หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 968 ระดับจื้อจุนขั้นหก
ลึกเข้าไปในเขตต้าหลัวเทียน
บนยอดเขาสูงตระหง่านนี้สามารถมองเห็นดินแดนครึ่งหนึ่งได้เลยทีเดียว สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยคลื่นหลิงที่หนาแน่นที่สุดในเขตต้าหลัวเทียน
ในอดีตที่นี่เป็นสถานที่ที่มั่นถัวหลัวใช้ฝึกฝน สมาชิกธรรมดาสามัญไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างเข้ามา แต่ในเวลานี้เพื่อให้เกิดสภาพที่ดีที่สุดสำหรับมู่เฉิน มั่นถัวหลัวจึงได้ให้ยืมพื้นที่ในการฝึกฝนนี้
เวลานี้บนยอดเขา ห้องศิลาถูกเปิดออก โดยมีมู่เฉินยืนอยู่เบื้องหน้า เขามองไปที่หมอกบางจางที่ปกคลุมบริเวณนี้ ร่องรอยอัศจรรย์ใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตา
นั่นเป็นเพราะหมอกเหล่านี้สร้างมาจากคลื่นหลิง ซึ่งบ่งบอกได้ว่าคลื่นหลิงในพื้นที่นี้หนาแน่นและบริสุทธิ์เพียงใด… ชัดเจนว่ามีค่ายกลบรรจบจิตหรือสิ่งที่คล้ายคลึงอยู่ในพื้นที่นี้ ซึ่งรวบรวมพลังงานฟ้าดินไว้ในเขตต้าหลัวเทียน
“ที่นี่เป็นสถานที่ฝึกยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ”
มู่เฉินยิ้มบางไม่รอช้าเดินเข้าไปในห้องศิลา เมื่อห้องปิดลงเขาก็นั่งลงบนเตียงหินกว้างขวาง
เขาไม่ได้รีบบรรลุทันที แต่กลับหลับตาลงค่อยๆ สงบใจ คลื่นหลิงรอบตัวเปลี่ยนเป็นหมอกลอยเข้าไปในนาสิกประสาท ไหลเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างไม่รู้จบ
เขาต้องการปรับสภาพให้สมบูรณ์แบบที่สุด
กระบวนการนี้เพียงอย่างเดียวก็ใช้เวลาเกือบห้าวัน เมื่อถึงวันที่ห้ามู่เฉินก็ลืมตาขึ้น ดวงตาสีดำเปล่งประกายแวววาวราวกับอัญมณี นี่เป็นการแสดงออกของระลอกคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านในร่างกายมาถึงขีดจำกัด
มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงยิ่งใหญ่ที่ไหลไปทั่วแขนขาและกระดูก ทุกการเคลื่อนไหวมีพลังพอที่จะทำลายภูเขาได้
“พอได้แล้ว…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง จากนั้นคลื่นหลิงก็กำจายในดวงตา เขาสะบัดนิ้วริ้วพลังครางกระหึ่มราวกับสายน้ำเชี่ยวกรากปรากฏอยู่ในถ้ำกว้างขวางนี้
แม่น้ำเปล่งประกายระยิบระยับราวกับอัญมณี ขณะที่น้ำเดือดพล่านกำจายไปด้วยคลื่นหลิง ทำให้อากาศยังชื้นขึ้น เปล่งสัญญาณคลุมเครือว่าจะก่อตัวเป็นหยดน้ำ
แม่น้ำนี่เกิดจากของเหลวจื้อจุนจำนวนหนึ่งล้านหยดนั่นเอง!
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่แม่น้ำคลื่นหลิง จากนั้นก็วาดกระบวนท่า ก่อนที่จะเปิดปากเล็กน้อย ทันใดนั้นกระแสคลื่นหลิงก็พุ่งเข้าไปในปากของเขา
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดภายในร่างกายของมู่เฉินทันที
แต่มู่เฉินก็มีสีหน้าสงบ วาดกระบวนท่าต่ออย่างไม่เร่งรีบ กระตุ้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตผ่านเส้นสายลมปราณแล้วเทลงในจุดจื้อจุนไห่หลังจากกลั่นตัว…
ในจุดจื้อจุนไห่ คลื่นหลิงถูกเทลงมาราวกับพายุฝน ทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยความเร็วคงที่
เมื่อมู่เฉินสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่เพิ่มขึ้นในจุดจื้อจุนไห่ มู่เฉินก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้ากลับหลับตาลงต่อ เขายังต้องใช้เวลาในการเพาะบ่มเพื่อบำรุงเลี้ยงรอเวลาสำคัญเพื่อพัฒนาการแบบม้วนเดียวจบ
ตอนนี้เขาเพียงแต่ต้องการเทพลังงานจำนวนมหาศาลลงไปในจุดจื้อจุนไห่เท่านั้น
ดังนั้นหัวใจของมู่เฉินจึงค่อยๆ สงบลงและเริ่มละทุกอย่างก่อนที่จะเข้าสู่สมาธิลึกซึ้ง
ครั้งต่อไปที่เขาลืมตาก็เป็นอีกสิบวันต่อมา
ตลอดสิบวันที่ผ่านมาเขาดูดซับของเหลวหนึ่งในห้า สิ่งนี้ทำให้ผิวหนังของมู่เฉินเปล่งประกายอย่างไม่รู้จบด้วยแสงหลิง พลังงานหลิงที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายก็ผันผวนอยู่ตลอดเวลา นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคลื่นหลิงของเขาถึงจุดสูงสุดแล้ว
“ยังไม่พอ”
แต่ถึงอย่างนั้นมู่เฉินก็ยังส่ายหัวเบาๆ เขายังห่างไกลจากการบรรลุ ดังนั้นเขาจึงหลับตาลงอีกครั้ง…
ในเวลาต่อมามู่เฉินก็ลืมตาขึ้นอีกสองครั้ง ทุกครั้งที่เปิดตาขึ้นของเหลวจื้อจุนก็จะลดลงส่วนหนึ่ง
เมื่อเขาลืมตาขึ้นเป็นครั้งที่สี่ แม่น้ำที่เดือดพล่านในตอนแรกก็เหลือเพียงสายธารเล็กๆ ขนาดก็ลดลงถึงห้าเท่า ตอนนี้เวลาได้ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มแล้ว
ขณะนี้แสงหลิงรอบตัวมู่เฉินมีความหนาแน่นถึงระดับสูงสุด ภายใต้แสงแม้แต่ภาพเงาของเขาก็ยังเลือนราง เมื่อมองจากระยะไกลก็ดูเหมือนดวงอาทิตย์ที่สว่างไสวด้วยรัศมีเลิศล้ำ
ความผันผวนที่ทรงพลังของคลื่นหลิงแปรปรวนอย่างเงียบๆ ซึ่งทำให้ห้องศิลาสั่นสะเทือนเบาบาง ขณะที่รอยแตกกระจายออกไปอย่างเงียบๆ
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกริมฝีปากพลางขยับ เขาราวกับวาฬดูดน้ำกลืนกินของเหลวที่เหลือเข้าไปหมดทันที
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ทันใดนั้นแสงหลิงที่ระเบิดออกมาจากร่างกายทรงพลังจนเกินบรรยาย คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ของมู่เฉินก็มาถึงจุดสูงสุดแล้ว
ได้เวลาบรรลุแล้ว!
มู่เฉินหลับตาลงเป็นครั้งที่ห้า แต่เขารู้ว่าเมื่อลืมตาอีกครั้งเขาจะก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นหกอย่างแท้จริง!
และการหลับตาครั้งสุดท้ายก็กินเวลาถึงครึ่งเดือน!
ด้านนอกยอดเขาโดดเดี่ยว
ขณะที่มู่เฉินเข้าสู่สมาธิเพื่อเพาะบ่มขุมพลัง มั่นถัวหลัวก็ปิดพื้นที่แห่งนี้ทั้งหมด ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปขัดขวางการฝึกฝนของมู่เฉิน
ยามนี้ร่างเงาหลายร่างแสดงตัวขึ้นบนท้องฟ้านอกเขตยอดเขา โดยมีมั่นถัวหลัวเป็นผู้นำและจอมพลทั้งสามยืนอยู่ข้างหลังไม่ห่าง
เมื่อมาถึงพวกเขาก็จ้องมองไปยังห้องศิลาที่ปิดตาย ห้องนี้ถูกผนึกไว้ด้วยค่ายกลเพื่อกักความผันผวนภายในซึ่งยากที่จะตรวจสอบพบได้
“ผ่านมาหนึ่งเดือนครึ่งแล้ว… มู่เฉินยังไม่บรรลุอีกเหรอ? ถ้าเขายังไม่ออกมาอีก ข้าว่าตำแหน่งของเผ่าวิหคโลกันตร์คงจะถูกระบุแล้ว” เทียนจิ้วจับตามองห้องศิลา อดพูดขึ้นมาไม่ได้
ตัวเขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับเผ่าวิหคโลกันตร์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้ข้อมูลภายในบางอย่างของเผ่าวิหคโลกันตร์ หลังจากที่เทียนเช่อพาจิ่วโยวกลับไปที่เผ่า ทั้งเผ่าก็เกิดแรงเขย่ารุนแรงเกี่ยวกับเรื่องพันธะโลหิต ผู้อาวุโสบางคนที่มีนิสัยเยือกเย็นเสมอยังปากสั่นบอกว่าจะส่งกองทัพมาสู้กับอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ทว่าทั้งหมดถูกยับยั้งไว้โดยเทียนเช่อ แน่นอนว่ายังมีการขัดขวางของจิ่วโยวและคำมั่นที่นางสบถสาบาน ซึ่งทำให้เหล่าผู้อาวุโสหัวร้อนควบคุมตัวเองไว้ได้ เพราะไม่ใช่เพียงบิดาของจิ่วโยวเป็นประมุขเผ่า มิหนำซ้ำตัวนางยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะพัฒนาเป็นวิหคอมตะคนเดียวในช่วงหลายพันปี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อความเห็นและทัศนคติของจิ่วโยวได้
ทว่าเรื่องนี้แค่ถูกพักไว้ชั่วคราว หากมู่เฉินไม่สามารถไปถึงได้ในเวลากำหนด แม้แต่ผู้อาวุโสที่เลือกรับฟังจิ่วโยวก็คงจะถูกบีบให้ลงมือ เพื่อให้สายเลือดของจิ่วโยวกลับมาบริสุทธิ์อีกครั้ง
ถึงตอนนั้นก็ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับมู่เฉินหรืออาณาเขตกงเวทสวรรค์เลย
“เรื่องบรรลุขุมพลังไม่อาจคาดได้อยู่แล้ว ถ้าฝืนบรรลุกลับไม่ดีด้วยซ้ำ”
เมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดนั่น นางก็ยังคงนิ่งสงบ แต่ไอเย็นเยือกก็วูบวาบผ่านม่านตาสีทองคำไป ขณะที่พูดต่ออย่างเย็นชาว่า “ถ้าเผ่าวิหคโลกันตร์ไม่มีความอดทนแม้แต่เวลาแค่นี้ ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกัน ในเวลานั้นหากพวกเขาต้องการประกาศสงครามจริง พวกเราก็แค่สู้สุดพลัง ข้าก็อยากเห็นว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนของเผ่าวิหคโลกันตร์จะตายด้วยน้ำมือข้ากี่คน”
พูดถึงจุดนี้ก็เผยจิตสังหารแรงกล้า ทำให้พื้นที่โดยรอบมืดมัวลงไปชั่วครู่หนึ่ง คลื่นหลิงบริเวณนี้แสดงสัญญาณชะงักค้างเลยทีเดียว
เมื่อจอมพลทั้งสามสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร พวกเขาก็รู้สึกถึงริ้วเสียดแทงเย็นเยือกกรีดผ่านผิวหนัง พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตาที่ฉายความตื่นตกใจ ยามนี้แม้มั่นถัวหลัวจะดูเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ จากเมื่อเดือนก่อน แต่เหล่าจอมพลก็เข้าใจได้ถ่องแท้ว่าปัจจุบันนางแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมอีกหลายส่วน!
“ขอแสดงความยินดีกับท่านประมุขที่บรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้…” ซุยนอนถอนหายใจขณะที่ส่ายหัวและยิ้ม
เห็นได้ชัดว่าเหตุผลที่ทำให้มั่นถัวหลัวเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เช่นนี้ ก็เนื่องมาจากการเข้าสมาธิก่อนหน้าเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ทำให้นางก้าวข้ามขั้นสุดท้ายจากเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแท้จริง
แม้ว่าจะเป็นเพียงครึ่งก้าวเล็กๆ แต่เหล่าจอมพลก็รู้ดีว่าช่องว่างนั้นกว้างใหญ่เพียงใด เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากสงครามล่า หุ่นวิญญาณจอมพลสี่สามารถพึ่งพาพลังของเขาในการเผชิญหน้ากับยอดยุทธ์ทั้งเจ็ดของภูมิภาคทางเหนือ…
ถึงจะมีหลายปัจจัยที่ทำให้ประมุขทั้งเจ็ดกักพลังของตนเองไว้ แต่ชัดว่าตราบใดที่มั่นถั่วหลัวลงมืออย่างไร้ความปรานีก็ไม่รู้จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนของเผ่าวิหคโลกันตร์จำนวนเท่าไรที่ต้องเสียชีวิต นี่เป็นราคาที่แม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ซึ่งมีรากฐานมายาวนานก็ไม่อาจสูญเสีย
นอกจากนี้มั่นถัวหลัวยังมีอาวุธมหสวรรค์ ด้วยพลังของพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ ก็จะทำให้นางไม่ได้อ่อนแอ แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
ตู้ม!
ขณะที่เหล่าจอมพลทั้งอึ้งและมีความสุขกับพัฒนาการของมั่นถัวหลัว ทันใดนั้นยอดเขาใหญ่ก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงกัมปนาทปะทุออกมาราวกับเสียงฟ้าคำรน สุดท้ายก็สะท้อนไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก
ปัง!
ทางเข้าห้องศิลาระเบิดออก เศษหินปลิวว่อน ร่างแสงร่างหนึ่งพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าภายใต้สายตาที่ตกใจและประหลาดใจของจอมพลทั้งสาม
เมื่อสายตาจับจ้องไป พวกเขาก็เห็นมู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า ยามนี้ร่างกายเขาปกคลุมไปด้วยแสงหลิง ม่านตาราวกับอัญมณีสีดำกะพริบด้วยความมันวาวทำให้หัวใจผู้อื่นสั่นไหว
เหล่าจอมพลมองไปที่มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจทันที เนื่องจากพวกเขารู้สึกได้ว่าเมื่อเทียบกับเดือนครึ่งที่ผ่านมามู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นมากหลายส่วนเลยทีเดียว!
เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินก้าวผ่านเข้าสู่ขุมพลังจื้อขั้นหกเรียบร้อยแล้ว!
“ฮ่าๆ ขอแสดงความยินดีกับผู้บัญชาการมู่ที่บรรลุขั้นหก” จอมพลทั้งสามยิ้มกว้าง
ประกายแสงในดวงตาของมู่เฉินค่อยๆ หดกลับ เขามองไปที่มั่นถั่วและเหล่าจอมพล ก็ยิ้มก่อนที่จะทะยานไปหา
พอมั่นถัวหลัวเห็นเขามาหา ไอเย็นเยือกบนใบหน้านางก็จางหายหมดไป นางกำมือ ลูกแสงหลายลูกก็ปรากฏขึ้น กลายเป็นม้วนกระดาษหลากสีห้าม้วน
“นี่คือภาพค่ายกลที่เจ้าขอให้ข้าหามา มีสองม้วนเป็นค่ายกลระดับเทียนที่ต้องการ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี่ มู่เฉินก็รู้สึกถึงความปีติยินดีในใจ ก่อนที่จะจ้องมองม้วนภาพที่กำจายความผันผวนแปลกประหลาดออกมา