หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 957 การลงทุน
เมื่อมู่เฉินส่งพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจให้
ไม่เพียงแต่ผู้คนที่อยู่ที่นี่จะอ้าปากตาค้าง แม้กระทั่งมั่นถัวหลัวยังมีสีหน้าตะลึงงัน ชัดว่าการกระทำของมู่เฉินเกินความคาดหมายของนาง
เกี่ยวกับเรื่องอาวุธมหสวรรค์นี้ แม้ว่านางจะถูกยั่วเย้ามาก แต่ก็ไม่ถึงจุดที่อยากได้ใคร่มีอะไรนัก นอกจากนี้การอยู่ในมือมู่เฉินดีกว่าอยู่ในมือขั้วอำนาจอื่นสำหรับมั่นถัวหลัว
แน่นอนนางเข้าใจว่าอาวุธเทพนี้จะเป็นตัวเรียกปัญหามาให้มู่เฉินไม่รู้จบ แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไปจะไม่มีใครกล้าปลุกปั่นอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกนางได้อีกง่ายๆ ซ้ำนางยังมั่นใจว่าสามารถให้ความปลอดภัยกับมู่เฉินได้
ดังนั้นเมื่อมู่เฉินส่งพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจมาให้ นางก็อึ้งไปเล็กน้อยก่อนที่จะขมวดคิ้ว “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ แม้ว่าวัตถุนี้จะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่เมื่อมีข้าอยู่ด้วยก็ไม่มีใครจะทำอะไรเจ้าได้”
นางคิดว่ามู่เฉินห่วงว่าพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจเป็นเผือกร้อน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะส่งมอบให้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของนางก็ยิ้ม “หากอาวุธนี้อยู่ในมือข้าก็จะเป็นการสูญเปล่าครั้งใหญ่ ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้าไม่สามารถแสดงพลังได้อย่างเต็มที่”
คำพูดของเขาไม่ผิดเลย หากเขาต้องการใช้พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ เขาจะต้องใช้คลื่นหลิงมหาศาลเพื่อสนับสนุน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะประสบความสำเร็จด้วยระดับจื้อจุนขั้นห้านี้
“นอกจากนี้พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจจะมีคุณค่ามากกว่าถ้าอยู่ในมือของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตอนนี้ประมุขหมู่ตึกเทวะดับสูญตลอดกาล สถานการณ์ในภูมิภาคทางเหนือก็จะเปลี่ยนไป ดังนั้นข้าเชื่อว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ต้องการพีระมิดนี้มากกว่าข้าแน่นอน”
มู่เฉินมองมั่นถัวหลัวที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปก็ยิ้ม “นอกจากนี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องนึกถึงบุญคุณอะไรในใจ ยิ่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราแข็งแกร่งมากเท่าไร พลังที่ข้าสามารถหยิบยืมได้ก็จะมากเท่านั้น ดังนั้นให้ถือว่านี่เป็นการลงทุนของข้า… ไม่แน่ในอนาคตข้าอาจต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าด้วย”
มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่กลับมีสายตาจริงจัง สุดท้ายนางก็กลืนคำพูดที่หยุดตรงปากลงไป นางตกใจและประทับใจกับการกระทำของมู่เฉินมาก เพราะอาวุธมหสวรรค์ทรงพลังเป็นสิ่งที่กระทั่งจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนทุกคนยังถูกล่อลวง แต่เขากลับสามารถมอบให้นางได้โดยไม่คิดอะไร
ที่จริงเขาไม่ต้องทำเช่นนี้ เพราะเขาน่าจะรู้ดีเกี่ยวกับนิสัยของนางว่าจะไม่บังคับให้ส่งอาวุธนี้กับนางอย่างแน่นอน
ทว่าก็อย่างที่มู่เฉินกล่าวถ้านางครอบครองพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ นางก็สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้เลยทีเดียว
ซึ่งนี่เป็นตัวสนับสนุนที่สำคัญสำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ในสถานการณ์เปลี่ยนแปลงของภูมิภาคทางเหนือ
มั่นถัวหลัวมองไปที่พีระมิดสีดำที่ลอยอยู่เหนือมือมู่เฉินก่อนที่จะขบฟันตอบ “พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจนี้ข้ารับฝากไว้ แต่นี่แค่ชั่วคราว ในอนาคตเมื่อเจ้ามีความแข็งแรงพอที่จะใช้ ข้าจะส่งมอบคืนให้!”
มู่เฉินยิ้มไม่ได้พูดอะไรทำเพียงพยักหน้า หากวันนั้นมาถึงเขาเชื่อว่าพีระมิดนี้ไม่เพียงพอที่จะล่อใจอีกแล้ว
“นอกจากนี้…” ใบหน้าของมั่นถัวหลัวแดงซ่านพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา “เจ้ามอบของเหลวหลิงเสินในพีระมิดแสงดาวให้ข้าได้ไหม? แล้วข้าจะชดเชยให้เอง”
สำหรับมั่นถัวหลัวตอนนี้ ความเย้ายวนของของเหลวหลิงเสินมีมากเกินกว่าพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจไม่รู้กี่เท่า เนื่องจากนางเกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย หากนางสามารถก้าวไปได้อีกก้าวก็จะสามารถฝ่าฟันขั้นที่ว่าได้จริง
เมื่อมู่เฉินมองไปที่ท่าทางอีกฝ่ายก็ไม่สามารถกลั้นยิ้มได้ เขาพยักหน้า แม้ว่าของเหลวหลิงเสินในนั้นจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาเห็นแต่สัมผัสไม่ได้
เนื่องจากของเหลวหลิงเสินยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์เกินไป จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปรับแต่งในตอนนี้ ถ้าเขาดูดซับ ร่างกายคงระเบิดเป็นจุณแน่
ดังนั้นเมื่อเขาให้พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจก็เท่ากับยกของเหลวหลิงเสินให้ด้วย
เมื่อเห็นมู่เฉินพยักหน้า ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็เห่อแดงโดยไม่เหลือเค้าผู้ปกครองยิ่งใหญ่อีกเลย ในทางตรงกันข้ามนางดูเหมือนเด็กสาวข้างบ้านที่น่ารักน่าชัง
“แต่ข้ามีเงื่อนไขเช่นกัน…” มู่เฉินยิ้มบางพูดต่อ “ท่านจอมพลสี่กล่าวไว้ก่อนลาจากว่าพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจจะสามารถบอกถึงตำแหน่งที่ตั้งของวังสวรรค์บรรพกาลได้ ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยข้าสำรวจด้วยพลังทั้งหมดที่มี”
วังสวรรค์บรรพกาลเป็นดินแดนขุมทรัพย์ที่จอมยุทธ์ในทวีปเทียนหลัวต่างน้ำลายสอ มู่เฉินไม่คิดว่าสถานที่ที่ผู้คนมากมายไม่สามารถค้นพบจะตรวจเจอได้ง่ายโดยเขา เขาจึงต้องพึ่งพามั่นถัวหลัวเพื่อช่วยในเรื่องนี้
ยิ่งกว่านั้นต่อให้ค้นพบวังสวรรค์บรรพกาล ดินแดนขุมทรัพย์น่าอัศจรรย์เช่นนั้นก็จะสั่นสะเทือนไปทั่วโลกาอย่างแน่นอน ในเวลานั้นใครจะรู้ว่าขั้วอำนาจสูงสุดจะถูกล่อลวงมากแค่ไหน ดังนั้นแม้เขาจะสามารถหาสถานที่แห่งนั้นได้ แต่ก็ยังต้องการความช่วยเหลือ ถ้าเขาต้องการได้รับวิธีการฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์
ในเวลานั้นเขาต้องการความช่วยเหลือทุกอย่างที่มั่นถัวหลัวมี มิฉะนั้นเขาคงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะแข่งขันกับขั้วอำนาจสูงสุดต่างๆ ของทวีปเทียนหลัว
ดังนั้นการลงทุนที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้จึงเป็นหน้าฉาก ก่อนที่เขาจะแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับโลก เขาต้องการความช่วยเหลือจากยอดยุทธ์อย่างมั่นถัวหลัว
เมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดเขา นางก็ถอนอารมณ์อับอายบนใบหน้าออกแล้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ถ้าสามารถหาวังสวรรค์บรรพกาลได้ ข้าจะทำสุดความสามารถเพื่อช่วยเจ้า”
นางรู้ว่ามู่เฉินฝึกฝนร่างเทพสุริยะ ซึ่งวิวัฒนาการร่างสุดท้ายก็คือร่างมหาเทพนิรันดร์ที่เป็นหนึ่งในสุดยอดร่างมหาเทพปฐมกาลในตำนาน
และในวังสวรรค์บรรพกาลก็เป็นที่เก็บวิวัฒนาการของร่างกลาง—ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
นางเดาได้ว่าจุดประสงค์หลักของมู่เฉินที่มาภูมิภาคทางเหนือคือเรื่องนี้!
ในสงครามล่าครั้งนี้ นางติดหนี้บุญคุณมู่เฉินมากมาย ทั้งพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจและของเหลวหลิงเสิน บุญคุณนี้มากเกินจะชั่งน้ำหนัก ดังนั้นสิ่งเดียวที่นางสามารถทำได้ในอนาคตก็คือพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้มู่เฉินได้รับพัฒนาการร่างเทพสุริยะให้จงได้…
คิดถึงเรื่องนี้ นางก็ไม่ลังเลยื่นมือรับพีระมิดเก็บไว้ในมือของตนเอง
เมื่อมั่นถัวหลัวรับพีระมิดเอาไว้ ประมุขคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงโดยไม่สามารถควบคุมได้ ความกลัวหนาแน่นพวยพุ่งออกมาจากดวงตา
ตอนนี้มั่นถัวหลัวเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ถ้านางได้ใช้ของเหลวหลิงเสินเพิ่มก็มีความเป็นไปได้สูงที่นางจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายที่แท้จริง ยิ่งเมี่อบวกกับพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ นางก็จะกลายเป็นจอมยุทธ์สุดยอดแม้แต่ในระดับเดียวกันก็ตาม
ด้วยความแข็งแกร่งนี้ ในอนาคตคงไม่มีใครในภูมิภาคทางเหนือสามารถเผชิญหน้ากับนางได้
เหล่าประมุขอื่นๆ ดวงตากะพริบวูบไหว สุดท้ายก็ถอนหายใจในอก ดูท่าหลังจากวันนี้พวกเขาจะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติและให้ความเคารพต่อผู้นำในอนาคตของภูมิภาคทางเหนือแล้ว
ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกโล่งใจก็คือมั่นถัวหลัวเป็นที่ยอมรับมากกว่าประมุขหมู่ตึกเทวะที่มีแต่ความทะเยอทะยานไม่จบสิ้น
ฟิ้ว!
ขณะที่ความคิดเหล่านี้กำลังแพร่กระจายในใจของทุกคน ทันใดนั้นเสียงลมกรูกันออกไปก็ดังขึ้นในมิติ ตัดสินจากความแรงของเสียงดังกล่าวชัดว่าตื่นตระหนกกันอย่างรุนแรง
มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงสิ่งนี้ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าคนที่หนีไปเป็นพวกหมู่ตึกเทวะนั่นเอง
พวกเขาเริ่มหนีกัน
ตอนนี้ประมุขหมู่ตึกเทวะสิ้นชีพแล้ว ทุกคนรู้ว่าหมู่ตึกเทวะซึ่งยืนหยัดอยู่ในภูมิภาคทางมาหลายปีจะถึงคราวเผชิญกับการทำลายล้างใหญ่หลวง ยามนี้ไม่มีจอมยุทธ์คนใดของหมู่ตึกเทวะจะกล้าอยู่ต่อ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ขณะที่พวกเขากำลังแตกฉานซ่านเซ็น มั่นถัวหลัวและประมุขคนอื่นที่มีความไม่พอใจกับหมู่ตึกเทวะก็แววตาวาววับ อึดใจพวกเขาก็เคลื่อนตัวออกไปในเวลาเดียวกัน แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกไปเป็นวงคลื่นจากการสะบัดแขนเสื้อ ทำให้มิติที่อยู่ห่างไกลถูกตรึงด้วยการเคลื่อนไหวพวกเขา
ร่างของสมาชิกหมู่ตึกเทวะที่หลบหนีถูกแช่แข็งทันที แม้แต่หัตถ์ทั้งสี่ก็ฉายความกลัวบนใบหน้า ไม่เหลือเค้าศักดิ์ศรีที่เคยมีมา
พวกเขารู้ชัดแจ้งว่าหมู่ตึกเทวะล่มสลายลงหลังจากวันนี้ไปแน่ ในฐานะสมาชิกที่เหลือ พวกเขาถูกกาหัวให้กลายเป็นคนเร่ร่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัตถ์ตะวันออกที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า หากเขาหลบหนีไปได้และโชคดีก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนได้ เขาจะเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม กำจัดสิ่งที่เหลืออยู่ให้สิ้นซาก!
ส่วนจวนยมโลกและตำหนักสุดนภาที่มีความสัมพันธ์บางอย่างกับหมู่ตึกเทวะก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่ไม่มีใครออกหน้าช่วยพวกเขาเลย
พวกเขารู้ชัดว่าด้วยการสิ้นชีพของประมุขหมู่ตึกเทวะสถานการณ์ในภูมิภาคทางเหนือจะเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ยิ่งตอนนี้มั่นถัวหลัวเกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ทำให้ทรงพลังกว่าผู้อื่น ในอนาคตอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเข้ามาแทนที่หมู่ตึกเทวะและกลายเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดของภูมิภาคทางเหนือ
ดังนั้นตอนนี้จวนยมโลกและตำหนักสุดนภาไม่มีทางไปงัดข้อกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์เพื่อหมู่ตึกเทวะที่สูญเสียแรงหนุนของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไปแน่นอน
“ฮ่าๆ ไอ้พวกหมู่ตึกเทวะ พวกแกเข่นฆ่าสมาชิกยอดเขาหมื่นเทพไปเป็นจำนวนมาก ตอนนี้เรามาคิดทบต้นทบดอกกันหน่อยเถอะ!” วั้นเซิ่งจ้องมองจอมยุทธ์หมู่ตึกเทวะที่ถูกขัดขวาง เสียงของเขาเย็นเยือกลงหลายส่วน
พูดจบเขาก็มองมั่นถัวหลัวพลางยิ้ม “ไม่ทราบว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีแผนที่จะจัดการกับขยะเปียกเหล่านี้ยังไง?”
มั่นถัวหลัวมองไปที่จอมยุทธ์หมู่ตึกเทวะ ผู้ชนะจะได้รับรางวัลทั้งหมด ดังนั้นนางจึงไม่มีความสงสารอย่างใดต่อคนเหล่านี้ ถ้านางสามารถกำจัดปัญหาที่เหลืออยู่ทั้งหมดได้ นางก็จะไม่ลังเล
ทว่าขณะที่นางกำลังจะเคลื่อนไหว นางก็เห็นสายตาผิดปกติของมู่เฉิน ดังนั้นนางจึงหยุดและถามสั้นๆ ว่า “เจ้าคิดว่าควรทำอย่างไร?”
เมื่อมู่เฉินได้ยินก็ยิ้ม “เจ้าช่วยคนคนหนึ่งท่ามกลางคนเหล่านั้นให้ข้าได้ไหม?”
“โอ้?” มั่นถัวหลัวรู้สึกประหลาดใจมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะพยักหน้า “เจ้าอยากช่วยใคร? ตามสบายเลย”
“ขอบคุณ”
จากนั้นมู่เฉินก็ชี้นิ้วไปที่ร่างเงาหนึ่งท่ามกลางสมาชิกหมู่ตึกเทวะ “ข้าจะช่วยนาง”