หลังจากได้ยินคำพูดของเว่ยหงจวินแล้ว เยี่ยเทียนจึงทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา แล้วพูดว่า “ลุงเว่ย พวกสองสามคนนี้มีหน้าตาอย่างพวกกบฏ สันคิ้วยุ่งเหยิงเหมือนหญ้า เวลาที่มองคนจะเผยสายตาแห่งความชั่วร้ายออกมา ไม่มีใครดีสักคน…
แค่ดูจากโหงวเฮ้งของพวกเขาเหล่านี้ ถึงแม้จะไม่มีเรื่องในวันนี้ แต่ภายในสามปีจุดจบของพวกเขาก็คือการกินลูกปืน และการส่งพวกเขาให้หลุดพ้นตอนนี้ ยังเป็นการหลีกเลี่ยงให้คนมากมายไม่ต้องได้รับความหายนะจากพวกเขาอีกด้วย!”
บางครั้งหรือบางทีเยี่ยเทียนจะเป็นคนใจอ่อน แต่สุดท้ายเขาก็ยังจำประโยคหนึ่งที่อาจารย์เคยสอนเขาได้อย่างขึ้นใจ นั่นก็คือขจัดความชั่วและทำความดีสร้างกุศล และเขาก็ได้ปฏิบัติตามประโยคนี้มาตลอด
การกระทำของเว่ยหงจวินเป็นเรื่องดีโดยแท้ แต่กลับได้รับความชั่วเป็นการตอบแทน เยี่ยเทียนเชื่อว่า ตามกฎธรรมชาติของสวรรค์ใครทำกรรมอะไรไว้ก็ย่อมได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่อขึ้น และการที่ให้ตัวเองได้รู้เรื่องนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะ สวรรค์อยากจะยืมมือของตัวเองให้ช่วยลงโทษคนสองสามคนนี้ก็เป็นได้
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพวกโจรขโมยขุดหลุมฝังศพที่เข้าใจเรื่องฮวงจุ้ยเพียงเล็กน้อยหรือนักเลงก่อกรรมทำชั่วที่อยู่ตรงหน้านี้ เยี่ยเทียนก็จะลงมือเด็ดขาดอย่างไร้ความปรานี และโจมตีถึงจุดตายโดยไม่มีจิตใจที่เวทนาสงสารแม้แต่นิดเดียว
แต่อย่างหัวหน้าฉีของสถานีโทรทัศน์รายการทีวี เยี่ยเทียนกลับทำให้เขาเสียชื่อเสียงย่อยยับ ไม่ได้ต้องการชีวิตของเขา และสาเหตุก็คือโทษของเขาไม่ถึงตาย อีกทั้งยังเป็นการฝืนหลักการปฏิบัติของวิชาฉีเหมิน
“แต่..แต่ว่า นี่…นี่คือการฆ่าคนนะ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เว่ยหงจวินก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ตอนที่เขายังหนุ่มเขาก็เคยชกต่อยด้วยความกล้าหาญ และอย่างมากที่สุดก็แค่เอาขวดเหล้าทุบศีรษะคน แต่ไม่เคยเห็นสถานการณ์ที่คาวเลือดแบบนี้?
ก่อนหน้านั้นเยี่ยเทียนเคยแกล้งหัวหน้าฉี และในสายตาของเว่ยหงจวินก็รู้สึกว่าน่าขำ แต่ชีวิตของคนเป็นๆ สองสามคนที่ตายไปต่อหน้าต่อตา ถึงแม้เว่ยหงจวินจะเกลียดพวกวัยรุ่นสองสามคนนี้เข้ากระดูกดำก็ตาม แต่ในใจก็เกิดความรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย
เวลานี้เว่ยหงจวินเพิ่งจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าโฉมหน้าภายนอกของเยี่ยเทียนที่หัวเราะคิกคักในยามปกตินั้น จะน่ากลัวมากเวลาโกรธ แล้วก็จะไม่ปรานีใคร อีกทั้งสายตาเย็นชาที่เผยออกมาจากดวงตาของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ ก็เหมือนกับมองคนสองสามคนนั้นเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ เท่านั้น
ขณะเดียวกันเว่ยหงจวินก็รู้สึกดีใจอยู่ภายในใจ พลางคิดว่าโชคดีที่เยี่ยเทียนขอร้องตัวเองแล้วก็รับปากทันที และรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองคนอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด มิฉะนั้นเขาก็คงไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเยี่ยเทียนแบบนี้
“ฆ่าคน? ใครฆ่าคนเหรอ?”
เยี่ยเทียนมองเว่ยหงจวินเหมือนตัวเองถูกใส่ร้าย แล้วจึงพูดว่า “ลุงเว่ย ไม่ใช่ลุงกับผมฆ่าคนเสียหน่อย อีกอย่างเรื่องนี้ เกี่ยวอะไรกับพวกเรา?”
ความจริงการกระทำของเด็กหนุ่มผมสีเหลืองนั้น ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกตกใจมาก เพราะประสิทธิผลของยันต์นั่น ไกลเกินกว่าที่เยี่ยเทียนคาดคิดเอาไว้
เมื่อครู่เยี่ยเทียนควบคุมช่องว่างระหว่างยันต์ด้วยความเร่งรีบ และความจริงแล้วประสิทธิผลของยันต์นั่นก็ไม่ได้ดีเท่าไร บวกกับเด็กหนุ่มผมสีเหลืองมีความคิดชั่วร้ายในใจ จึงทำให้มีพลังพิฆาตเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่เป็นเพียงการเผยจิตใจด้านมืดของเขาออกมาเท่านั้น
แต่จะว่าไปก็บังเอิญมาก เพราะสองสามวันที่ผ่านมาเด็กหนุ่มผมสีเหลืองคนนี้เพิ่งจะดูภาพยนตร์เรื่องกู๋หว่าไจ๋ มังกรฟัดโลก ทำให้ในหัวของเขาจึงเต็มไปด้วยเรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้
บวกกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงของพวกเขาก็มีความสับสนและวุ่นวายมาก มักจะยุ่งกับบรรดาผู้หญิงที่อยู่ใน สังคมที่วุ่นวายอยู่บ่อยครั้ง ไม่เพียงเท่านี้ เด็กหนุ่มผมสีเหลืองยังเสพยาอีก จึงทำให้สมองที่ไม่ปกติเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเกิดความคิดแปลกๆ ขึ้นมาบ่อยๆ
เมื่อวานเด็กหนุ่มผมสีเหลืองก็ไม่รู้ว่าไปนอนกับผู้หญิงคนไหน ตอนนี้ในหัวจึงมีความสับสนมาก จากนั้นจึงผนวกเข้ากับเค้าโครงเรื่องในภาพยนตร์ทันที แล้วจึงคิดว่าตัวเองกลายเป็นเฉินห้าวหนานที่ไปจีบพี่สะใภ้รอง
และเด็กหนุ่มผมสีเหลืองก็ยังแสดงบทบาทของหนานเกอผู้กล้าหาญในภาพยนตร์ต่อ เขาไล่ฟันคนที่ตาม “ไล่ฆ่า” เขาทั้งหมดสี่คนเพียงคนเดียว จากนั้นเขาจึงเผชิญหน้ากับคนสุดท้ายที่ล้มไปกองบนพื้นและฟันเขาอย่างไม่คิดชีวิต
แต่เยี่ยเทียนสามารถรุกร้ำเข้าไปในพลังหยินพิฆาตที่อยู่ในหัวของเขาได้ไม่มากนัก หลังจากที่ระบายอารมณ์ออกมา สักพักหนึ่ง เด็กหนุ่มผมสีเหลืองก็ล้มลงไปนั่งกับพื้น และสมองก็เริ่มได้สติขึ้นมาจากความเลอะเลือนอย่างช้าๆ
“ใครเป็นคนทำ? แม่งเอ้ยใครเป็นคนทำ?”
เมื่อเห็นพรรคพวกมีเลือดเนื้อที่เละอยู่ข้างกาย ทำให้ในหัวของเด็กหนุ่มผมสีเหลืองที่เพิ่งได้สติพลันระเบิดในทันที มือของเขาถือมีดและกระโดดขึ้นมา เพียงแต่พรรคพวกที่นอนอยู่บนพื้นไม่มีลมหายใจแล้ว จึงไม่สามารถตอบคำถามเขาได้อีก
“ซาจี๋ มือของนายเป็นอะไร?” เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ เด็กหนุ่มผมสีเหลืองจึงพบว่าพี่น้องของเขาสองสามคนถูกฟัน ล้มลงไปกับพื้น จากนั้นเขาจึงถือมีดพร้อมกับวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ชายที่มีหน้าตาอัปลักษณ์คล้ายเฉินเสี่ยวชุน ตอนนี้ได้ตื่นขึ้นมาหลังจากที่หมดสติเพราะโดนตัดมือ เมื่อเห็นเด็กหนุ่ม ผมสีเหลืองวิ่งเข้ามาด้วยความโหดเหี้ยมน่ากลัว เขาจึงเหลือกดวงตาทั้งสองข้างขึ้นมา และสลบกลับไปอีกครั้ง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!”
เมื่อเด็กหนุ่มผมสีเหลืองเห็นพรรคพวกตายสามคนบาดเจ็บหนึ่งคนนอนกองอยู่บนพื้น เดิมทีสมองของเขาที่ไม่ค่อยได้สติเป็นทุนเดิม ก็เริ่มสับสนขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเขาจึงดึงผู้หญิงวัยกลางคนเอาไว้ และเอามีดจ่อไปที่คอของเธอ แล้วพูดคำรามเสียงดัง “บอกฉันมา ใครฆ่าพวกเขา ถ้าไม่พูดฉันจะฟันคอเธอ!”
ผู้หญิงที่น่าสงสารคนนั้นตกใจแทบตาย เวลานี้ยังจะพูดอะไรได้อีก? ขณะที่เด็กหนุ่มผมสีเหลืองกำลังจะ “ฟันคอของเธอ” เหมือนดังคำข่มขู่ จู่ๆ ก็มีเสียงดังคำรามมาอยู่ข้างหูของเขา “หยุดเดี๋ยวนี้ ผมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ!”
และจากเสียงคำราม ก็ตามมาด้วยปากกระบอกปืนสีดำที่จ่อตรงมาที่เด็กหนุ่มผมสีเหลือง โดยคนสี่ห้าคนที่ใส่ชุด ตำรวจของสำนักสันติบาล กำลังล้อมรอบเด็กหนุ่มผมสีเหลืองไว้ตรงกลาง
สถานีตำรวจอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลอันติ้งเหมิน หลังจากได้รับแจ้งความว่ามีคนถือมีดทำร้ายร่างกายและฆ่าคนมากมายมาจากทางโรงพยาบาลแล้ว เจ้าหน้าที่ของสถานีตำรวจจึงออกปฏิบัติหน้าที่ทุกนาย และภายเวลาไม่ถึงห้านาที พวกเขาก็รุดมาถึงสถานที่เกิดเหตุแล้ว
สภาพที่น่าเวทนาของสถานที่เกิดเหตุ ทำให้ตำรวจสองสามนายรู้สึกสั่นสะท้าน เพราะในสี่คนนั้นมีสองคนที่ถูกตัดคอ และดูจากเลือดที่นองเต็มพื้น คาดว่าคงจะเสียชีวิตแล้ว ส่วนอีกคนที่นอนอยู่ไม่ไกลก็มีเลือดเต็มไปทั้งตัว จึงไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
บนพื้นข้างตัวของเด็กหนุ่มผมสีเหลือง ยังมีฝ่ามือที่แตกหักออกจากข้อมืออยู่อีกคน เมื่อมองเห็นฝ่ามือนองไปด้วยเลือด จึงทำให้คนที่เห็นรู้สึกหนาวและสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว
“คุณตำรวจครับ พวก…พวกคุณมาพอดีเลย พี่น้องของผมถูกฆ่าฟันตายแล้ว พวกคุณช่วยจับตัวฆาตกรออกมาทีครับ ผมจะแก้แค้นให้พวกเขา!”
ตอนที่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสำนักงานสันติบาลสองสามคน เบ้าตาของเด็กหนุ่มผมสีเหลืองจึงแดงก่ำและมีน้ำตาคลอเบ้า เขาไม่เคยรู้สึกสนิทและเคารพตำรวจที่เขาเคยเรียกว่า “เถียวจื่อ (หมายถึงฉายาของตำรวจ)” อย่างนี้มาก่อนเลย
“คุณวางมีดลงก่อน!”
หัวหน้าสถานีตำรวจที่นำทีมมาเป็นตำรวจอาวุโสมากประสบการณ์ เขาจึงมองออกว่า สติสัมปชัญญะของเด็กหนุ่มผมสีเหลืองคนนี้เหมือนจะไม่ปกติ และดูจากรูปการณ์ของคดีก็ชัดเจนแล้วว่า เด็กหนุ่มผมสีเหลืองคนนี้ เป็นคนฆ่าและทำร้ายคนที่เหลืออีกสี่คน
แต่เวลานี้เด็กหนุ่มผมสีเหลืองยังคงตกอยู่ในห้วงสัจจะและความมีน้ำใจของเหล่าพี่น้องในภาพยนตร์อยู่เลย ดังนั้นเขาจึงส่ายหน้าพลางพูด “ไม่ได้ พวกคุณต้องช่วยผมหาตัวฆาตกรออกมา ผมจะฟันมันให้ตาย เพื่อแก้แค้นให้เหล่าพี่น้องของผม!”
ญาติของคนไข้ที่มามุงล้อมคนหนึ่งมีความกล้าหาญมาก เมื่อครู่เขามองเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับตาตัวเอง หลัง จากได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มผมเหลืองแล้ว จึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ แล้วจึงพูดเสียงดัง “แก้แค้นอะไร ก็นายเป็นคนฟันพวก เขาตาย ถ้านายอยากแก้แค้นก็ฆ่าตัวเองให้ตายไปซะ!”
“ผม…ผมเป็นคนฆ่าพวกเขา?”
เด็กหนุ่มผมสีเหลืองได้ยินดังนั้นจึงตกตะลึงงัน จากนั้นจึงนึกถึงความฝันที่เลือนลางเมื่อครู่ขึ้นมา และรู้สึกว่าเมื่อครู่นี้ เหมือนตัวเองกำลังฆ่าฟันคนจริงๆ? แต่คนเหล่านั้นกำลังไล่ฆ่าตัวเองอยู่นะ
“ใช่ ต้องเป็นคนนั้นที่ฆ่าพี่น้องของเขาแน่นอน!”
คนอย่างเด็กหนุ่มผมสีเหลือง มักจะเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางเสมอ ไม่ช้าเขาจึงหาเป้าหมายเจอ แล้วจึงปล่อยผู้หญิงคนนั้นที่เขาจี้ตัวมา จากนั้นเขาจึงวาดมีดและพุ่งตัวเข้าไปหาผู้ชายที่เพิ่งพูดเมื่อครู่
“ปัง!ปัง!” ตอนที่เห็นเด็กหนุ่มผมสีเหลืองกำลังชูมีดที่อยู่ในมือ เสียงปืนที่ชัดและกังวานได้ดังขึ้นสองที
“เคร้ง!” มีดที่ชูสูงขึ้นอยู่ในมือของเด็กหนุ่มผมสีเหลืองได้ตกลงไปบนพื้น ตามด้วยร่างกายของเขาที่พุ่งไปข้างหน้า และแหงนหน้าล้มลงไป
จนกระทั่งถึงวินาทีแห่งความตาย เด็กหนุ่มผมสีเหลืองจึงมีสติที่ชัดเจนกลับมา จากนั้นดวงตาทั้งสองข้างจึงเบิกกว้าง อย่างนอนตายตาไม่หลับ และเต็มไปด้วยความสงสัยกับความอาลัยอาวรณ์ต่อโลกใบนี้
“เสี่ยวหวัง นายพาเสี่ยวหลีไปหาพยานมาให้ปากคำ เหล่าอู๋ นายเฝ้าที่เกิดเหตุเอาไว้ให้ดี อย่าให้ใครเข้ามาทำลายได้ หมอ หมอล่ะ รีบมาช่วยชีวิตคนที่เหลืออีกสองสามคน ดูสิว่ายังมีใครที่ยังช่วยชีวิตได้?!”
หลังจากหัวหน้าสถานีตำรวจเห็นโจรร้ายถูกยิงตายแล้ว เขาจึงรีบสั่งงานเสียงดังขึ้นมา
โดยทั่วไปแล้ว เวลาที่ต้องต่อสู้กับโจรที่โหดเหี้ยมอำมหิตแบบนี้ จะต้องเป็นหน้าที่ของตำรวจอาชญากรรมกับตำรวจพิเศษ และหัวหน้าสถานีคนนี้ก็ไม่รู้ว่าการยิงสังหารโจรในวันนี้ ถือว่าเป็นผลงานหรือความบกพร่องต่อหน้าที่กันแน่?
และโรงพยาบาลก็ไม่ได้ขาดหมออยู่แล้ว ภายใต้การสั่งการของหัวหน้าสถานีตำรวจ นอกจากเด็กหนุ่มผมสีเหลืองที่ถูกยิงตายตรงช่องว่างระหว่างคิ้วกับหัวใจแล้ว คนอื่นอีกสามคนต่างก็ถูกนำส่งตัวไปที่ห้องฉุกเฉินแล้ว
เมื่อเห็นคนที่ข้อมือหักไม่ตาย เยี่ยเทียนจึงขมวดคิ้ว แล้วพูด “ลุงเว่ย เรื่องนี้เกรงว่าจะต้องสืบมาถึงตัวลุงแน่ ถึงตอนนั้นลุงแค่พูดไปตามความจริงก็พอ!”
เยี่ยเทียนรู้ว่า ตำรวจจะต้องซักถามจุดประสงค์ของคนสองสามคนที่มาโรงพยาบาลอยู่แล้ว และเมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะต้องมาสอบปากคำของลุงเว่ยแน่นอน
“อะไรนะ? พูดตามความจริง?”
เว่ยหงจวินที่กำลังเหม่อมองลงไปข้างล่างพอดี และต้องตกสะดุ้งใจเพราะคำพูดของเยี่ยเทียน แล้วจึงรีบพูดทันที “เยี่ย เทียน ลุง…ลุงพูดไม่ได้ อีกอย่าง ถ้าลุงพูดไปแล้วก็ไม่มีใครเชื่อไม่ใช่เหรอ?”
“ลุงเว่ย ลุงอย่าตื่นเต้นได้ไหมครับ? ผมให้ลุงพูดตามความจริง คือพูดถึงเจตนาที่มาของสองสามคนนี้ และพวกเขาก็ฆ่ากันเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา?”
เยี่ยเทียนได้ยินคำพูดของเว่ยหงจวินแล้วจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่ออก เพราะปกติลุงเว่ยเป็นคนใจกล้าคนหนึ่ง แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้กลัวจนกลายเป็นอย่างนี้ไปได้?
แต่เยี่ยเทียนก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นคดีฆาตกรรมกับตาตัวเอง โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับผู้ก่อคดีฆาตกรรมคนนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงรู้สึกระแวงไม่กล้าพูดเช่นกัน
“นายพูดถูกอยู่เหมือนกัน…”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เว่ยหงจวินก็เริ่มมีพลังกลับมา ไอ้หนุ่มผมสีเหลืองที่ถือมีดคนนั้น อย่างน้อยก็ต้องมีถึงสิบกว่าคนที่ได้เห็นกับตาตัวเอง และมันจะเกี่ยวอะไรกับพวกเขาล่ะ?
อีกทั้งเด็กหนุ่มผมสีเหลืองก็ตายแล้ว ถึงแม้จะมีความแปลกประหลาด แต่ตำรวจพวกนั้นก็คงไม่สาวมาถึงตัวของพวกเขาแน่นอน อย่างมากพวกเขาก็แค่มาสอบถามเพื่อเป็นพิธีเท่านั้น
“เยี่ยเทียน พวกนายกลับไปก่อน เผื่อตำรวจมาเห็นพวกนาย…”
“ลุงเว่ย พวกเรามาเยี่ยมลุงแล้วจะทำไม? พวกตำรวจก็ต้องมีเหตุผลสิ พวกเราไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังอำพราง ผมจะอยู่ที่นี่แหละ!”
เว่ยหงจวินยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเยี่ยเทียนตัดบท และถ้าจะพูดถึงความสามารถในการคาดเดาจิตใจคน เว่ยหงจวินยังห่างจากเยี่ยเทียนมากนัก เมื่อคุณยิ่งหลบ ก็ยิ่งเป็นสาเหตุให้คนสงสัย
…………