ยหยันไม่มีที่สิ้นสุดแฝงในเนื้อเสียง หากเขาอยู่ในจุดสูงสุด เขาสามารถจัดการมู่เฉินและจินไถหลิวหลีได้อย่างง่ายดายด้วยการพ่นลมหายใจครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นทั้งสองในสายตาเลย
“แม่นางจินไถ ต่อไปต้องพึ่งเจ้าแล้ว” มู่เฉินมองไปที่จินไถหลิวหลี พลางยิ้มบาง
จินไถหลิวหลีพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็กำมือกันแน่น ป้ายหินหยาบกระด้างปรากฏขึ้นในมือทันที มันมีขนาดเท่าฝ่ามือของนาง ลวดลายแปลกประหลาดเบาบางเผยบนพื้นผิว มู่เฉินไม่ได้แปลกใจสำหรับลวดลายเหล่านี้ เพราะนี่คือลวดลายจั้นเหวิน…
นอกจากนี้มู่เฉินยังตระหนักได้ว่าจังหวะที่จินไถหลิวหลีเอาป้ายหินออกมา แรงสั่นสะเทือนก็เกิดขึ้นจากกองทหารหินที่อยู่เบื้องล่าง
“ผู้บัญชาการมู่ป้ายหินนี้สามารถกระตุ้นกองทัพได้ แต่ต้องการคลื่นหลิงจำนวนมหาศาลเพื่อเปิดใช้งาน ซึ่งข้าไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นจึงความช่วยเหลือจากเจ้าด้วย” จินไถหลิวหลียิ้ม
มู่เฉินมองลึกลงไปในแววตาของจินไถหลิวหลี ผู้หญิงคนนี้ระวังตัวแจ นางกังวลอย่างชัดเจนว่าหลังจากใช้คลื่นหลิงไปเป็นจำนวนมากแล้ว นางจะไม่สามารถแข่งกับเขาได้ ดังนั้นนางจึงต้องการให้ทั้งสองทำงานเท่าเทียมกัน
ทว่ามู่เฉินไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความคิดนี้ เนื่องจากเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้คือจัดการปีศาจที่สิงจักรพรรดิเทียนเจิ้นอยู่ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ายื่นมือออกมา
ป้ายหินลอยมาอยู่ระหว่างฝ่ามือของทั้งสอง วินาทีต่อมาคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งออกจากฝ่ามือทั้งสองแล้วเทลงในป้ายหินโบราณอย่างรวดเร็ว
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เมื่อคลื่นหลิงเทลงไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ป้ายหินก็ส่งเสียงกระหึ่ม ลวดลายจั้นเหวินบางจางบนนั้นก็เริ่มเปล่งแสงขึ้น
ยิ่งกว่านั้นเมื่อป้ายหินเปล่งประกาย ดวงตาของรูปปั้นหินที่เบื้องล่างก็เริ่มเปิดอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นสีหน้าของร่างปีศาจจักรพรรดิเทียนเจิ้นก็เปลี่ยนไปรุนแรง!