หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 896 เก็บเกี่ยว
ด้านนอกซากอารยธรรมความตาย
มีกองทัพอีกหลายกองทัพออรวมกันอยู่ใกล้ๆ ในที่ไกลก็ยังมีกองทัพเข้ามาอยู่เรื่อยๆ เพื่อรอดูว่าจะได้รับผลประโยชน์อะไรจากซากอารยธรรมระดับหนึ่งหรือไม่
ฟิ้ว!
ทว่าขณะที่กองทัพอื่นๆ หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นซากอารยธรรมก็สั่นไหวรุนแรง เสียงลมกระโชกแรงกล้าดังกึกก้อง ก่อนที่ทุกคนจะตกใจเมื่อเห็นร่างแสงกวาดออกมาทุกทิศทาง ช่างเป็นภาพที่ดูอลังการมาก
“นั่นมันอาณาเขตกงเวทสวรรค์…พวกเขาออกมาแล้ว ดูเหมือนสมบัติของซากอารยธรรมความตายจะอยู่ในมือของพวกเขา…”
เมื่อคนกลุ่มใหญ่ปรากฏตัว เสียงกระซิบด้วยความอิจฉาก็สะท้อนอยู่นอกซากอารยธรรมนับไม่ถ้วน บางคนดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่เนื่องจากพลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์จึงไม่มีใครกล้าเปิดเผยความโลภออกมา
ที่เบื้องหน้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า สายตากวาดมองออกไปด้านนอกจากนั้นก็หันไปมองด้านในซากอารยธรรม ที่เบื้องหลังตำหนักสุดนภาและหมู่ตึกเทวะติดตามมาอย่างใกล้ชิด
“เราจะปล่อยพวกมันเหรอ?” จิ่วโยวถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกที่ด้านข้างมู่เฉิน
“ถ้าไม่ปล่อย กลัวว่าหลิ่วเหยียนจะคลั่งเอาน่ะ” มู่เฉินยิ้ม จากนั้นดวงตาก็วูบไหว เขาสะบัดแขนเสื้อ รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตก็พุ่งออกมาครอบคลุมหน่วยรบสุดนภาแล้วเหวี่ยงออกไปอย่างไม่เกรงใจ
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
รัศมีจั้นยี่ระเบิดออก เสียงร้องดังก้องบนท้องฟ้า จากนั้นทุกคนก็ตะลึงไปเมื่อเห็นนักรบสุดนภานับไม่ถ้วนปลิวกระจายออกไปราวกับเทพธิดาโรยกลีบดอกไม้
หลังจากโยนหน่วยรบสุดนภา มู่เฉินก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง รัศมีจั้นยี่ล้อมรอบร่างเซียวเทียนกลายเป็นลำแสงยิงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราวกับสายฟ้าฟาด
เมื่อรัศมีจั้นยี่จางหายไปอย่างสมบูรณ์ เซียวเทียนก็คงถูกโยนไปไกลหลายร้อยลี้แล้ว
“ไป!”
สร้างสถานการณ์ให้วุ่นวายเพิ่ม มู่เฉินก็สะบัดมือโดยไม่ลังเลแล้วทะยานออกไป สมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เร่งความเร็วจนถึงขีดสุด หายเข้าไปในเส้นขอบฟ้าในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
เมื่อพวกเขาหายจากไป คลื่นความผันผวนก็กวนตัวในซากอารยธรรมอีกครั้ง ตำหนักสุดนภาและหมู่ตึกเทวะก็พุ่งตามออกมา เมื่อหลิ่วเหยียนเห็นนักรบสุดนภาที่ร้องเสียงคร่ำครวญกระจัดกระจายอยู่เต็มภูเขา ก่อนที่จะมองไปในทิศทางที่เซียวเทียนถูกโยนออกไป ใบหน้าของเขาก็เขียวคล้ำ
“รวมหน่วยรบสุดนภาก่อนแล้วค่อยไปช่วยเซียวเทียน!” หลิ่วเหยียนขบฟันแน่น มู่เฉินเจ้าเล่ห์จริงๆ ทีนี้ตำหนักสุดนภาก็จะวุ่นวายไปพักใหญ่จนไม่สามารถไล่ตามอีกฝ่ายไปได้
ส่วนอีกด้านขวัญกำลังใจของหมู่ตึกเทวะก็แหลกเหลว ฟังยี่กับเหล่าเจ้าภูเขามีสีหน้าดำมืด การเดินทางมาที่ซากอารยธรรมความตายครั้งนี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นผู้ชนะแท้จริง ถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไป หมู่ตึกเทวะของพวกเขาจะเป็นตัวตลกในสงครามล่าแน่อน
“เราจะปล่อยพวกมันไปง่ายๆ ไม่ได้! ทัพเสริมของเรากำลังจะมาถึงในไม่ช้า พวกเราไปตามล่าพวกมัน เราต้องงัดปากพวกมันให้คายสิ่งที่เอาจากเราไปให้จงได้!” ฟังยี่พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน
เมื่อเหล่าเจ้าภูเขาได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่ได้ตอบสนองเหมือนที่เคยทำในอดีต ตรงกันข้ามพวกเขากลับหันไปมองจินไถหลิวหลี ความหมายเบื้องหลังสายตาชัดเจนมาก พวกเขาต้องการฟังความคิดเห็นของนางก่อน
เมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองมา จินไถหลิวหลีก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว “แม้ว่าเราจะมีกำลังเสริม แต่ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายมีกำลังเสริมด้วยหรือไม่? ข้ายังบาดเจ็บอยู่ จึงไม่สามารถดึงพลังที่แข็งแกร่งของกองทัพผลึกฟ้าออกมาใช้ได้เต็มที่ มิหนำซ้ำขวัญกำลังใจของกองทัพอื่นๆ ก็ต่ำลงมากจากการตกเป็นตัวประกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้ ดังนั้นถึงจะตามไปทัน โอกาสที่จะชนะก็มีไม่เท่าไร…”
เมื่อเหล่าเจ้าภูเขาได้ยินคำพูดนี้ก็พยักหน้า เพราะสิ่งที่จินไถหลิวหลีพูดนั้นเป็นเรื่องจริง สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาไม่ดีนัก ส่วนตำหนักสุดนภาก็วุ่นวายกับเรื่องของตน ไม่มีความสนใจที่จะร่วมมือกันอีกแล้ว
“แล้วจะปล่อยพวกมันไปแบบนี้น่ะเรอะ?” ฟังยี่ตะเบ็งเสียงโกรธแค้น
“พี่ฟังไม่ต้องกังวล สงครามล่ายังไม่จบ นี่เป็นเพียงความผิดพลาดเล็กน้อยในการเผชิญหน้าครั้งหนึ่ง นอกจากนี้เราก็ไม่ได้มือเปล่าซะทีเดียว อย่างน้อยข้าก็ได้มรดกมาไม่ใช่เหรอ?” จินไถหลิวหลีเอ่ยเสียงเรียบ “ให้เวลาข้าในการทำความเข้าใจกับมรดกอีกหน่อย ข้าเชื่อว่าครั้งต่อไปที่เราพบกัน ข้าจะบรรลุการเป็นจั้นเจินซือที่แท้จริงได้ ในเวลานั้นข้าจะจัดการกับมู่เฉินด้วยตัวเองแน่นอน”
“โอ้?”
เมื่อได้ยินคำพูดของจินไถหลิวหลี สีหน้าของเหล่าเจ้าภูเขาก็เปลี่ยนไป พวกเขามองไปที่ใบหน้างดงามด้วยความตกใจก่อนที่จะอุทานว่า “แม่ทัพใหญ่จินไถจะบรรลุเป็นจั้นเจิ้นซือรึ?”
ไม่ผิดที่พวกเขาจะตกใจ เนื่องจากมีจั้นเจิ้นซือจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อยในโลกนี้ มิหนำซ้ำความสามารถที่พวกเขาครอบครองก็ข่มขวัญเหล่าจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนได้ สำหรับหมู่ตึกเทวะจั้นเจิ้นซือเป็นอาวุธระดับยุทธศาสตร์อย่างไม่ต้องสงสัย การข่มขู่โดยจั้นเจิ้นซือเป็นสิ่งที่แม้แต่เจ้าภูเขาอย่างพวกเขายังเทียบไม่ได้
“ฮ่าๆ แม่ทัพใหญ่จินไถเป็นอัจฉริยะแท้จริง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหมู่ตึกเทวะคงจะเป็นสำนักแรกที่สร้างจั้นเจิ้นซือได้ ในสงครามล่าแม่ทัพใหญ่จะต้องแสดงความสง่างามและกำราบทุกคนจนเป็นที่ประจักษ์แน่นอน” เมื่อพวกเขาฟื้นจากความตกใจก็ประสานมือ เปรียบเทียบกับก่อนหน้ารอยยิ้มของพวกเขาอบอุ่นขึ้นมาก
นั่นเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจว่าเมื่อจินไถหลิวหลีบรรลุการเป็นจั้นเจิ้นซือที่แท้จริง สถานะของนางในหมู่ตึกเทวะจะสูงขึ้นแค่ไหน ในเวลานั้นแม้แต่ฟังยี่ก็ต้องอยู่ใต้แสงความโดดเด่นของนาง
พลังของจินไถหลิวหลีเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเคารพแล้ว
ฟังยี่ยืนอยู่ด้านข้างก็ตกตะลึง จากนั้นเขาก็ได้แต่กล้ำกลืนความไม่พอใจเกี่ยวกับจินไถหลิวหลีไว้เท่านั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขามั่นใจว่าสถานะของตนสูงกว่านางเล็กน้อย เนื่องจากการฝึกฝนของนางไม่ได้แข็งแกร่ง ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ก็ได้มาจากการพึ่งพาทรัพยากรมหาศาลของหมู่ตึกเทวะ เพื่อให้บัญชากองทัพได้สะดวกง่ายขึ้น
การลงทุนทรัพยากรเหล่านั้นก็เพื่อช่วยให้จินไถหลิวหลีเป็นจั้นเจิ้นซือ ตอนนี้ถือว่าหมู่ตึกเทวะลงทุนสำเร็จแล้ว ดังนั้นสถานะของจินไถหลิวหลีจะต้องยกระดับขึ้นไปอีก
จินไถหลิวหลีมองการเปลี่ยนแปลงกะทันหันบนใบหน้าของทุกคน นางยิ้มบาง “ทุกคนไม่จำเป็นต้องกังวล เราจะจดจำความแค้นนี้ไว้ก่อน จุดสำคัญของสงครามล่าไม่ได้อยู่ที่นี่…”
ทุกคนผงกหัว ถูกต้องจุดสำคัญของสงครามล่าไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่อยู่ที่ระดับเหนือกว่าคนอื่น ถ้าท่านประมุขสามารถบรรลุในสงครามล่า พลังของเขาจะต้องอยู่เหนือเจ้าสำนักคนอื่นแน่ ถึงตอนนั้นหมู่ตึกเทวะก็จะกลายเป็นสุดยอดกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนือ บางทีอาจจะก้าวไปอีกขั้น…
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความขุ่นเคืองในใจก็สงบลง เมื่อถึงเวลานั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะราบเป็นหน้ากลองโดยฝีมือของหมู่ตึกเทวะ ชีวิตของมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ถูกแขวนเก็บไว้ในความคิดพวกเขาเท่านั้น
“ไปกันเถอะ”
เมื่อเห็นว่าทุกคนสงบสติอารมณ์ลงแล้ว จินไถหลิวหลีก็ไม่คิดที่จะอยู่ต่อ สายตานางกวาดมองไปยังกองทัพตำหนักสุดนภาที่ยังคงรวมตัวกัน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานไปทางทิศเหนือ
ที่ด้านหลังกองทัพหมู่ตึกเทวะก็ติดตามไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วเหยียนมองไปที่หมู่ตึกเทวะที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาก่อนจะจากไป ใบหน้าก็มืดมนลงเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายเขาก็หันไปมองทิศที่มู่เฉินจากไปพูดเสียงน่าขนลุกว่า “มู่เฉิน พวกแกท้าทายหมู่ตึกเทวะครั้งใหญ่ พวกเขาไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปแน่นอน ในเวลาที่เสือสองตัวฟัดกันจนหนำใจ ตำหนักสุดนภาก็จะรอตกของใหญ่เพื่อผลประโยชน์เป็นคนสุดท้าย!”
“อาณาเขตกงเวทสวรรค์ต้องจบสิ้นในสงครามล่าครั้งนี้!”
ขณะที่หลิ่วเหยียนกำลังสาปแช่ง
มู่เฉินก็นำอาณาเขตกงเวทสวรรค์เดินทางมาไกลจากซากอารยธรรมความตายแล้ว หลังจากได้รับการยืนยันว่าปลอดภัย พวกเขาก็ชะลอตัวลง ก่อนที่จะมองหาเทือกเขาที่อยู่ไกลสายตาซ่อนกองทัพใหญ่ไว้ภายใน
พวกเขาผ่านการต่อสู้หนักหนาในซากอารยธรรมความตายมามาก แม้ผู้บัญชาการอย่างพวกเขาจะยังสามารถทนได้ แต่เหล่านักรบอ่อนล้าไปหมดแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกหยุดพักที่นี่เป็นการชั่วคราว
กองทัพใหญ่หยุดพักในเทือกเขา มู่เฉินกับเหล่าผู้บัญชาการก็มารวมตัวกัน พวกเขากำลังคำนวณการเก็บเกี่ยวในการเดินทางมายังซากอารยธรรมความตาย เมื่อผลลัพธ์ออกมาทุกคนก็หยุดอาการดีใจเอาไว้ไม่ได้
“ในซากอารยธรรมความตาย เรากลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้วได้แปดหมื่นเม็ดบวกกับค่าไถ่จากหมู่ตึกเทวะและที่เรามีอยู่ก่อนหน้า ก็มีเม็ดยาเกือบสองแสนเม็ดแล้วตอนนี้” เมื่อจิ่วโยวบอกจำนวนเม็ดยามหาศาล แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้วเหล่าผู้บัญชาการก็ยังอดอุทานไม่ได้
“ยาหยุ่นลั้วสองแสนเม็ดเพียงพอที่จะทำลายผนึกของขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนหนึ่งแห่ง ดูท่าเราทำตามเป้าหมายเสร็จก่อนกำหนดนะเนี่ย” เลี่ยซันยิ้มเผล่
“ทั้งหมดต้องขอบคุณมู่เฉิน ไม่งั้นไม่เพียงแต่พวกเราจะไม่ได้รับยาหยุ่นลั้วจำนวนมากเช่นนี้ อาจยังได้รับบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากด้วย” หลิงเจี้ยนมองไปที่มู่เฉิน
คนที่เหลือก็พากันพยักหน้า แม้แต่เสี่ยยิงที่ไม่เคยชอบมู่เฉินมาก่อนก็ยังผงกหัวด้วยรอยยิ้ม หลังจากประสบกับสถานการณ์หลากหลาย แม้แต่ทหารชาญศึกที่มีประสบการณ์อย่างพวกเขาก็อดชื่นชมมู่เฉินในใจไม่ได้
ได้รับคำชื่นชมต่อหน้า มู่เฉินก็ตอบรับอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“พวกเราพักที่นี่กันสักระยะนะ ข้าก็อยากใช้โอกาสนี้ในจัดการสิ่งต่างๆ ที่ได้รับจากซากอารยธรรมความตาย” มู่เฉินยิ้มขณะที่พูดต่อ “ดังนั้นข้าหวังว่าทุกคนจะสามารถปกป้องข้าได้ขณะที่ข้าเข้าสมาธิ”
“โอ้?”
สีหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่านางจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ขณะที่ริ้วความอัศจรรย์วูบวาบในดวงตา “เจ้าได้อะไรมาจากซากอารยธรรมความตายเหรอ?”
มู่เฉินยิ้มบางจากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “ข้าอาจสามารถบรรลุการเป็นจั้นเจิ้นซือได้หลังออกจากสมาธิครั้งนี้…”
เมื่อพูดออกมา ใบหน้าผู้บัญชาการทั้งหลายก็แข็งทื่อ ก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ต่างฝ่ายต่างเห็นความตกใจในสายตาของกันและกัน
ในที่สุดอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะมีจั้นเจินซือตัวจริงแล้วเรอะ?!
**สำนวน เทพธิดาโรยกลีบดอกไม้แปลว่ากระจายไปทั่ว