เว่ยหงจวินเป็นคนทำมาค้าขายและไม่ใช่คนดี เขาเองก็อยากใช้เงินลงทุนน้อยที่สุดเพื่อให้ได้กำไรมากที่สุด แต่หลังจากที่ได้ยินเยี่ยเทียนขอให้เขาช่วยเหลือผู้คน ไม่ทำเรื่องเลวร้ายแล้ว เว่ยหงจวินก็ไม่ไปหาบริษัทรื้อถอนพวกนั้นอีก
เนื่องจากเว่ยหงจวินเข้าใจวิธีการของบริษัทรื้อถอนพวกนั้นอย่างชัดเจน คนพวกนั้นล้วนไม่ใช่พุทธศาสนิกชนอะไร
นอกจากหากำไรจากค่ารื้อถอนแล้ว วิธีการหาเงินหลักๆ ของพวกเขา ยังบังคับให้พวกที่อยู่อาศัยพวกนั้นลงชื่อรับค่าชดเชยในการรื้อถอนในราคาต่ำมากจากแผนการรับเงินก้อนใหญ่
หากให้พูดเปรียบเทียบก็คือ รัฐบาลให้เงินค่าชดเชยหนึ่งล้าน พวกเขาอาจจะให้ผู้อยู่อาศัยเพียงแปดแสนหรือว่าน้อยกว่า ส่วนที่เหลือนั้นย่อมตกใส่กระเป๋าเงินของพวกเขาเองทั้งหมด
แต่ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ผู้อยู่อาศัยพวกนั้นย่อมไม่ยอมลงชื่อ แล้วการรื้อถอนอย่างบ้าระห่ำก็จึงเกิดขึ้น หลายปีมานี้ เมืองเก่าปรับปรุงตามโครงการมากมาย เนื่องจากเรื่องการรื้อถอนทำคนบ้านแตกสาแหรกขาดมีมาให้ได้ยินเป็นระยะ
ดังนั้นหลังจากผ่านการคิดทบทวน เว่ยหงจวินจึงตัดสินใจไม่จ้างบริษัทรื้อถอนข้างนอก และรับผิดชอบโดยบริษัทของตัวเองทั้งหมด
อย่างไรก็ได้ค่าชดเชยรื้อถอนมากหน่อย สำหรับพื้นฐานฐานะครอบครัวของเว่ยหงจวินยังนับว่าไม่เท่าไร แต่ยังสามารถประหยัดเงินจากส่วนนั้นหรืออาจจะมากกว่าจ้างบริษัทรื้อถอนมาเสียอีก เพียงแต่เพิ่มปริมาณงานกับความยุ่งยากมากขึ้นเท่านั้น
ถึงแม้ขณะอยู่ในขั้นตอนรื้อถอน และอาจมีบ้านตะปูที่รับมือยากอยู่บ้าง แต่ภายใต้การเพิ่มค่ารื้อถอนกับความอดทนของการพูดโน้มน้าว จึงทำให้การเผชิญหน้าการรื้อถอนเป็นไปอย่างราบรื่น
หลักสำคัญก็คือ ท่าทีของบริษัทเว่ยหงจวิน ทำให้ผู้คนที่ถูกย้ายบ้านพวกนั้นล้วนพึงพอใจ เรื่องฟ้องร้องดำเนินคดีอะไรพวกนั้นก็ไม่เกิดขึ้น จึงเท่ากับเป็นการสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล
วัฒนธรรมการรื้อถอนของเว่ยหงจวินทำให้เขาได้รับชื่อเสียงอย่างดี รัฐบาลให้ความชื่นชมต่อบริษัทของเขาหลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งมีเจตนาจะมอบโครงการในอนาคตให้บริษัทของเว่ยหงจวินไปทำอีกด้วย
แต่เมื่อเป็นอย่างนั้น บริษัทที่อาศัยการรับจ้างรื้อถอนหากินก็จึงมีปัญหา บริษัทพวกนี้เดิมทีอาศัยค่าหัวคิวเงินชดเชย การรื้อถอนจึงรุ่งเรือง ตอนนี้ไม่มีคนไปหาพวกเขาให้ช่วยทำการรื้อถอน แล้วพวกเขาจะกินอะไรล่ะ? ดังนั้นความขัดแย้งจึงพุ่งตรงมายังเว่ยหงจวิน
คนที่สามารถจับธุรกิจรับจ้างรื้อถอนได้ เดิมทีล้วนเป็นหัวโจกเก่าชื่อดังแห่งปักกิ่งหรือไม่ก็นักเลงประจำถิ่น ที่เลี้ยงดูพวกว่างงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นแก๊งใหญ่ ชื่อเสียงดีงามด้านช่วยแบ่งเบาภาระให้รัฐบาล แก้ปัญหาการว่างงานของนักโทษแรงงานที่กลับใจให้มีงานทำอีกครั้ง
แต่ใครจะรู้ ว่าแก๊งนักโทษกลับใจที่ออกมานั้น ล้วนเป็นนักเลงหัวไม้ เหตุทุบทำลายใช้ปืน เรื่องปล่อยหมาซ่อนงู ระหว่างขั้นตอนรื้อถอนนั้น ส่วนใหญ่เป็นฝีมือของพวกเขาที่ทำออกมาทั้งสิ้น
แน่นอนว่า นักเลงพวกนั้นเปิดบริษัทรื้อถอนได้เงินมาแล้ว จึงมีวัฒนธรรมมากขึ้น หลายบริษัทได้ปรึกษากัน แล้วจึงตัดสินใจไปเจรจาพาทีกับเว่ยหงจวินก่อนแล้วค่อยใช้กำลัง
ดังนั้นเถ้าแก่บริษัทรื้อถอนหลายรายในเขตตงเฉิงจึงมาหาเว่ยหงจวิน แต่ว่าคนหยาบคายก็คือคนหยาบคายอยู่วันยังค่ำ คนพวกนี้อ้าปากมาก็ข่มขู่เว่ยหงจวินว่าการรื้อถอนด้านล่างต้องให้พวกเขาทำ ไม่อย่างนั้นธุรกิจของเว่ยหงจวินจะดำเนินต่อไม่ได้
ถ้าหากคนพวกนี้เจรจากับเว่ยหงจวินดี ๆ สักหน่อย สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่ตุกติกกับเงินชดเชยค่ารื้อถอน ไม่แน่ว่าเว่ยหงจวินอาจจะไม่ปฏิเสธ ให้งานรื้อถอนแก่พวกเขา แต่แย่ตรงที่ว่าเจ้าแก๊งพวกนี้ทำเกินเหตุเกินไป
เว่ยหงจวินนั้นตั้งตัวมาจากร้านอาหารเล็กๆ ในเรือนสี่ประสาน สถานที่ที่มีทั้งคนเลวและคนดีอยู่ร่วมกันแบบนั้นความสัมพันธ์ดำขาวไม่อาจแยกกันได้ชัดเจน ดังนั้นภายในช่วงแรกของเมืองปักกิ่ง เว่ยหงจวินจึงนับเป็นคนดังคนหนึ่ง
บวกกับธุรกิจของเว่ยหงจวินรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน รู้จักคนระดับสูงในสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ หลายปีมานี้น้อยคนนักจะกล้าชักสีหน้าใส่เขา
ดังนั้นเมื่อถูกเถ้าแก่บริษัทรื้อถอนพวกนั้นใช้คำพูดกดดัน เว่ยหงจวินเองจึงเปลี่ยนสีหน้าในทันควัน เรียกคนให้ขับไล่พวกเขาออกไป
เว่ยหงจวินเองก็ไม่เอาเรื่องนี้มาใส่ใจ ถึงอย่างไรหัวหน้าของสำนักงานเขตตงเฉิงกับรวมถึงคนอีกสองสามคนที่อยู่ในหน่วยงานรัฐบาลต่างก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา เขาเองก็ไม่กลัวนักเลงพวกนั้นเข้ามาหาเรื่อง ประชาชนหาเรื่องกับข้าราชการ ถือว่าหาเรื่องตายชัดๆ
หลังจากนั้นหนึ่งถึงสองเดือน คนพวกนั้นก็ไม่กล้ามาหาเรื่องอีก งานที่เว่ยหงจวินต้องทำในแต่ละวันนั้นเยอะมาก จึงค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ไปจากสมอง
แต่เว่ยหงจวินไม่เคยคิดมาก่อนว่า สมองของพวกนักเลงในปัจจุบันล้วนพัฒนาไปตามวันเวลา กระทั่งสหายเถ้าแก่ใหญ่ที่ร่วมกินนอนด้วยกันมากับเว่ยหงจวิน ก็ยังมีเล่ห์เหลี่ยมและวิธีการมากมาย
เวลาเที่ยงของเมื่อวานซืน เว่ยหงจวินได้รับรายงานจากหวังกง บอกว่ามีครอบครัวหนึ่งที่ตกลงย้ายบ้านกับบริษัทรื้อถอนเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ ดันกลับคำ หนำซ้ำยังฉีกข้อตกลงค่าชดเชยทิ้งตรงนั้น บอกว่าต้องการให้เถ้าแก่ของบริษัทไปคุยกับเขา
ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของบ้านที่จะถูกรื้อถอนนั้นสำคัญเป็นอย่างมาก ตารางการก่อสร้างในสัปดาห์ถัดไปจะดำเนินการที่นั่น จึงจำเป็นต้องรื้อถอนทิ้งในทันที
หลังจากได้ยินการรายงานของหวังกงแล้ว เว่ยหงจวินจึงคิดว่าเจ้าบ้านหลังนั้นอยากเพิ่มราคา ตอนนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจ เพราะว่าผู้อยู่อาศัยโดยรอบล้วนย้ายออกไปหมดแล้ว จึงตัดสินใจยอมถอยแล้วให้เงินมากหน่อยก็ไม่เป็นไร
คืนวันนั้นเว่ยหงจวินพาหวังกงกับพนักงานภายในบริษัทสองสามคนไปยังบ้านหลังนั้น แต่สิ่งที่เว่ยหงจวินไม่คาดคิดก็คือ เด็กหนุ่มที่ว่ากันว่าเป็นเจ้าของธุรกิจ อ้าปากมาก็เปิดราคาค่าชดเชยถึงสิบล้าน
ควรทราบว่า บ้านที่รอการรื้อถอนหลังนั้นเป็นบ้านสามห้องในเนื้อที่เพียงแปดสิบตารางเมตรเท่านั้น ตามราคาตลาดก็เพียงแค่สามสี่แสนเท่านั้นเอง จำนวนเงินสิบล้านมากพอจะซื้อได้หลายสิบหลัง
เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีความจริงใจ เว่ยหงจวินก็ไม่อยากคุยอีกต่อไป ใครจะรู้ว่าขณะที่พวกเขาเตรียมจะออกมานั้น จู่ๆ ก็มีคนจำนวนเจ็ดแปดคนพุ่งออกมา ในมือถือกระบองมีดพร้าจะมาฟาดฟันเว่ยหงจวิน
ดูเหมือนพวกเขาจะจำเว่ยหงจวินเพียงคนเดียว วิ่งเข้ามาจับตัวของหวังกงและคนอื่นๆ ไว้ แล้วซัดหน้าเข้าไปสองสามหมัด ซึ่งไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมาย แต่เถ้าแก่เว่ยกลับถูกทำร้ายหนัก
แต่คนพวกนี้ก็กะน้ำหนักมือได้เป็นอย่างดี กระบองตีลงบนข้อต่อของร่างกาย ส่วนมีดก็เพียงฟันแต่ไม่ได้แทง ถึงแม้จะทำร้ายจนเลือดไหลหายใจรวยริน แต่ก็ไม่ถึงแก่ชีวิต หลังจากส่งตัวไปแผนกฉุกเฉินที่โรงพยาบาล เว่ยหงจวินก็รู้สึกตัวขึ้นมา
เว่ยหงจวินที่ไม่เคยถูกทรมานมาก่อนแน่นอนว่าไม่ยอมเลิกราแน่นอน คืนเมื่อวานซืนก็ปลุกระดมเครือข่ายทั้งหมดที่ตัวเองมี เตรียมการจับเจ้าบ้านหลังนั้น อย่างน้อยก็น่าจะโดนโทษจงใจประทุษร้ายผู้อื่นบ้างแหละน่า?
แต่สิ่งที่เว่ยหงจวินไม่คาดคิดก็คือ เจ้าบ้านคนนั้นไม่ต้องถูกจับกุมเลย เพราะเขาก็อยู่ในโรงพยาบาลเดียวกับเว่ยหงจวินเช่นกัน และบาดแผลบนตัวนั้น ก็สาหัสไม่น้อยไปกว่าเว่ยหงจวิน
อีกทั้งบันทึกของตำรวจเกี่ยวกับการกระทำของคนพวกนั้นแสดงให้เห็นว่า นี่คือเรื่องทะเลาะเบาะแว้งเรื่องค่ารื้อถอนระหว่างเจ้าบ้านกับฝั่งรื้อถอน เจ้าบ้านคนนั้นที่ได้รับบาดเจ็บ ยืนกรานท่าเดียวว่าเว่ยหงจวินเป็นคนลงมือก่อน พวกพี่น้องของเขาเห็นว่าตกลงกันไม่ได้จึงสวนกลับ
เดิมทีด้วยเครือข่ายพวกนั้นของเว่ยหงจวิน ก็ได้จับกุมพวกนั้นที่ทำร้ายคนไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าวันถัดมา คนกลุ่มหนึ่งได้พาเจ้าบ้านที่ได้รับบาดเจ็บออกไปจากโรงพยาบาล เพื่อคุกเข่าฟ้องร้องต่อหน้าทางเข้าตึกรัฐบาล
ข้อหาที่ฟ้องร้องก็คือทำธุรกิจบังคับรื้อถอน ประทุษร้ายเป็นเหตุให้คนบาดเจ็บสาหัส แถมยังร่วมมือกับตำรวจจับกุมผู้บริสุทธิ์ จึงวอนขอรัฐบาลช่วยให้ความเป็นธรรมแก่พวกเขา
เมืองปักกิ่งเป็นเขตแดนแบบไหน? ก็คือเมืองหลวงของประเทศ จะเรื่องใหญ่เรื่องเล็กล้วนถูกดึงดูดความสนใจระดับนานาชาติ
คนพวกนี้ทำเรื่องให้วุ่นวายใหญ่โต เวลานั้นจึงทำให้หัวหน้าทั้งหลายต่างตบโต๊ะ ปล่อยพวกอันธพาลทั้งหลายกลับไป เครือข่ายของเว่ยหงจวินนั้นจึงไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าได้รับทุกข์ทรมานใหญ่หลวง เว่ยหงจวินก็ยังไม่เคยคิดไปถึงเถ้าแก่บริษัทรื้อถอนหลายรายที่เคยข่มขู่เขา แต่ว่าเมื่อวานนี้ เว่ยหงจวินได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง ในใจจึงพลันกระจ่างขึ้นมา
ที่แท้บ้านหลังนั้น เพิ่งจะถูกเด็กหนุ่มนั่นขายไปในเวลาไม่กี่เดือนก่อนหน้า โฉนดที่ดินเพิ่งจะทำเสร็จได้ไม่นาน อีกทั้งช่วงเวลาที่ซื้อบ้านยังตรงกันกับช่วงที่เว่ยหงจวินถูกข่มขู่พอดิบพอดี
มิตรสหายพวกนั้นภายในรัฐบาลเคยบอกเว่ยหงจวินแล้ว ว่าเรื่องนี้มีผู้บังคับบัญชาตำแหน่งสูงกว่าเกี่ยวข้อง ทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็กเป็นดีที่สุด ทั้งสองฝ่ายต่างล้วนบาดเจ็บทั้งคู่ จึงให้ฝ่ายไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเจรจาหาข้อตกลงจะดีกว่า
เมื่อเข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุแล้ว เว่ยหงจวินเองก็อดรู้สึกหนาวเย็นในจิตใจขึ้นมาไม่ได้ คนพวกนี้คิดวางแผนนานขนาดนั้น และเริ่มวางกับดักเขาเมื่อเดือนกว่าๆ
อีกทั้งคนพวกนี้ยังใช้แผนทำร้ายตนเอง เพื่อไม่ให้เครือข่ายของเขาช่วยเหลืออะไรได้ จนเขาต้องเจ็บตัวฟรี แล้วก็ยังทำอะไรไม่ได้เลย
เว่ยหงจวินเองก็ไม่ใช่คนไร้ความอดทน เพียงแต่เมื่อวานนี้เขาได้รับข่าวเพิ่ม ว่าเขตก่อสร้างหลายจุดที่กำลังดำเนินงานอยู่ถูกโจมตีโดยกลุ่มอันธพาล ถึงขั้นมีเจ้าหน้าที่ก่อสร้างหลายคนถูกทำร้ายด้วย
ตัวของเว่ยหงจวินก็ถูกทำร้าย บางทีเขาอาจยอมกล้ำกลืนฝืนทนความแค้นนี้ได้ แต่เมื่อเห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการถอนรากถอนโคน ให้บริษัทของเขาไม่สามารถทำกิจการต่อไปได้ เว่ยหงจวินจึงไม่อาจทนได้อีกต่อไป
แต่ว่าตอนนี้จะคาดหวังกับคนของรัฐบาลไม่ได้ เว่ยหงจวินเองก็ไปหามิตรที่เป็นกลุ่มนักเลง คนพวกนั้นพอได้ยินว่าเป็นเรื่องวุ่นวายเกี่ยวกับบริษัทรื้อถอนในตงเฉิง ต่างก็ลนลานหาข้ออ้างว่าติดธุระแล้ววางสาย
พอคิดทบทวนไปมา ตอนนี้เว่ยหงจวินถึงได้โทรศัพท์หาเยี่ยเทียน ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเครือข่ายคนรู้จักของเยี่ยเทียนในปักกิ่งจะไม่มากเท่าตัวเอง แต่ไม่รู้ทำไมเว่ยหงจวินถึงเชื่อว่าเยี่ยเทียนจะสามารถจัดการปัญหานี้ได้
“ให้ตายสิ หรือคำพูดที่ว่าสวรรค์มิโปรดปรานผู้ใด แต่มักเห็นใจคนดี จะเป็นคำพูดไร้สาระไปแล้ว?”
หลังจากได้ยินหวังกงอธิบาย สีหน้าของเยี่ยเทียนก็พลันเขียวปัด นั่นเพราะเขาแนะนำให้เว่ยหงจวินให้ทำความดี ทำเรื่องไร้คุณธรรมให้น้อยลง หากจะว่าไปแล้ว จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ก็มาจากตัวเยี่ยเทียนจะดีกว่า
แต่ว่านี่ก็เป็นเพราะเยี่ยเทียนไม่รู้ว่าภายในโครงการรื้อถอนมีเรื่องสกปรกพวกนั้น จุดประสงค์ที่เขาแนะนำเว่ยหงจวิน นั้นเป็นเจตนาดี แต่กลับเป็นการตัดทางทำมาหากินของคนอื่น
สุภาษิตว่าขวางทางหากินผู้อื่นก็เหมือนฆ่าพ่อแม่เขา คนพวกนั้นเป็นพวกใจดำอำมหิต จึงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ อย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นเพียงพ่อค้าทำธุรกิจ ต่อให้พวกข้าราชการระดับสูง คนพวกนั้นก็ย่อมมีแผนการเดินหมากดึงเขาให้ตกลงมาจากหลังม้า
“แหม เถ้าแก่เว่ย วันนี้ท่านสีหน้าไม่เลวนะ อย่างน้อยก็เป็นถึงเถ้าแก่ อยู่ห้องคนไข้ก็ต้องเป็นห้องเดี่ยว ส่วนพี่น้องของผมยังต้องอยู่ห้องรวมหกคนเลยนะ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่นั้น ห้องคนไข้ก็ถูกคนถีบเปิดออกเสียงดัง “ปัง” เด็กหนุ่มย้อมผมทองสี่ห้าคนก็เดินเท้าเอวเข้ามา
…………