หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 892 ใกล้เคียง
ครืน!
รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกระจายไปทั่วฟ้าดิน หน่วยรบทั้งห้าทะยานเข้ามา มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไม่มีที่สิ้นสุดรวมตัวกันเหนือพวกเขา มองเห็นวิญญาณสงครามขนาดมหึมาทั้งห้าอยู่ในมหาสมุทรแห่งนี้ ซึ่งก่อให้เกิดแรงกดดันน่าอัศจรรย์ เสียงคำรามลึกอัดแน่นสั่นสะเทือนสวรรค์และโลก
การปรากฏขึ้นพร้อมกันของวิญญาณสงครามทั้งห้าเป็นฉากสะเทือนใจอย่างยิ่ง ดังนั้นแม้แต่จอมยุทธ์หมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาก็ยังฉายสีหน้าตกใจ ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ในที่สุดผู้บัญชาการมู่ก็ออกมา” เหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์รู้สึกโล่งใจมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาลำบากแค่ไหนเมื่อเผชิญหน้ากับขั้วอำนาจทั้งสอง หากไม่ใช่เพราะพวกเขามีพื้นพลังแข็งแกร่ง พวกเขาอาจถูกหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาเขมือบไปแล้วก็ได้
แต่โชคดีที่พวกเขายังยืนหยัดได้จนมู่เฉินกลับออกมา ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายบวกกับการบัญชารัศมีจั้นยี่ของทั้งห้าหน่วยรบ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยังต้องเกรงกลัวเขา ในแง่ของการข่มขวัญมีความแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์แบบเลี่ยซันหลายส่วนเลยด้วยซ้ำ
ทว่าตรงกันข้ามกับความสุขของพวกเขา ฟังยี่และหลิ่วเหยียนฉายสีหน้ามืดมนกับการปรากฏตัวของมู่เฉิน แต่ละคนสาดไอเย็นเยือกในดวงตา
“พี่ฟังไม่ง่ายเลยที่เราจะขังพวกมันไว้ได้ เราจะปล่อยให้เจ้านั้นทำลายแผนนี้ไม่ได้!” หลิ่วเหยียนมองไปที่ฟังยี่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ฟังยี่พยักหน้าพลางขมวดคิ้ว ตอนนี้จอมยุทธ์ชั้นนำของกองทัพพวกเขาเข้าโรมรันกับเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขาจึงไม่สามารถกระจายกำลังจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกคนใดเพื่อไปจัดการกับมู่เฉิน แค่พวกเขาสองคนชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับมู่เฉินที่ควบคุมกองทัพทั้งห้า
“หลิวหลี เจ้ายังสู้ไหวไหม?” ฟังยี่หันไปทางด้านข้างมองจินไถหลิวหลีที่มีใบหน้าซีดเซียว หากนางยังสามารถบัญชากองทัพผลึกฟ้าได้ ก็น่าจะเป็นเรื่องง่ายที่จะขัดขวางมู่เฉิน
แต่จินไถหลิวหลีกลับส่ายหัวด้วยรอยยิ้มขมขื่นกับความคาดหวังของเขา “ไม่ไหว ข้าได้รับบาดเจ็บหนักเกินไป หากฝืนบัญชารัศมีจั้นยี่ข้าจะโดนตอบโต้แน่”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฟังยี่ก็รู้สึกผิดหวัง ทว่าเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะสภาพบาดเจ็บภายนอกของจินไถหลิวหลีดูไม่ดีนัก ดังนั้นเขาไม่สามารถบังคับให้นางบัญชากองทัพผลึกฟ้าเพื่อจัดการกับมู่เฉิน เพราะนี่คือกองทัพที่หมู่ตึกเทวะดูแลมาอย่างดีด้วยทรัพยากรมหาศาล หากสูญเสียกองทัพนี้ ก็จะเป็นการสูญเสียใหญ่หลวงสำหรับสำนักเลยทีเดียว
“ปล่อยมู่เฉินให้ข้าจัดการ”
ขณะที่ฟังยี่กำลังปวดหัวหนึบ เสียงหัวเราะน่าขนลุกก็สะท้อนออกมา ในเนื้อเสียงอัดแน่นไปด้วยความเย่อหยิ่ง เมื่อมองที่มาของเสียงฟังยี่ก็เห็นเซียวเทียนเดินออกมาจากด้านหลังของหลิ่วเหยียน
“แม้ว่าหน่วยรบสุดนภาของข้าจะได้รับความเสียหายบ้างในค่ายกลมังกรคราม แต่ก็ยังเป็นกองทัพที่สมบูรณ์ ส่วนกองทัพของมู่เฉินเป็นพวกยำใหญ่ ง่ายราวกับพลิกมือที่ข้าจะทำลายมัน” ขณะที่เซียวเทียนพูด ก็เบนสายตาน่ากลัวมองจินไถหลิวหลี ถ้าไม่โดนนางหลอกไปละก็ เขาคงไม่ต้องต่อสู้ในค่ายกลมังกรคราม จนทำให้หน่วยรบสุดนภาประสบกับความสูญเสีย มิหนำซ้ำยังสูญเสียสิทธิ์ไม่ได้รับมรดกจากจักรพรรดิเทียนเจิ้นอีก
ทว่าจินไถหลิวหลีไม่แยแสกับสายตานี้ ไม่มีปฏิกิริยาใดเลย
“งั้นต้องรบกวนพี่เซียวแล้ว” ฟังยี่รู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยิน อันที่จริงเซียวเทียนก็ทรงพลังมากเมื่อเข้าบัญชารัศมีจั้นยี่ สาเหตุที่เขาไม่สามารถทะลวงผ่านค่ายกลได้ เนื่องมาจากเขาโชคร้ายปะทะกับค่ายกลมังกรครามที่แข็งแกร่งที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นหน่วยรบสุดนภาของเซียวเทียนก็ดูแข็งแกร่งกว่าหน่วยรบทั้งห้าของมู่เฉิน เมื่อเขาลงมือต่อให้ไม่สามารถกำจัดมู่เฉินได้ แต่ก็คงไม่ยากที่จะกักตัวเอาไว้
พอได้ยินคำพูดของฟังยี่ มุมปากของจินไถหลิวหลีก็ฉายแววเยาะเย้ยโดยไม่มีใครสังเกต พวกโง่นี้ดูแต่พื้นผิวเท่านั้น ในเมื่อมู่เฉินสามารถตีค่ายกลเต่าดำแตกในเวลาเดียวกันกับนางด้วยหน่วยรบที่แตกต่างกันทั้งห้าได้ นั่นก็หมายความว่าเขามีศักยภาพสูงเกี่ยวกับค่ายกลศึก ถ้าไม่ใช่เพราะรัศมีจั้นยี่ที่แตกต่างทั้งห้าควบคุมยาก เขาอาจจะเป็นคนแรกที่ฝ่าฟันค่ายกลไปได้ แม้แต่นางก็ตามเขาไม่ติดฝุ่นเลย
แต่นางไม่ชอบขี้หน้าเซียวเทียน ดังนั้นก็เป็นปกติที่นางจะไม่พูดอะไรเพื่อเตือนเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางได้แต่มองจากด้านข้างอย่างเฉยเมย
“แต่ถ้าข้าสามารถจัดการกับมันได้ ข้าคิดว่าหมู่ตึกเทวะควรให้ข้ามีส่วนร่วมในการสืบทอดของจักรพรรดิเทียนเจิ้นด้วยไหม?” สายตาของเซียวเทียนกวาดมาขณะที่เปล่งเสียงหัวเราะ
เมื่อหลิ่วเหยียนได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ้มออกมาเช่นกัน “ใช่ พี่ฟังในเมื่อเราร่วมมือกัน เจ้าจะปล่อยให้พวกข้าทำงานเสียเปล่าไม่ได้นะ”
ฟังยี่ขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองไปที่จินไถหลิวหลี เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะกัดฟัน “ได้! ตราบใดที่เจ้าสามารถกำจัดมู่เฉินได้ เจ้าก็จะได้รับส่วนแบ่งในการสืบทอดของจักรพรรดิเทียนเจิ้น!”
“ฮ่าๆ พี่ฟังช่างใจกว้าง งั้นมาดูกันว่าข้าจะเด็ดหัวมันยังไง!” เซียวเทียนดีใจมาก จากนั้นก็มองใบหน้าเย็นชาของจินไถหลิวหลีด้วยท่าทางโอ้อวดก่อนจะโบกมือ ที่เบื้องหลังเขาหน่วยรบสุดนภาซึ่งมีนักรบมากกว่าสองหมื่นคนก็ระเบิดเสียงคำรามที่น่าตกใจ ขณะที่รัศมีจั้นยี่กวาดออกไปราวกับพายุ
ฟิ้ว!
เซียวเทียนทะยานนำออกไป หน่วยรบสุดนภาก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด ราวกับเมฆดำทะมึนมหึมาปรากฏที่เบื้องหน้าเฉินและหน่วยรบทั้งห้า ขัดขวางเส้นทางเอาไว้
“มู่เฉิน ถ้าข้าเป็นแก ตอนนี้จะรีบหันกลับหนีไป ไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่มีกระทั่งโอกาสในการหนี” เซียวเทียนยืนอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่เค้นเสียงเยือกเย็นมองมู่เฉินด้วยท่าทางน่าขนพองสยองเกล้า
เผชิญหน้ากับการท้าทายของเซียวเทียน มู่เฉินก็ทำเพียงยิ้มอย่างไม่แยแสแล้วปัดมือ “ไสหัวไป”
เมื่อประจันหน้าเซียวเทียน การโต้ตอบของมู่เฉินก็ทั้งหยาบกระด้างและเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่า
“รนหาที่ตาย! แกคิดจริงๆ หรือว่าต่อสู้กับข้าได้ครั้งหนึ่ง จะมีคุณสมบัติทำหยิ่งกับข้า?”
ใบหน้าของเซียวเทียนมืดดำราวกับคั้นน้ำออกมาได้ เขามองมู่เฉินแบบจะกินเลือดกินเนื้อ “เดี๋ยวรอให้ข้าสังหารพรรคพวกแกให้หมด ข้าจะดูสิว่าแกยังกล้าพูดเย่อหยิ่งแบบนี้อีกไหม!”
“ตู้ม!”
เซียวเทียนโบกมือ รัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากกวาดออกมาที่เบื้องหลัง ก่อร่างเป็นวิญญาณสงครามอสรพิษซึ่งมีขนาดใหญ่โตและดุร้ายกว่าก่อนหน้าที่เคยสู้กับมู่เฉินเสียอีก เมื่อเทียบกับวิญญาณสงครามของฝั่งมู่เฉินก็มีขนาดใหญ่กว่ามาก รัศมีจั้นยี่ที่พ่นออกมาพร้อมกับเสียงขู่ฟ่อ เผามิติโดยรอบเป็นเถ้าถ่านราวกับลาวาไหล
“ฟิ้ว!”
เมื่ออสรพิษยักษ์ก่อตัวขึ้นก็ไม่ได้ให้เวลามู่เฉิน มันพุ่งตัวทะลวงมิติพร้อมกับรัศมีจั้นยี่ลุกโชติช่วงพ่นออกมาจากปากราวกับลมหายใจของมังกร ห่อหุ้มวิญญาณสงครามทั้งห้าไปทุกทิศทาง
โฮก!
วิญญาณสงครามทั้งห้าปลดปล่อยเสียงคำรามลั่นฟ้า รัศมีจั้นยี่ไม่มีที่สิ้นสุดห้าสายกวาดทะลุมิติ ปะทะกันจังใหญ่กับรัศมีจั้นยี่ที่ลุกโชติช่วงที่พุ่งเข้ามา ช่วงเวลาที่เกิดการชนกันนั้นคลื่นกระแทกก็กระจายตัว ทำให้มิติโดยรอบสั่นสะเทือนจากแรงที่เกิดขึ้น
วาบ!
ขณะที่คลื่นกระแทกสร้างหายนะ วิญญาณสงครามทั้งห้าก็ไม่มีความหวาดเกรง พวกมันกระโจนออกไปภายใต้การบัญชาของมู่เฉิน
“หึ!”
เซียวเทียนส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา ขณะที่วิญญาณสงครามอสรพิษพุ่งออกมาจากด้านหลังเขาเช่นกัน บนร่างใหญ่โตมีลวดลายกะพริบวูบวาบ ซึ่งทำให้ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
ตู้ม! ตู้ม!
วิญญาณสงครามทั้งหกปะทะกันบนท้องฟ้า ปลดปล่อยการโจมตีดุเดือดราวกับสัตว์อสูร ทว่าพลังที่มีมันเหนือชั้นกว่ามาก
ทุกการปะทะกันทำให้มิติโดยรอบสั่นไหว แต่เผชิญกับการล้อมกรอบของวิญญาณสงครามทั้งห้า วิญญาณสงครามอสรพิษก็ไม่เกรงกลัว มันใช้รัศมีจั้นยี่ครอบงำที่เหนือชั้นกว่าผลักอีกฝ่ายคืนในทุกกระบวนท่า เมื่อมองจากการโจมตีของวิญญาณสงครามทั้งห้า ก็ไม่ได้กีดขวางวิญญาณสงครามอสรพิษมากนัก
“ฮ่าๆ มู่เฉิน แกคิดว่ากองทัพมั่วซั่วนี้จะเปรียบกับกองทัพชั้นยอดของข้าได้เรอะ? แม้ว่าจะมีจำนวนใกล้เคียงกัน แต่รัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบสุดนภาก็เกินกว่าน่วยรบทั้งห้าของแก!” เซียวเทียนอดใจเยาะเย้ยจากภาพที่เห็นไม่ได้
จากที่ไกลเมื่อฟังยี่และหลิ่วเหยียนเห็นเซียวเทียนได้เปรียบในการเผชิญหน้า พวกเขาก็ทอดถอนใจโล่งใจ ก่อนที่จะสั่งให้เหล่าจอมยุทธ์เร่งเผด็จศึกผู้บัญชาของอาณาเขตกงเวทสวรรค์
จินไถหลิวหลีจ้องมองฉากนี้อย่างเย็นชา ถ้ามู่เฉินมีแค่วิธีการแค่นี้ เขาก็ไม่สามารถผ่านค่ายกลเต่าดำได้ดังนั้นเร็วเกินไปที่พวกเซียวเทียนจะยินดี
ห่างออกไปมู่เฉินก็มองวิญญาณสงครามอสรพิษที่ปลดปล่อยพลังเกรี้ยวกราดออกไปอย่างเรียบเฉย สายตาวูบไหวขณะที่พึมพำกับตัวเอง “วิญญาณสงครามของเซียวเทียนมีลวดลายจั้นเหวินเกือบแปดพันลาย…”
จากการทดสอบก่อนหน้า เขาสังเกตได้ว่าตอนนี้วิญญาณสงครามของเซียวเทียนมีลวดลายจั้นเหวินแปดพันลาย ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมาก
ทว่าถ้าคิดจะเอาชนะคนอย่างมู่เฉินด้วยลวดลายจั้นเหวินเพียงแปดพันลาย เซียวเทียนก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
ดวงตามู่เฉินกะพริบ จากนั้นเขาก็กระทืบเท้าลงไปพร้อมกับคลื่นจิตในใจเคลื่อนไหว วิญญาณสงครามทั้งห้าที่กำลังปลดปล่อยการโจมตีใส่อสรพิษร้ายก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่จะกระแทกกันอย่างรุนแรงภายใต้สายตาตกตะลึงที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน
ครืน!
รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกระจายออกขณะที่วิญญาณสงครามที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงทั้งห้าโถมใส่กัน ความผันผวนรุนแรงก่อให้เกิดระลอกคลื่นในมิติโดยรอบจากการสั่นสะเทือนนี้ พวกมันก่อร่างเป็นวงแสงขนาดมหึมาที่มีมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่พล่านอยู่ข้างใน
“แกกล้ารวมรัศมีจั้นยี่ที่แตกต่างกันห้าแบบเข้าด้วยกันเรอะ ไม่กลัวผลสะท้อนกลับรึไง? แกคิดว่าตัวเองเป็นจั้นเจิ้นซือเรอะ?!” ม่านตาเซียวเทียนหดลงเมื่อเห็นภาพนี้ จากนั้นก็พูดอย่างเยือกเย็น
ครืน!
เมื่อได้ยินเสียงนั่น มุมปากของมู่เฉินก็ตีโค้งเย็นชา เสียงกึกก้องกดลงมาจากท้องฟ้า ทุกคนรีบเงยหน้าขึ้น สายตาจ้องมองด้วยความตื่นตะลึงไปยังเสาแสงห้าสีที่มีขนาดประมาณหลายพันจั้งพุ่งออกมาจากวงแสงอย่างน่าตกใจ!
เสาแสงห้าสีนี้ดูเสมือนจริง เปล่งคลื่นที่น่ากลัวออกมา ลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนปกคลุมเสาแสง ซึ่งมีสีสันต่างกัน ทำให้รัศมีจั้นยี่ไม่ได้ดูกลมกลืนสักนิด แต่กลับรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อเกลียวคลื่นปะทะกัน
ราวกับว่ากระจายกลิ่นอายทำลายล้าง
ใบหน้าของจินไถหลิวหลีเปลี่ยนไปมากโดยไม่สามารถควบคุมสีหน้าได้ในขณะนี้ นางสูดลมหายใจเยือกเย็น ความตกตะลึงอัดแน่นในดวงตา นั่นเป็นเพราะนางไม่คิดว่ามู่เฉินจะมาถึงขั้นตอนนี้ โดยการรวมรัศมีจั้นยี่ที่แตกต่างกันเข้าด้วยกัน นั่นเป็นวิธีที่จั้นเจิ้นซือตัวจริงเท่านั้นที่ทำได้!
ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้นางตกใจมากที่สุดก็คือนางพบว่ามีลวดลายจั้นเหวินมากกว่าเก้าพันลายบนเสาแสงห้าสีนั้น!