หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 921 ละลายอักขระลึกลับ
ปฏิกิริยาของเข็มทิศค้นวิญญาณ
ทำเอามู่เฉินตกใจและยินดีในเวลาเดียวกัน หากซากอารยธรรมที่เบื้องหน้าถูกทิ้งไว้โดยจอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาลจริงๆ เขาอาจจะได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลก็ได้
“มีอะไรหรือ?” มั่นถัวหลัวถามทันทีเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของมู่เฉิน
เมื่อได้ยินคำถาม มู่เฉินก็ไม่ได้คิดซ่อนอะไรไว้ เขาบอกทุกอย่างที่รู้ออกไป
“วังสวรรค์บรรพกาล จอมพลสี่?”
พอได้ยินคำอธิบายของมู่เฉิน เทียนจิ้วและคนอื่นๆ ก็ตกใจไป แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าใครคือจอมพลสี่ แต่พวกเขารู้ว่าวังสวรรค์บรรพกาลทรงพลังเพียงใด
ในสมัยโบราณวังสวรรค์บรรพกาลคือเจ้าเหนือหัวของทวีปเทียนหลัว ว่ากันว่าแม้สำนักแห่งนี้จะสูญสลายไปก็ยังทิ้งซากสำนักไว้ในทวีปเทียนหลัว ดังนั้นหลายปีมานี้ขั้วอำนาจสูงสุดจำนวนมากในทวีปจึงใช้ความพยายามมากเพื่อค้นหา
มู่เฉินพยักหน้า เขามองไปทางมั่นถัวหลัว ก็เห็นว่าใบหน้านางว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง แต่นางก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว พูดด้วยความคิดลึกซึ้งว่า “จอมพลสี่เหรอ… ข้าเคยได้อ่านเกี่ยวกับประวัติเขาในบันทึกโบราณมาก่อน ดูเหมือนว่าเขาจะเสียชีวิตในสนามรบโบราณแห่งนี้จริง เพียงแต่ข้าไม่เคยคิดว่าจะเป็นที่นี่”
“ว่ากันว่าตอนนั้นเขาเข้าสู้ศึกกับแม่ทัพทุนเทียนจนถึงจุดที่ท้องฟ้าดับวูบลง สุดท้ายทั้งคู่ก็สิ้นชีพ…”
“แม่ทัพทุนเทียน?” มู่เฉินและคนอื่นๆ อึ้งไปกับข้อมูลที่ได้ยิน
“แม่ทัพเผ่าปีศาจต่างมิติมีพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ตอนนั้นมันเป็นหนึ่งในผู้นำทัพเข้ารุกรานทวีปเทียนหลัว”
มั่นถัวหลัวอธิบายกับ ม่านตาสีทองเหลือบมองไปที่พีระมิดสีดำในมิติแตกสลาย ประกายแสงวูบไหวในดวงตา “ถ้าที่นี่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยจอมพลสี่จริงๆ ละก็ ของเหลวหลิงเสินที่อยู่ที่นี่จะต้องทรงพลังมากแน่นอน พวกเราจะปล่อยให้กองทัพอื่นๆ อย่างหมู่ตึกเทวะได้ไปไม่ได้ มิฉะนั้นจะทำลายดุลอำนาจในปัจจุบันของภูมิภาคทางเหนือ ด้วยนิสัยของพวกมัน อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเป็นสำนักแรกที่ได้รับผลกระทบ”
มู่เฉินพยักหน้า ค่อยๆ สงบอารมณ์ก่อนที่จะเบนสายตามองไปยังทิศทางอื่นพลางถามอย่างสงสัยว่า “ไหนบอกว่าขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็เล็งซากอารยธรรมนี่ไว้? ทำไมไม่เห็นร่องรอยของพวกเขาเลยล่ะ?”
“พื้นที่มิติแตกสลายแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล พวกขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ อยู่ทิศอื่น ระยะไกลจากเรามาก ดังนั้นไม่มีทางเข้าสู่ขุมทรพัย์ทางนี้แน่นอน ตราบใดที่มียาหยุ่นลั้วเพียงพอก็สามารถเข้าจากทางไหนก็ได้”
มั่นถัวหลัวยิ้ม “ปกติเปิดทางเข้าทางเดียวก็เพียงพอสำหรับทุกคน แต่ชัดว่าไม่มีกองทัพใดเต็มใจจะแบ่งปันยาหยุ่นลั้วที่หามาได้อย่างลำบากให้ผู้อื่นได้ใช้ด้วย”
มู่เฉินอึ้งไปจากนั้นก็เข้าใจทันที แม้การทำแบบนั้นจะช่วยประหยัดยาหยุ่นลั้วไว้มาก แต่ชัดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจทั้งหลายต้องการ พวกเขายอมจ่ายมากกว่าปล่อยให้กองทัพอื่นได้รับประโยชน์ หากไม่มียาหยุ่นลั้วในมือเพียงพอ ก็เชิญถอยกลับไปเลย เวลานี้การลดคู่แข่งลงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับขั้วอำนาจต่างๆ
ในเวลาแบบนี้ทุกคนต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น หากไม่สามารถทำได้ก็กล่าวได้ว่าไม่มีคุณสมบัติพอจะลงชิงชัยในขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน
“ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ดังนั้นมีเพียงเหล่าผู้บัญชาการเท่านั้นที่สามารถตามข้าเข้าไปได้ สำหรับคนที่เหลือให้อยู่ที่นี่และเตรียมพร้อมเอาไว้” มั่นถัวหลัวกวาดตามองไปที่กองทัพขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหลัง ในพื้นที่อันตรายอย่างขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน หากนำกองทัพขนาดใหญ่เข้าไป ไม่เพียงแต่จะไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ มิหนำซ้ำอาจจะกลายเป็นภาระแทน หากคนเยอะแล้วเผลอไปกระตุ้นอะไรขึ้นมา ผลลัพธ์ก็เป็นเรื่องจินตนาการไม่ได้เลยทีเดียว
คนอื่นๆ พยักหน้า เหตุผลที่พวกเขานำกองทัพมาที่นี่ ก็เพราะพวกเขากังวลว่าหากไม่มีผู้บัญชาการ พวกทหารจะถูกล้อมกรอบอยู่ข้างนอกได้ง่าย ส่วนสถานที่นี้แม้จะดูอันตราย แต่ก็ปลอดภัยมากแน่นอน
“แต่การทำแบบนี้จะต้องทำให้ผู้บัญชาการมู่ลำบากสักหน่อย” เลี่ยซันมองไปที่มู่เฉิน ถ้าไม่สามารถนำทัพเข้าไปได้ คนที่เสียดายที่สุดก็คือมู่เฉิน เพราะในฐานะของจั้นเจิ้นซือหากสูญเสียกองทัพไปก็จะทำให้ความแข็งแกร่งลดลง
ทว่ามู่เฉินกลับตอบต่อความเห็นใจของพรรคพวกด้วยรอยยิ้มสงบนิ่ง “แม้ว่าศาสตร์รัศมีจั้นยี่จะเป็นเส้นทางการฝึกอย่างหนึ่งของข้า แต่ก็มีผลทางลบมากหากพึ่งพามากเกินไป มิหนำซ้ำพลังของข้าไม่ได้จำกัดเฉพาะศาสตร์นี้เท่านั้น”
แม้ว่าเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับไม่มีกลิ่นอายความฝืนอยู่ในนั้น ประกายแสงพวยพุ่งอยู่ในม่านตา ซึ่งเป็นความมั่นใจที่มีต่อตัวเอง นั่นเป็นเพราะในมุมมองของมู่เฉิน แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยพลังรัศมีจั้นยี่ แต่นั่นก็เป็นเพียงปัจจัยภายนอก ในโลกนี้มีเพียงความแข็งแกร่งที่ฝึกฝนด้วยตัวเองเท่านั้นที่มั่นคงที่สุดและไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ดังนั้นแม้มู่เฉินจะรู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์ของศาสตร์รัศมีจั้นยี่ แต่เขาก็แค่รู้สึกสุขใจเพียงชั่วครู่เท่านั้น นั่นเป็นเพราะเขาไม่เคยคิดที่จะเลิกการฝึกฝนขุมพลังหลิงเพื่อมุ่งแต่ศาสตร์นี้เท่านั้น
แม้ว่าเขาจะสูญเสียพลังรัศมีจั้นยี่ไป แต่มู่เฉินก็มั่นใจว่าตนเองไม่ธรรมดากับความสามารถที่มี ซึ่งเรื่องนี้เขาได้พิสูจน์แล้วจากความสามารถในประสบการณ์ที่ผ่านมา
เมื่อเหล่าผู้บัญชาการได้ยินคำพูดราบเรียบของมู่เฉินก็อึ้งไปก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนขรึมลงด้วยความชื่นชมในใจ เนื่องจากจิตใจที่ยังคงสงบนิ่งและตั้งมั่นหลังจากสามารถควบคุมพลังรัศมีจั้นยี่ที่ทั้งสะดวกและแข็งแกร่ง เป็นสิ่งที่แม้แต่พวกเขายังไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำได้หรือไม่
จนถึงตอนนี้พวกเขาถึงได้เข้าใจเลือนรางว่าทำไมชายหนุ่มเบื้องหน้าถึงสามารถผงาดขึ้นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในเวลาเพียงสองปี
“พูดได้ดี เส้นทางของผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ถูกจำกัดด้วยพลัง แต่เป็นการควบคุมพลัง!”
มั่นถัวหลัวปรบมือด้วยความชื่นชมกระจายเต็มไปใบหน้า แม้แต่ซุยนอนที่อยู่ในสภาวะหลับใหลตลอดเวลาก็ลืมตาขึ้นมามองไปที่มู่เฉิน ชัดว่าเขาก็รู้สึกอัศจรรย์ใจกับจิตใจเช่นนี้ของมู่เฉิน
มู่เฉินประหม่าเล็กน้อยจากคำชมของมั่นถัวหลัว เขาหัวเราะเสียงแห้งพลางยักไหล่ เขารู้สึกเพียงว่าตนเองไม่สามารถพึ่งพารัศมีจั้นยี่มากเกินไป กลัวว่าพอวันที่ไม่มีกองทัพอยู่ด้วย เขาจะตกลงมาจากบัลลังก์ หากสิ่งนั้นเกิดขึ้นเขาคงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะไต่กลับขึ้นมา
“เตรียมเคลื่อนพลเถอะ”
มั่นถัวหลัวยิ้มไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม นางยกมือขึ้นเบาๆ ร่างก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ โดยมีจอมพลทั้งสามและเหล่าผู้บัญชาการอยู่ด้านหลัง
การรวมตัวนี้ถือได้ว่าเป็นรูปแบบที่หรูหราและบุคคลเหล่านี้ก็เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขาในขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน อาณาเขตกงเวทสวรรค์อาจถึงกาลอวสานก็เป็นได้
มู่เฉินและคนอื่นๆ ทะยานตามมั่นถัวหลัวไป เมื่อเข้าใกล้มิติแตกสลายพวกเขาก็ตระหนักได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัวของรอยแตกสีดำ
รอยแตกสีดำบิดเกลียวต่อเนื่องอยู่บนท้องฟ้า อักขระโบราณลึกลับโคจรไปตามรอยแตกเปล่งประกายแสงเงาเชื่อมโยงกันและกัน ก่อตัวเป็นกำแพงสีแดงเข้มผนึกรอยแตกเอาไว้
เมื่อยืนอยู่ตรงหน้ารอยแตก แม้จะมีการผนึกเชิงพื้นที่ แต่แรงกดดันที่เล็ดลอดออกมาก็ทำให้พวกเขารู้สึกหายใจไม่ออก
เผชิญหน้ากับรอยแตกนั้น แม้แต่มั่นถัวหลัวก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ตอนที่นางเพิ่งค้นพบซากอารยธรรมแห่งนี้ ตัวนางก็ได้ลองใช้พลังของระดับตี้จื้อจุนเพื่อลองแหวกอักขระโบราณลึกลับให้เปิดออก แต่ผลลัพธ์ก็เป็นที่ชัดเจนว่าล้มเหลว
มีจอมยุทธ์จำนวนมากจบชีวิตในสมรภูมิหยุ่นลั้ว รวมทั้งจอมยุทธุ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่แข็งแกร่งกว่านาง ร่างเหล่านี้ทำให้ซากอารยธรรมถูกครอบงำด้วยพลังงานที่แปลกประหลาดแต่ทรงพลัง แม้ว่าจะไม่สามารถโจมตีได้ แต่ก็มีความสามารถในการป้องกัน ราวกับกำลังปกป้องความสงบสุขอันเป็นนิรันดร์ของเหล่าผู้หาญกล้าที่สละชีวิต
นี่เป็นกฎของสมรภูมิหยุ่นลั้ว แม้กระทั่งจอมยุทธ์ทรงพลังอย่างมั่นถัวหลัวก็ไม่สามารถทำลายได้
มั่นถัวหลัวกำมือบางเอาไว้ กำไลเฉียนคุนปรากฏขึ้นในมือ นางลูบไล้เบาๆ เสียงกระหึ่มดังก้อง กระแสเชี่ยวกรากไหลออกมาจากกำไล
กระแสคลื่นเหล่านี้ราวกับอสรพิษยักษ์ขดตัวที่เบื้องหน้ามั่นถัวหลัว นี่ก็คือเม็ดยาหยุ่นลั้วที่มีจำนวนไม่ต่ำกว่าแสนเม็ด
เมื่อเม็ดยาหยุ่นลั้วจำนวนมากปรากฏ กลิ่นหอมหนาแน่นก็ฟุ้งกระจายไปหมด พวกมู่เฉินสูดลมหายใจเข้าไป คลื่นหลิงภายในร่างกายก็ลุกฮืออย่างเร่าร้อน
คลื่นหลิงที่บรรจุอยู่ในยาหยุ่นลั้วแสนเม็ดหนาแน่นกว่าของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยดเสียอีก ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า ถ้าเขาดูดซับและชำระได้ คลื่นหลิงของเขาจะต้องพัฒนาขึ้นมาเลยทีเดียว
ทว่ามั่นถัวหลัวกวาดมองที่ยาหยุ่นลั้วอย่างสงบ ก่อนที่มือจะประสานกันแล้วทำท่าขยี้เบาๆ ทันใดนั้นสายธารยาหยุ่นลั้วก็ระเบิดออก จากนั้นก็ราวกับถูกบีบอัดด้วยพลังที่ไม่มีใครเทียบ
สายธารยาเริ่มหดขนาดลง ในเวลาไม่กี่ลมหายใจยาหยุ่นลั้วแสนเม็ดก็กลายเป็นแอ่งน้ำเหนียวข้น
ของเหลวเคลื่อนไหวบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ ทำให้มิติบิดเบี้ยวในเส้นทางผ่านของมัน ราวกับว่าของเหลวขนาดเล็กนี้หนาแน่นกว่าภูเขาเสียอีก
มู่เฉินเดาะลิ้นไปกับภาพนี้ หากเขาชำระยาหยุ่นลั้วแสนเม็ดนี้คงต้องใช้เวลาหลายเดือน แต่เมื่ออยู่ในมือของมั่นถัวหลัวเพียงแค่ถูมือนางก็ทำสำเร็จ ดังนั้นสามารถบอกได้อย่างหนึ่งว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนน่ากลัวเพียงใด
มั่นถัวหลัวกะพริบม่านตาสีทองคำ ก่อนที่จะสะบัดนิ้วมือ ทันใดนั้นของเหลวซึ่งผ่านการกลั่นก็ส่งเสียงหวือ หยดลงบนอักขระโบราณลึกลับบนรอยแตกมิติ
ชี่! ชี่!
เมื่อของเหลวหยดลง อักขระโบราณที่แม้แต่มั่นถัวหลัวยังไม่สามารถทำอะได้ก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรวดเร็ว ขณะที่ควันสีฟ้าอมเขียวลอยโขมงโฉงเฉง พวกมู่เฉินก็อึ้งไปเมื่อเห็นว่าอักขระโบราณลึกลับเริ่มหม่นแสงลง เมื่อแสงหรี่จนถึงขีดสุดก็สลายไป
ในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที อักขระที่ปล่อยแรงกดขี่ออกมาก็ถูกกัดกร่อนด้วยของเหลวหยุ่นลั้วจนสลายหายไปอย่างสมบูรณ์
ในที่สุดประตูที่นำไปสู่ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนก็เปิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว