หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 919 รับ
มิติเหนือเทือกเขากู่ไหกระเพื่อมไหว
แววตื่นตะลึงฉาบในดวงตาทุกคน ขณะจ้องมองร่างผู้อาวุโสคนที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่ ชายผู้นี้ก็คือจอมพลเทียนจิ้ว หนึ่งในสามจอมพลแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ทันใดนั้นเสียงต่ำพร่าวุ่นวายก็ดังขึ้น เกิดอะไรขึ้นในส่วนลึกของสมรภูมิหยุ่นลั้วกัน ทำไมจอมยุทธ์ระดับนี้ถึงเผยตัวกันที่นี่แบบกะทันหัน?
เมื่อมู่เฉินและเหล่าผู้บัญชาการเห็นภาพการปรากฏตัวของเทียนจิ้ว พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา มีเทียนจิ้วอยู่ด้วยแบบนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จวนยมโลกจะทำอะไรพวกเขาอีกต่อไป
ใบหน้าของหมิงฮั้วมืดครึ้มลงทันทีที่เห็นการปรากฏตัวของเทียนจิ้วพลางพูดว่า “ไอ้เฒ่าบ้า แกนี่อย่างกับวิญญาณเกาะติดหลังข้า”
เทียนจิ้วยิ้มอ่อน ก่อนที่จะมองเทียนเสียที่ตัวแข็งทื่อ “พอ เรื่องวันนี้จบแค่นี้เถอะ”
“จบแค่นี้?” หมิงฮั้วตอบเสียงเย็นชา “อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของแกทำให้จั้นเจิ้นซือเพียงคนเดียวของจวนยมโลกตาย แกคิดว่าเรื่องนี้ยอมกันได้ง่ายๆ เรอะ?”
“แกเป็นคนฆ่าเองไม่ใช่เหรอ?” เทียนจิ้วยิ้มพลางพูดต่อ “แต่ด้วยความเห็นใจกับที่พวกแกสูญเสียจั้นเจิ้นซือไป ดังนั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าก็ไม่เอายาหยุ่นลั้วสี่แสนเม็ดของพวกแกแล้วละกัน”
ดูเหมือนเขาจะทำใจดียอมไม่เอายาหยุ่นลั้วสี่แสนเม็ดอย่างง่ายดาย เนื่องจากเทียนจิ้วรู้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ไอ้เฒ่าหมิงฮั้วจะยอมส่งมอบยาหยุ่นลั้วสี่แสนเม็ดให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ที่พบขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแล้ว
“แก!”
แววดุร้ายพวยพุ่งขึ้นในดวงตาของหมิงฮั้ว จากนั้นก็สาดสายตาเย็นชาไปที่มู่เฉิน เมื่อถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น มู่เฉินก็รู้สึกถึงความเย็นเยือกบนผิวกายราวกับว่าถูกอสรพิษมองมาจากมุมมืด
นี่ทำให้สีหน้ามู่เฉินเปลี่ยนไป เพราะเขารู้ว่าถ้าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดตัดสินใจที่จะสังหารเขา เขาจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมากแน่ ในเวลานั้นแม้แต่ซิวหลัวก็ไม่สามารถปกป้องเขาได้
เทียนจิ้วเคลื่อนไหวเข้าจับกุมเทียนเสียที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเอาไว้ได้ทันที แม้จะมีผลจากการลงมือกะทันหันจนไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ยังแสดงให้เห็นช่องว่างชัดเจนระหว่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดและขั้นแปด
“ฮ่าๆ ไอ้เฒ่าหมิงฮั้ว ข้าขอแนะนำให้แกเก็บความคิดไปซะ เพราะเมื่อไรที่แกกระดุกกระดิก ข้าก็จะฆ่าเทียนเสียทันที” แต่ขณะที่แววตาของหมิงฮั้วกำลังสาดแสงดุร้าย เสียงของเทียนจิ้วก็ดังขึ้นอีกครั้ง
แววตาของหมิงฮั้วยิ่งมืดครึ้มลงขณะจ้องมองไปที่มู่เฉินเขม็ง แต่สุดท้ายเขาก็เลื่อนสายตาออก เพราะเขารู้ว่าเทียนจิ้วพูดถูก ไม่ว่าการเคลื่อนไหวของเขาเร็วแค่ไหน แม้ว่าเขาจะสามารถสังหารมู่เฉินได้ แต่จวนยมโลกก็จะสูญเสียจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดด้วยเหมือนกัน
นี่เป็นการสูญเสียยิ่งใหญ่กว่าหลินหมิงเสียอีก
“ครั้งนี้ถือว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ใจโหด แต่อย่าได้คิดลำพองเกินไป เมื่อท่านประมุขรู้เรื่องนี้ เขาไม่ปล่อยพวกแกไปง่ายๆ แน่!” หมิงฮั้วยิ้มน่าขนลุกก่อนที่จะเค้นเสียงเย็นชา ด้วยการสะบัดแขนเสื้อ ร่างของเขาก็หายไปปรากฏที่ด้านหน้ากองทัพจวนยมโลก เวลาเดียวกันเทียนจิ้วก็ปรากฏตรงหน้ากองทัพอาณาเขตสวรรค์พร้อมกับปิงเหอ
ทั้งสองต่างเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด ดังนั้นจึงไม่กระทำการอะไรที่ไร้ความหมาย เพราะพวกเขารู้ชัดเจนว่าหากไม่สนใจอะไรพุ่งเข้าห้ำหั่นกันและกันไม่ลดละ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่
“คารวะท่านจอมพลเทียนจิ้ว!” เมื่อเหล่าผู้บัญชาการเห็นเทียนจิ้วปรากฏตัวหน้ากองทัพ พวกเขาก็รีบประสานมือทักทาย
เทียนจิ้วยิ้มพลางโบกมือก่อนจะมองไปทางมู่เฉิน “ยินดีกับผู้บัญชาการมู่สำหรับการบรรลุเป็นจั้นเจิ้นซือ หลังจากผ่านมาหลายปีในที่สุดก็มีจั้นเจิ้นซือในอาณาเขตกงเวทสวรรค์สักที”
เขาหยุดพูดอึดใจ ก่อนจะยิงคำถามสำคัญ “ตอนนี้มียาหยุ่นลั้วจำนวนเท่าไรแล้ว?”
“หลังผ่านการคำนวณ พวกเรามียาหยุ่นลั้วสี่แสนสามหมื่นเม็ดขอรับ” ซิวหลัวตอบ
“สี่แสนสามหมื่นเม็ดหรือ?” ดวงตาของเทียนจิ้วโชนแสง จากนั้นก็ยิ้มปลื้มปีติ “ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าครั้งก่อนมาก แม้ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนครั้งนี้ที่เจอจะประหลาดไปหน่อย แต่ก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
“ถ้าไม่มีผู้บัญชาการมู่นำในสงครามล่าครั้งนี้ ข้าว่าเราคงไม่สามารถได้รับยาหยุ่นลั้วเพียงพอ” เลี่ยซันยิ้ม ในคำพูดชี้ให้เห็นถึงความชอบของมู่เฉิน
“ถูกต้อง ยาหยุ่นลั้วสี่แสนสามหมื่นเม็ดส่วนใหญ่มาจากผลงานของหน่วยรบผู้บัญชาการมู่” ซิวหลัวพูดออกไปตามความจริง ไม่ได้มีการปิดบังอะไร
เมื่อเทียนจิ้วได้ยินก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากตัวเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีผลงานโดดเด่นในสงครามล่าเช่นนี้ กระทั่งคนที่ทะนงตนอย่างเลี่ยซันและซิวหลัวยังปฏิบัติต่อชายหนุ่มแตกต่างจากเดิมและสุภาพมาก
“ผู้บัญชาการเลี่ยซันให้ค่าข้าเกินไป ถ้าไม่ใช่การทำงานร่วมกันของทุกคน ข้าก็คงไม่สามารถทำอะไรได้” มู่เฉินอึ้งไปเมื่อเลี่ยซันเล็งเห็นความดีในตัวเขา ทว่าเขากลับไม่ได้หยิ่งผยอง แต่เผยเพียงรอยยิ้มออกมา
“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าท่านประมุขและจิ่วโยวสายตาแหลมคมจริงๆ” เทียนจิ้วชื่นชมกับนิสัยของมู่เฉินที่ไม่หยิ่งผยองหรือหัวร้อน เขารู้สึกปลื้มใจเล็กน้อย ตอนแรกเหตุผลที่เขาปฏิบัติดีต่อมู่เฉินส่วนใหญ่ก็มาจากจิ่วโยว หลังจากนั้นก็เป็นเพราะความใส่ใจของท่านประมุขที่มีต่อมู่เฉิน ทว่าตอนนี้เขาถึงตระหนักได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้มีเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์และมีความสามารถล้นเหลือ
ตลอดทางของชายหนุ่มเริ่มจากการปีนขึ้นในตำแหน่งแม่ทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทั่วไป พัฒนาการของเขาทำเอาพูดไม่ออกและน่าอัศรรรย์ใจ ไม่มีใครเดาได้ว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหนในอนาคต…
จิ่วโยวมองมู่เฉินก็รู้สึกพอใจที่เขาได้รับการยอมรับจากทุกคนทีละน้อย ก่อนจะยิ้มให้เทียนจิ้ว “ผู้เฒ่าเทียนจิ้ว ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าท่านประมุขพบขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแล้วหรือเจ้าคะ?
เมื่อเหล่าผู้บัญชาการได้ยินก็พากันหูผึ่งทันที การต่อสู้ฝ่าฟันทั้งหมดในสมรภูมิหยุ่นลั้วของพวกเขาก็คือการเตรียมการเพื่อเปิดขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน แต่พวกเขาไม่มีทางช่วยหาสถานที่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่พึ่งพาความสามารถของท่านประมุขเท่านั้น
เทียนจิ้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นท่าทางก็ดูจนใจขณะพูดว่า “พบขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแล้ว แต่มีปัญหาเล็กน้อย…”
“ปัญหา?”
“ในส่วนที่ลึกสุดของสมรภูมิหยุ่นลั้วเป็นดินแดนที่มีความรุนแรงที่สุด ที่นั่นถูกครอบงำโดยพายุผลึกวิญญาณ เป็นสถานที่ที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ต้องระวังตัว หลังจากล้มเหลวหลายครั้งในการค้นหา เราก็ค้นพบร่องรอยของขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนจริงๆ ซึ่งขุมทรัพย์นี้มีขนาดใหญ่มาก ยิ่งใหญ่เกินกว่าขุมทรัพย์อื่นๆ ที่เราเคยเจอมาในอดีตอีก” เทียนจิ้วพูดอย่างช้าๆ
“โอ้?” หัวใจของเหล่าผู้บัญชาการเต้นไม่เป็นส่ำ
“แต่เนื่องจากขุมทรัพย์นี้มีขนาดใหญ่เกินไป จึงโดนขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ เล็งไว้เช่นกัน” เทียนจิ้วพูดอย่างจนใจ
มู่เฉินและคนอื่นๆ ฉายแววตะลึงบนใบหน้า ก่อนที่ความรู้สึกชาหนึบจะเกิดขึ้นบนหนังหัว นั่นเพราะแค่คิดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่มีจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนหกเจ็ดคนสนใจในสิ่งเดียวกัน ก็ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวแล้ว
หากการต่อสู้ระเบิดขึ้นก็จะเป็นหายนะครั้งใหญ่แน่นอน การต่อสู้ระดับของพวกเขาในที่แห่งนี้เทียบไม่ได้เลย
“แล้วตอนนี้พวกเราควรทำยังไง?” จิ่วโยวเอ่ยถาม
“เตรียมเคลื่อนพลไปยังพื้นที่ส่วนลึกที่สุดของสมรภูมิหยุ่นลั้ว ไม่ว่าอย่างไรเราก็ห้ามละทิ้งขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแห่งนี้ ดูจากความยิ่งใหญ่ของสถานที่นี้ จอมยุทธ์เจ้าของขุมทรัพย์จะต้องเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังอย่างยิ่ง ถ้าเราได้รับของเหลวหลิงเสินที่อยู่ในนั้นมา ท่านประมุขอาจบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็เป็นได้ แต่ถ้าประมุขหมู่ตึกเทวะ โยวมิ่งหรือหลิ่วเทียนเต้าได้รับไปก็จะไม่เป็นข่าวดีสำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราเลย” เทียนจิ้วพูดเสียงขรึม
พอได้ยินคำพูดนี่ ทุกคนก็พยักหน้าเคร่งขรึม แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทราบว่ามีความแตกต่างมากเพียงใดระหว่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นกับขั้นปลาย แต่ในเมื่อเทียนจิ้วพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ ก็ต้องเป็นความแตกต่างราวฟ้ากับเหวแน่ ในเวลาเดียวกันโชคชะตาของอาณเขตกงเวทสวรรค์ก็จะถูกแขวนเอาไว้บนนั้นด้วย
เมื่อเทียนจิ้วเห็นการตอบสนองของทุกคนก็โบกมือกองทัพอาณาเขตสวรรค์ก็เริ่มเคลื่อนพล
ขณะที่กองทัพอาณาเขตสวรรค์เคลื่อนไหว สายตาเทียนจิ้วก็หดลง พวกมู่เฉินก็รู้สึกถึงบางสิ่ง พวกเขาเงยหน้าด้วยอาการตื่นตะลึงบนใบหน้า
นั่นเป็นเพราะขณะนี้เกิดการบิดเบือนหลายจุดระหว่างฟ้าดิน ร่างเงาหลายร่างพุ่งลงมาจากอุโมงค์มิติ แต่ละคนส่งแรงกดดันทรงพลัง ทำเอามิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเลยทีเดียว
แดนปีศาจ ตำหนักสุดนภาและกองทัพสูงสุดอื่นๆ ก็ส่งเสียงฮือฮากันยกใหญ่ เนื่องจากร่างที่ปรากฏเป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดของสำนัก
หลังจากค้นพบขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแล้ว ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งหมดก็ส่งจอมยุทธ์ชั้นยอดออกมาเพื่อรับกองทัพของตนเองไป
“เจ้าพวกนี้มากันเร็วจริงๆ” เทียนจิ้วยิ้มบาง แต่ก็ไม่ลังเลขณะโบกมือเบาๆ คลื่นหลิงยิ่งใหญ่กระจายออกจากร่างกายเขา ก่อตัวเป็นม่านกั้นขนาดมหึมาปกคลุมกองทัพอาณาเขตสวรรค์ไว้
“ไป”
เทียนจิ้วพุ่งนำออกไปเป็นคนแรก โดยมีม่านมหึมาโอบอุ้มกองทัพอาณาเขตสวรรค์ตามไป ช่างราวกับหมู่เมฆ พริบตาหายไปในขอบฟ้า
พร้อมกับการเคลื่อนพลจากไปของกลุ่มเทียนจิ้ว ไม่นานกองทัพอื่นๆ ก็จัดกระบวนทัพอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะทะยานสู่ขอบฟ้า
เมื่อกองทัพชั้นนำได้เห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็ถอนหายใจ พวกเขารู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นส่วนหลักของสงครามล่าแล้ว ถ้าไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอยู่ในกองทัพ พวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วม
หลังจากสงครามล่าครั้งนี้ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ของภูมิภาคทางเหนือจะเปลี่ยนแปลงมากเท่าไรและจะมีขั้วอำนาจสูงสุดเท่าไรที่ล่มสลายลง…