ก่อนที่เยี่ยเทียนมาถึง คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ได้มีการประชุมกันเล็กน้อย รวมความคิดเห็นของทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียว โดยให้จางเม่าเป็นหัวโจกในการต่อต้าน ส่วนคนอื่นๆเป็นทัพหลังคอยเสริม เพื่อทำให้เจ้าของบ้านคนใหม่หวาดหวั่น
สำหรับการต่อต้านในลักษณะนี้ เกิดขึ้นในเรือนสี่ประสานแห่งนี้นับครั้งไม่ถ้วน ทุกคนต่างมีประสบการณ์โชกโชน เมื่อนายจางเพิ่งกล่าวสุนทรพจน์เสร็จ ชายชราอายุประมาณห้าสิบปีท่านหนึ่งพูดต่อว่า “เสี่ยวโห่จี ที่นี่คือรัฐบาลให้เราเข้ามาอาศัย ถ้ามีเรื่องอะไรก็ไปคุยกับรัฐบาลเถอะ พวกเราจะไม่ย้ายออก”
“ใช่แล้ว คุณปู่ของฉันเสียชีวิตลงในบ้านหลังนี้ คุณจะให้พวกเราย้ายไปอยู่ที่ไหนล่ะ”
“เสี่ยวโห่จี เวลาคุณซื้อบ้านต้องสอบสวนอย่างชัดเจนนะ คุณถูกตาแก่หวังเขาหลอกเข้าแล้ว”
“ไม่ว่ายังไงที่นี่ก็เป็นบ้านของพวกเรา อยากให้เราย้ายออก ก็ต้องบ้านใหม่ให้พวกเราด้วย”
คำพูดของชายชราคนนี้ทำให้ผู้พักอาศัยพากันโวยวายทักท้วง ทุกคนต่างจ้องมองเยี่ยเทียนด้วยสายตาความเกลียดชัง โดยเฉพราะนายจางที่ทั้งต่อว่าเสียงดังทั้งกำลังม้วนแขนเสื้อขึ้นท่าทางคุกคาม ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะวางมวยใส่กัน
ผู้พักอาศัยในเรือนสี่ประสาน มีทั้งคนแก่อายุหกสิบถึงเจ็ดสิบปี มีทารกที่ถูกห่อตัวด้วยผ้าห่ม พวกเขาไม่กลัวเยี่ยเทียนจะเอาเรื่อง ถ้าหากว่าเยี่ยเทียนกล้าตอบโต้ จะเป็นการเข้าทางของพวกเขาทันที
เยี่ยเทียนควบคุมสถานการณ์ไม่ค่อยได้แล้ว ป้าใหญ่ก้าวออกมาแล้วก่นด่าเสียงดัง “ทำอะไรน่ะ พวกคุณจะทำอะไรนี่เป็นบ้านของคนอื่น การที่ให้พวกคุณได้พักอาศัยก็ดีพออยู่แล้ว คุณจาง คุณกล้าลงมือทำร้ายพวกเราหรือ?”
“ป้าเยี่ย ผมกล้าทำที่ไหนล่ะ ผมเพียงแต่พูดเหตุผลไม่ใช่หรือ”
ทำงานที่เส้นทางนี้ตลอดหลายสิบปี ป้าใหญ่ยังเป็นผู้ที่ได้รับการนับหน้าถือตา พอถูกเธอตะโกนต่อว่า นายจางก็งอหดหัวกลับไป ตอนที่เขาถูกจับเข้าคุกป้าใหญ่คนนี้ช่วยดูแลภรรยาและลูกเขาเป็นอย่างดี
“พี่เยี่ยก็ไม่ควรทำอย่างนี้นะ เมื่อก่อนพวกเราไม่ได้เป็นฝ่ายมาขออาศัยที่บ้านหลังนี้แต่หน่วยงานรัฐต่างหากที่จัดสรรให้ ตอนนี้พอเปลี่ยนเจ้าของแล้วอยากให้เราย้ายออก ครอบครัวเราจะย้ายไปไหนได้ล่ะ”
เห็นนายจางหลบไปอยู่ด้านหลังแล้ว ตาแก่อู๋จึงยืนขึ้นพูดว่า “เมื่อก่อนฝ่ายการทางทำถนนได้มาประสานเรื่องบ้านเรือน พวกเขาก็ทำแบบนี้ตลอด”
“อะแฮ่ม…”
เห็นกลุ่มคนเงียบไป เยี่ยเทียนไอหนึ่งครั้ง ใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วก็พูดว่า คุณลุงคุณป้าทุกท่าน และพี่ๆทั้งหลาย ให้ผมพูดจบก่อนไม่ได้หรือ พวกเราทะเลาะกันอย่างนี้ไม่มีประโยชน์”
“คุณจะพูดอะไรก็ได้นี่ เพราะอยากให้พวกเราย้ายบ้านไม่ใช่หรือ” นายจางที่หลบอยู่ที่ข้างหลังของกลุ่มคนตะโกนขึ้น
“ผมอยากให้ทุกคนย้ายบ้านก็จริง เพราะผมจ่ายเงินซื้อบ้านหลังนี้มา” เมื่อเยียเทียนพูดอย่างนี้ ผู้พักอาศัยในเรือนสี่ประสานยิ่งโวยวายเสียงดัง
“ทุกคนใจเย็นๆ ฟังผมพูดให้จบก่อนครับ”
เยี่ยเทียนยื่นมือแล้วโบกมือกล่าวว่าต่อ “ผมรู้ว่าทุกคนอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งหลายปี จึงรู้สึกผูกพัน เพราะฉะนั้นผมตัดสินใจว่า คนที่ไม่มีที่ไป ก็ยังอาศัยอยู่ที่นี้ต่อไปได้ชั่วคราว”
“อะไรนะ?”
“เสี่ยวโหจี คุณพูดจริงใช่ไหม”
“ไม่ไล่พวกเราไปหรือ?”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนี้ ผู้พักอาศัยงุนงงไปหมด พวกเขาคิดแผนการตอบโต้ต่างๆมากมาย แต่ไม่คาดว่า การมาเยี่ยเทียนในครั้งนี้ ไม่ใช่มาเร่งไล่พวกเขาให้ย้ายออก
“อยู่ที่นี่ชั่วคราว งั้นชั่วคราวคือนานแค่ไหนลูกของผมยังจะเตรียมแต่งงานที่นี่ด้วย”
เสียงแปร่งๆของนายจางดังขึ้น เพราะในบ้านชุดแห่งนี้มีสามครอบครัวซื้อบ้านที่ข้างนอก นายจางก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งพอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน หมายความว่าคนเหล่านี้ที่มีบ้านอยู่ก็ต้องย้ายออกไป แต่เขาจะไม่ยอมอย่างแน่นอน
“ผมอยากเปิดประตูที่ลานหลังเรือน แล้วสร้างเป็นโรงแรมเรือนสี่ประสาน ในเมื่อไม่มีคนอยากย้ายไป งั้นก็อยู่ก่อนเถอะ ส่วนเรื่องงานแต่งงานของลูกชายคุณ จะต้องรออีกสิบกว่าปีไม่ใช่หรือ”
ได้ยินคำพูดของนายจาง เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้น แต่ว่าคำพูดเหล่านั้นกลับเปิดเผยข้อมูลให้คนเหล่านี้
ความหมายชั้นแรกของคำพูดเยี่ยเทียนคือจะใช้พื้นที่ของเรือนด้านหลังดัดแปลงสร้างเป็นโรงแรม ในเมืองปักกิ่งมีคนธุรกิจแบบนี้อยู่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นโดยเฉพราะ เป็นธุรกิจที่กำลังเฟื่องฟู
ในเรือนด้านหลังมีจำนวนแปดห้อง ถ้าเปลี่ยนมาสร้างเป็นหกห้องนอน ราคาวันละสองร้อยหยวนต่อห้อง ในเดือนๆหนึ่งจะได้รายได้ถึงหลายหมื่นหยวนเลยทีเดียว
ความหมายที่สองของคำพูดเยี่ยเทียน คืออยากให้ผู้อยู่อาศัยทุกคนโล่งใจ เพราะเยี่ยเทียนไม่ได้จะมาไล่พวกเขาไป เมื่อสักครู่นายจางท้าท้ายถึงขนาดนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นความจริง
“น้องเยี่ย คุณเป็นคนดี จริงใจ ถ้าวันหลังมีเรื่องอะไรต้องการความช่วยเหลือง ก็มาหาพี่จางคนนี้ได้เลย”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน นายจางตะโกนออกมา แต่ว่าครั้งนี้เขาพูดออกเป็นคำที่ดี แค่ไม่ไล่เขาไป ให้อยู่อาศัยที่นี่ต่อไป จะพูดดีด้วยหน่อยก็สมควร
“เสี่ยวเยี่ยเป็นคนดี คุณไม่ต้องห่วง หากวันหลังโรงแรมเปิดขึ้นมา พวกเราจะช่วยดูแลให้นะ…”
“นั่นน่ะสิ คราวหน้าถ้าญาติผมมาปักกิ่ง ให้พักอยู่ที่นี่แหละ สะดวกดี…”
บรรยากาศความตึงเครียดในลานเมื่อสักครู่นี้ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนทุกคนกลัวว่าเยี่ยเทียนจะเสียใจในภายหลัง จึงพูดดีเข้าหา อลุ้มอล่วยโอนอ่อนให้เจ้าของบ้านคนใหม่
นักธุรกิจ สิ่งที่สำคัญคือความสามัคคีและความมั่งคั่ง คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้ทุกคนเข้าใจว่า เยี่ยเทียนกลัวว่าพวกผู้อยู่อาศัยจะกลั่นแกล้ง ทำให้ธุรกิจดำเนินไม่ดี พอเยี่ยเทียนพูดจบพวกผู้อยู่อาศัยถึงได้วางใจกลับไป
“ทุกคนแยกย้ายกันไปเถอะ ผมจะหาใครสักคนมาเก็บกวาดเรือนด้านหลังเสียหน่อย กองขยะของใช้แล้วเยอะแยะเหลือเกิน…”
เมื่อได้ข้อสรุปผู้อาศัยทุกคนก็แยกย้ายกลับห้องพักของตัวเองไป เหลือเพียงนายจางและคนอีกไม่กี่คนที่ยังยืนอยู่ที่ลานบ้าน เพื่อรอเยี่ยเทียนหาช่างก่อสร้างมา พวกเขาอยากดูว่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะเปลี่ยนเรือนด้านหลังให้เป็นโรงแรมจริงหรือ
“เยี่ยเทียน หลานจะเปิดโรงแรมจริงหรือ?”
หลังจากเดินออกจากประตูใหญ่เรือนสี่ประสานแล้ว ป้าใหญ่ถามอย่างไม่แน่ใจ หลานชายคนนี้ของตนมีความคิดลึกซึ้งเกินไป จะคิดทำการอะไรก็ไม่ปรึกษาผู้ใหญ่ เธอดูไม่ออกว่าเยี่ยเทียนกำลังคิดอะไรอยู่
“ป้าใหญ่ เรื่องนี้เอาไว้เราค่อยพูดกันวันหลัง ข้าวของบางส่วนที่ไม่มีประโชชน์ของลุงเหล่าหวัง ผมจะไปหามารับซื้อไป…”
เยี่ยเทียนฟังแล้วยิ้ม เปิดโรงแรม?พูดเล่นอะไร?สถานที่แห่งนี้ฮวงจุ้ยดีมาก ทำไมไม่ใช้อยู่เอง มีหรือจะส่งต่อให้คนอื่นๆ?
ตอนนี้เกือบจะสองทุมแล้ว ป้าใหญ่เป็นคนกว้างขวางในย่านนี้ จึงพอจะหาบริษัทย้ายบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียงมาช่วยขนของออกไปทิ้ง ชายหนุ่มห้าหกคนขับรถตามเยี่ยเทียนเข้าไปเรือนสี่ประสาน
“เสี่ยวเยี่ย พวกเรามาช่วยนะ…”
“ใช่แล้ว วันหลังก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว มีเรื่องอะไรให้ช่วยบอกได้เลย …”
เยี่ยเทียนและพวกเพิ่งเดินเข้าไปถึงลานบ้าน นายจางและคนอื่นๆที่รออยู่เดินออกมา พวกเขาก็ไม่ค่อยวางใจเพราะ กลัวเยี่ยเทียนจะออกอุบายชั่วอะไร
“ได้ เข้าไปด้วยกันทุกคนเลย พวกหม้อจานกระทะช้อนและของที่ไม่ใช้แล้ว ทุกคนเอาไปกลับบ้านใช้ได้เลย…”
เยี่ยเทียนโบกมืออย่างใจกว้าง ได้ยินว่ามีอีกหลายคนที่อยู่ในละแวกนั้นอยากเข้ามาเหมือนกัน ถึงแม้ว่าของใช้พวกนี้ไม่มีค่า แต่นิสัยชอบของฟรีใครๆก็เป็น ของที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อหยิบได้ยิ่งเยอะยิ่งดี
ในฐานะเจ้าของ ตาแก่หวังได้ครอบครองเรือนด้านหลังไว้ทั้งหมด กินพื้นที่กว้างขวางกว่าเรือนหน้าและเรือนกลาง เขาอยู่ที่นี่หลายสิบปี ได้สะสมข้าวของไว้ไม่น้อย ของใช้เก่าเก็บกองเกลื่อนกินพื้นที่ไปครึ่งหนึ่งของลานบ้าน
“พี่ชาย ของพวกนี้ก็ยกขึ้นไปที่รถเถอะ แล้วก็เตียงโต๊ะและเก้าอี้ที่อยู่ในห้องก็ไม่เอาแล้วนะ ใครอยากได้ก็เอากลับไปได้เลย…”
เยี่ยเทียนเคยดูสิ่งของที่อยู่ในบ้านเหล่าหวังโถว แค่ชุดโต๊ะแปดเซียนและเก้านี้ไม้แดงหวงฮวาหลีสองตัวเท่านั้นดูดี แต่เครื่องเรือนดังกล่าวถูกเจ้าของเก่าขนออกไปเรียบร้อยแล้ว ข้าวของที่เหลืออยู่เป็นของไร้ค่าไม่มีราคาทั้งหมด
“นี่ เสี่ยวเยี่ย ของพวกนี้ถ้าคุณไม่เอา พวกเราขอนะ…”
ได้ยินเยี่ยเทียนว่าจะขนของที่อยู่ในบ้านและลานบ้านเอาไปทิ้ง พวกผู้อาศัยที่เดินตามหลังเข้ามาพากันตาลุกวาวทันที ไม่ใช่ทุกครอบครัวรวยเหมือนนายจาง โต๊ะเก้าอี้เหล่านี้ถึงเก่าไปหน่อย แต่ถ้าได้เอากลับไปใช้ได้อีกเป็นสิบปีก็ไม่มีปัญหา
“ได้ครับ พวกคุณตกลงกันเอาเอง ขอแค่อย่าพังบ้านผมก็พอ ของที่เหลือพวกคุณอยากได้ก็เอาไปเถอะ…”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้ทุกคนนี้ตื่นเต้น พวกเขารู้อยู่แล้ว ในห้องทั้งแปดที่นี่ เมื่อก่อนตาแก่หวังใช้สี่ห้องเป็นห้องเช่า อีกสองห้องเก็บไว้เพื่อลูกหลานกลับมาอยู่
หมายความว่าเครื่องเรือนในทุกๆห้องพวกเขาสามารถนำกลับไปได้โดยที่เยี่ยเทียนอนุญาตแล้ว พวกเข้าเห็นเข้าทีพสกันวิ่งเข้าไปแก่งแย่งข้าวของ บางคนรีบวิ่งกลับบ้านไปชวนภรรยามาช่วยขนข้าวของด้วย
เพียงไม่กี่นาที ทั้งเรือนหน้าและเรือนกลาง มีฝูงชนหลั่งไหลเข้ามาแออัดยัดเยียดแย่งข้าวของกัน แม้ว่าตาแก่แซ่หวังที่อายุห้าสิบเกือบหกสิบปียังไม่ยอมแพ้ เดินตัวเปล่าเข้ามาหวังกอบโกยข้าวของจากที่นี่กลับไป
เสียงเด็กๆกรี๊ดกร๊าดกันชุลมุน เรือนสี่ประสานที่เงียบเชียบมานาน ตอนนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวาราวกับเทศกาลตรุษจีน
“ฮ่าๆ ทุกคนเวลาขนของกันระวังหน่อย อย่าล้มอย่าชน…”
เยี่ยเทียนเปิดไฟใหญ่กลางลานบ้านในเรือนหลังให้ส่องสว่างเพื่อความเอื้ออาทรของเขาก็ทำให้หลายคนไม่ค่อยระมัดระวัง
ตอนนี้ในสายตาของผู้ที่อยู่อาศัยที่นี้มองเยี่ยเทียนเป็นคนฟุ่มเฟือย เฟอร์นิเจอร์และของใช้เหล่านี้ก็ไม่ได้เสียหาย หากเปิดโรงแรมยังสามารถนำมาดัดแปลงใช้ได้ แต่เขากลับส่งมอบข้าวของให้คนอื่น ถ้าไม่ใช่ฟุ่มเฟือยแล้วจะเรียกอะไร
“เฮ้ย ของนั้นผมเอา ทำไมคุณถึงยกมันออกไปเล่า?” ผู้ที่อยู่อาศัยที่เรือนด้านหน้าคนหนึ่งตะโกนใส่พนักงานบริษัทย้ายบ้าน
พนักงานขนย้ายชี้ไปยังเยี่ยเทียนตอบว่า “เจ้านายเยี่ยสั่งให้เราขนออกไป คุณไปเลือกของชิ้นอื่นเถอะ…”
เมื่อเยี่ยเทียนเข้ามา เขาพูดสั่งกับพนักงานบริษัทย้ายบ้านว่า “ข้าวของพวกนี้ พวกนายเอาไปได้เลย” พวกพนักงานของบริษัทขนย้ายต่างดีใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งของพวกนี้แม้จะไม่มีมูลค่าแต่พวกเขาก็ยังอยากได้ไป
ทีแรกคิดว่าของพวกนี้เป็นของตนแล้ว แต่ไม่คิดว่าเยี่ยเทียนก็ยังให้พวกเขาไปปรึกษากับพวกผู้อาศัยอีกที ความดีใจของเหล่าพนักงานสูญสิ้นลงทันใด กลายเป็นทั้งผู้อยู่อาศัยและพวกพนักงานคนย้ายต่างพยายามแย่งของดีๆและขนกลับไปยังที่ของตน
แน่นอนว่าพวกผู้อาศัยในเรือนสี่ประสานไม่ยินยอมแต่โดย ถ้าเป็นข้าวของแค่สักสองสามชิ้นก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อถูกแย่งมากเกินไป จึงเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกัน