“ยังไม่คำนับอาจารย์อีก?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ทำให้แม่ของโจวเซี่ยวเทียนชะงักฝีเท้าลง เธอรู้ว่าทำอย่างนี้ออกจะเกินไปหน่อย ในเมื่อเยี่ยเทียน ยอมรับลูกชายของเธอเป็นศิษย์ในนามแล้ว ก็แสดงว่าเขาได้ยอมถอยให้เธอมากแล้ว
แม่ของโจวเซี่ยวเทียนไม่มีทางเลือก แต่โบราณมาความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์นั้น เปรียบดั่งสายสัมพันธ์พ่อลูก เมื่อเยี่ยเทียนกับลูกชายเป็นศิษย์อาจารย์กัน เธอจึงรับปากจะอยู่ที่นี่ต่อ
“อาจารย์ โปรดรับการคารวะจากเซี่ยวเทียนด้วย!”
โจวเซี่ยวเทียนไม่ได้ขัดข้องใจอันใดที่จะขอเป็นศิษย์ของเยี่ยเทียน ตั้งแต่ตอนไปขุดสุสานที่ฉู่หยางเขาก็อยากจะเป็น ศิษย์เยี่ยเทียนแล้ว เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่เห็นด้วยเท่านั้น
“ได้สิ ลำดับขั้นสูงขึ้นแล้วนะ!”
เยี่ยเทียนส่ายศีรษะแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เยี่ยเทียนนั่งอยู่กลางห้องโถงรับการคำนับสามครั้งจากโจวเซี่ยวเทียน ถึงจะเป็นแค่ลูกศิษย์ในนาม แต่พิธีรีตรองนั้นจะขาดไม่ได้
หลังจากโจวเซี่ยวเทียนคำนับเสร็จ เยี่ยเทียนยังไม่ได้บอกให้เขาลุกขึ้น แล้วให้โอวาทว่า “เซี่ยวเทียน สำนักเสื้อป่าน ของเราไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรมาก ขอแค่ไม่ทรยศอาจารย์ ไม่ทำลายบรรพชน ไม่หลงไปในกิเลสกามคุณ ไม่โลภโมโทสันต์ เข้าใจไหม?”
“อาจารย์ ผมเข้าใจแล้ว ต่อไปถ้าผมละเมิดกฎสำนัก ขอให้อาจารย์ลงโทษได้เลยครับ!” โจวเซี่ยวเทียนรับปากเสียงดัง
“นี่ เยี่ยเทียน แกทำอะไรของแก?”
เยี่ยเทียนกำลังจะให้โอวาทต่อ แต่เสียงของเยี่ยตงผิงดังแทรกขึ้นมาจากหน้าประตู “แกให้เขาคุกเข่าอยู่ที่พื้นทำไมกัน? เจ้าหนุ่ม รีบลุกขึ้นสิ!”
“อาจารย์ปู่!” โจวเซี่ยวเทียนเป็นคนฉลาด รีบหันหลังกลับไปคำนับเยี่ยตงผิง ถึงอย่างไรเป็นผู้อาวุโสเหมือนกัน จะทำไปก็ไม่เสียหาย
“อะ…อะไรนะ? อาจารย์ปู่?”
เยี่ยตงผิงถูกโจวเซี่ยวเทียนโขกศีรษะคำนับจึงงงไปหมด มองไปที่ลูกชายแล้วถามว่า “เยี่ยเทียน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“พ่อ ผมรับโจวเซี่ยวเทียนเป็นศิษย์เพียงแต่ในนาม ต่อไปพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว…”
เยี่ยเทียนอธิบายให้พ่อฟัง แล้วจึงขมวดคิ้วแน่นหันไปถามโจวเซี่ยวเทียนว่า “แต่ว่าเซี่ยวเทียน ไม่ต้องเรียกอาจารย์ปู่หรอก นายเรียกลุงเยี่ยก็พอ พ่อของฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้น!”
โจวเซี่ยวเทียนส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “อาจารย์ จะเสียมารยาทไม่ได้ ฐานะกับอายุมันไม่เกี่ยวกัน”
“เหลวไหล งั้นจะให้ฉันเรียกคุณน้าว่ายังไง?” เยี่ยเทียนตัดบทโจวเซี่ยวเทียนอย่างรำคาญ “เพิ่งจะกราบอาจารย์เสร็จก็ไม่เชื่อฟังอาจารย์แล้วใช่ไหม?”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเยี่ยเทียน แม่ของโจวเซี่ยวเทียนก็พูดต่อ “เสี่ยวเยี่ย เรียกฉันว่าพี่สาวแล้วกัน ฉันรู้ว่าเธอยอมรับเขาเป็นศิษย์ก็ลำบากใจแล้ว ถือซะว่าเราสองคนแม่ลูกมารบกวนเธอแล้วกัน!”
“นี่…นี่มันอะไรกันครับ?” เยี่ยเทียนยิ้มขมขื่น จะให้เขาเรียกป้าอายุราวห้าสิบหกสิบปีว่าพี่สาว เขาเรียกไม่ได้จริงๆ
“คุณป้า เอาอย่างนี้ ผมว่าเราแยกแยะกันให้ถูกต้องดีกว่า ผมรับเซี่ยวเทียนเป็นศิษย์แต่ในนาม และผมเรียกคุณว่า คุณป้าก็แล้วกัน ถ้าคุณป้าไม่เห็นด้วย งั้นผมก็ไม่รับศิษย์แล้ว!” เยี่ยเทียนหาทางออก
“อย่างนั้นก็ได้ พี่เยี่ย รบกวนพวกคุณแล้วนะคะ ” หลังจากแม่ของโจวเซี่ยวเทียนได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เธอจึงไม่ดื้อดึงต่อไป แต่กลับหันไปพูดกับเยี่ยตงผิง
“ไม่รบกวน ไม่รบกวน…”
เยี่ยตงผิงรีบโบกมือ แล้วหันไปบอกลูกชายว่า “เยี่ยเทียน ให้เซี่ยวเทียนกับแม่ไปอยู่ที่บ้านหลังเก่าเถอะ ห้องหับก็ได้จัดเตรียมไว้ให้หลายวันแล้ว”
“ได้ครับ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดกับเซี่ยวเทียนว่า “ต่อไปนายติดตามพ่อของฉัน อย่าได้ทำผิดคิดชั่วเป็นอันขาด รู้ไหม?”
“อาจารย์ วางใจเถอะ ผมจะเชื่อฟังอาจารย์ปู่เป็นอย่างดี!”
“ลุงเยี่ย!” ทั้งเยี่ยเทียนและเยี่ยตงผิงต่างรีบแก้คำเรียกของโจวเซี่ยวเทียน
บ้านเก่าของเยี่ยเทียนมีคนพักอาศัยอยู่สามครอบครัว แต่ก็ยังโล่งอยู่ดี การเข้าไปอยู่ของสองแม่ลูกตระกูลโจว จึงทำให้บ้านหลังนี้ยิ่งครึกครื้นขึ้นมาอีก คืนนั้นครอบครัวของลู่เชินก็ได้มาทานข้าวที่บ้านเหมือนกัน
แต่สำหรับครอบครัวของป้ารองของพวกเขา เยี่ยเทียนสองพ่อลูกกลับปิดบังเรื่องที่โจวเซี่ยวเทียนเคยเป็นโจรขุดสุสานมาก่อน ถึงอย่างไรลู่เชินก็เป็นตำรวจ ถ้าหากรู้เข้าคงยากที่เกิดเรื่องยุ่งยากไม่สบายใจ
หลังจากจัดการเรื่องที่พักให้โจวเซี่ยวเทียนแม่ลูกแล้ว วันรุ่งขึ้นเยี่ยเทียนจึงพาแม่ของโจวเซี่ยวเทียนไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลจักษุแพทย์ที่ลู่เชินแนะนำให้ เพราะสนิทคุ้นเคยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลนั้น
โบราณว่าไว้ กับคนคุ้นเคยติดต่ออะไรก็ง่าย หลังจากตรวจดวงตาเสร็จแล้ว แพทย์หัวหน้าเวรจึงแจ้งว่า ถ้าหากมีเยื่อบุตาที่เข้ากันได้ จะรีบแจ้งพวกเยี่ยเทียนก่อนเป็นคนแรกเพื่อให้มาผ่าตัดเปลี่ยนเยื่อบุตาทันที
เยี่ยเทียนย่อมรู้ดีถึงธรรมเนียมในสังคมดีอยู่ ก่อนออกจากโรงพยาบาล เขาได้ยัดอั่งเปาสองพันหยวนให้กับหัวหน้าแพทย์เวรท่านนั้น
เนื่องจากแม่ของโจวเซี่ยวเทียนมีภาวะเครียดและวิตกกังวลเรื้อรัง ทั้งร่างกายและจิตใจจึงไม่แข็งแรง เยี่ยเทียนจึงให้เธอไปค้างที่เรือนสี่ประสานของเขาทุกๆ สองวัน แล้วยังนำยาอาหารบำรุงต่างๆ ให้เธอรับประทานอีกด้วย
ส่วนโจวเซี่ยวเทียนก็ติดตามเยี่ยตงผิงไปทำงานอย่างเป็นทางการ เยี่ยตงผิงกลับมาบ้านชมไม่หยุดปากทุกวัน
โจวเซี่ยวเทียนทั้งคล่องแคล่วทั้งฉลาดทันคน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ เขาสามารถทำงานในร้านได้หมด มีครั้งหนึ่งเยี่ยตงผิงกับหลิวเหวยอันต่างก็ไม่อยู่ร้าน เขายังขายแป้นเทียนสำริดสมัยก่อนยุคฉินอันหนึ่งออกไปในราคาห้าหมื่นหยวน
……
“พี่เยี่ยเทียน พี่ชิงหย่า พวกเราไปกันได้รึยัง?”
ถังเสวียเสวี่ยยืนอยู่หน้าประตูเรือนด้านหลัง ตะโกนเข้าไปในห้องของเยี่ยเทียน ถ้าหากไม่มีเรื่องด่วนอะไรถังเสวียเสวี่ยจะไม่เข้ามาในพื้นที่ของเยี่ยเทียนเด็ดขาด
แต่วันนี้เยี่ยเทียนบอกว่าจะไปซื้อรถสักคัน และรับปากว่าจะพาเธอไปด้วย เด็กสาวจึงแต่งตัวแต่เช้ามายืนรออย่างอึดอัดอยู่ในลานนี้เป็นครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว
“เป็นเพราะเธอเลย ฉันสภาพนี้จะออกไปได้ยังไง?”
อวี๋ชิงหย่าผลักเยี่ยเทียนอย่างโมโห รีบวิ่งไปส่องกระจกแล้วก็ร้องออกมาอย่างตกใจ เพราะความแดงบนใบหน้าของเธอบ่งบอกถึงความเร่าร้อนที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่
“ฮิๆ ทาแป้งนิดหน่อยก็ได้แล้ว ฉันว่านะชิงหย่า เดี๋ยวซื้อรถเสร็จตอนเย็นเธอก็ไม่ต้องกลับแล้ว?”
เยี่ยเทียนอดไม่ได้คว้าเอวคอดกิ่วของอวี๋ชิงหย่าไว้ ช่วงนี้เขาแน่ใจแล้วว่าการช่วยแก้ดวงของอวี๋ชิงหย่าสำเร็จไปได้ด้วยดี ในอนาคตถ้าเกิดเยี่ยเทียนไปทำเรื่องผิดกฎสวรรค์ขึ้นอีก เคราะห์กรรมจะได้ไม่ต้องตกไปถึงเธอคนนี้ด้วย
“ฝันไปเถอะ ฉันจะกลับมหาลัยฯ แล้ว!”
อวี๋ชิงหย่ากลอกตาใส่เยี่ยเทียน เมื่อเห็นใบหน้าสุดแสนจะผิดหวังของเขาเข้าก็ใจอ่อน “วันนี้ต้องกลับจริงๆ แล้วเดี๋ยว…ฉันมาใหม่วันเสาร์อาทิตย์ดีไหม?”
“ได้ สัญญาแล้วนะ แล้วฉันจะไปรับเธอวันหยุดนะ!”
เยี่ยเทียนได้ยินคำพูดของอวี๋ชิงหย่าแล้วจึงดีใจขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่วายที่จะบ่นต่อ “ให้ตายเถอะ ยังอีกตั้งห้าวันแหน่ะ กว่าจะถึงวันหยุด!”
“ดูเธอสิ เอาเถอะ อย่าให้เสวียเสวี่ยรอนานเลย พวกเราออกไปกันเถอะ” อวี๋ชิงหย่าหัวเราะพลางแตะจมูกเยี่ยเทียน เบาๆ หลังจากแต่งหน้านิดหน่อยแล้วจึงเดินออกไปจากห้องพร้อมกับเยี่ยเทียน
“พี่ชิงหย่า พี่สวยจังเลย สวยกว่าดาราดังในหนังฮ่องกงอีกนะ!” ถังเสวียเสวี่ยเห็นทั้งสองคนเดินออกมา ก็รีบวิ่งตรงไป เกี่ยวแขนอวี๋ชิงหย่า พลางชมเอาอกเอาใจ
“อะแฮ่ม พี่เยี่ยไม่หล่อเหรอ?”
เยี่ยเทียนกระแอมเตือนอยู่ข้างๆ เด็กสาวคนนี้รู้ทันว่าควรจะเอาใจใคร ตั้งแต่ตอนนั้นที่ยอมให้อวี๋ชิงหย่า ถังเสวียเสวี่ย ก็ยิ่งประจบประแจงเข้าหาเธอมากขึ้น
“พี่หล่ออยู่แล้ว จตุรเทพทั้งสี่ยังไม่หล่อเท่าพี่เลย!”
ถังเสวียเสวี่ยฉีกยิ้มควงแขนเยี่ยเทียนไปด้วย “พี่เยี่ยเทียน พี่จะซื้อรถแบบไหนเหรอ? คุณปู่ของหนูมีรถหลายคัน บอกคุณปู่ของหนูเอาให้พี่สักคันดีไหมคะ?”
“รถของคุณปู่เธอก็ของของคุณปู่สิ พี่มีเงิน ทำไมต้องไปขอเขาเล่า?”
เยี่ยเทียนเบ้ปาก แต่พอนึกได้ว่าเงินที่ตัวเองหามาได้นั้น ก็มาจากเหล่าถังนี่เอง เยี่ยเทียนเสียงอ่อยลงโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของถังเสวียเสวี่ยแล้ว เขาจึงรูดจมูกของเธอทีหนึ่งและพูดปลอบว่า “ไปกันเถอะ ตัวเองซื้อรถขับเองสบายใจกว่าเยอะ!”
เมื่อสัปดาห์ก่อน เยี่ยเทียนไปทานอาหารกับครอบครัวป้ารอง แล้วจึงบ่นว่าตัวเองอยากเรียนขับรถ จึงถามพี่ชายว่าพอมีหนทางไหนที่ทำให้เขาได้เรียนเร็วๆ บ้าง
ใครจะรู้ตอนนั้นลู่เชินตบหน้าอกแล้วบอกว่า ไม่ต้องไปหาที่เรียนหรอก แต่จะช่วยจ่ายเงินซื้อใบขับขี่ให้เขา ในปี1998 นั้นกฎหมายยังไม่เคร่งครัดมาก พอผ่านไปแค่หนึ่งสัปดาห์ ลู่เชินก็นำใบขับขี่มาส่งให้เยี่ยเทียนถึงมือ
แต่มีใบขับขี่กลับไม่มีรถ เยี่ยเทียนก็ไม่อยากขับซานตาน่าคันเก่าของพ่อ จึงคิดไปคิดมาอยากจะซื้อรถสักคัน ถึงอย่างไรเขาก็อาศัยอยู่ในซอย ถ้าออกไปเรียกแท็กซี่ก็กินเวลาสี่ห้านาที จึงไม่ค่อยสะดวกจริงๆ
“จีจี…จีจี!” ตอนที่ทุกคนกำลังเดินมาถึงประตูบ้าน เหมาโถวไม่รู้โผล่มาจากไหน กระโดดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของถังเสวียเสวี่ย อย่างกับจะขอติดตามเยี่ยเทียนไปด้วย
“อยู่เฝ้าบ้านไป อย่ามัวแต่คิดเที่ยว!” เยี่ยเทียนคว้าเหมาโถวเอาไว้ แล้วโยนกลับลงไปในลานบ้าน
เจ้าตัวนี้มักจะก่อเรื่องอยู่สมอ คราวก่อนที่เยี่ยเทียนไปออกกำลังกายตอนเช้าในสวนสาธารณะ จู่ๆ เจ้าตัวแสบก็ใช้อุ้งเท้าเปิดกรงได้ และแอบไปขโมยกินนกในกรงที่ผู้สูงอายุนำออกมาแขวนไว้บนต้นไม้ในสวน
พอได้ยินผู้สูงอายุในสวนสาธารณะบ่นกันว่าช่วงนี้มีงูแอบมากินนกในกรง เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ จึงไปซื้อกรงใหม่มาอันหนึ่ง แล้วขังเหมาโถวไว้อยู่หลายวัน มันถึงได้เชื่อฟังมากขึ้น
“พี่คะ เหมาโถวมันน่าสงสารนะ!” ถังเสวียเสวี่ยทนดูท่าทางยื่นหัวไปมาของเหมาโถวไม่ได้
“นั่นมันแกล้งทำ เธออย่าได้สงสารมันเชียว!”
เยี่ยเทียนปิดประตูบานใหญ่ตามหลัง แต่ตอนที่เขาเดินพ้นเขตพลังมังกรที่ครอบคลุมเรือนสี่ประสานไว้ โทรศัพท์ที่อยู่ที่ตัวก็ดังขึ้นมา
“ลุงเว่ย? ไม่ได้เจอลุงครึ่งเดือนแล้ว สบายดีนะครับ?”
เยี่ยเทียนควักโทรศัพท์ออกมา ที่แท้เว่ยหงจวินก็โทรมาจึงรีบรับสาย แต่พอได้ฟังเสียงตามสายของเว่ยหงจวินแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ค่อยๆ จางหายไป
“ชิงหย่า เสวียเสวี่ย คือ…เรื่องรถน่ะเอาไว้ก่อนนะ ลุงเว่ยมีธุระกับฉัน”
หลังจากวางสายแล้ว เยี่ยเทียนมองดูชิงหย่ากับเสวียเสวี่ยด้วยสายตาขอโทษ ถ้าเป็นคนอื่นเยี่ยเทียนคงไม่สนใจ แต่เว่ยหงจวินมีเรื่องเดือดร้อนโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็ต้องไปช่วย
…………