ก่อนเยี่ยเทียนจะย้ายบ้านได้บอกเอาไว้ ให้พนักงานขนย้ายกับผู้พักอาศัยตกลงกันเอาเอง ดังนั้นคนพวกนี้ต่างไม่ได้เกรงใจเยี่ยเทียนเลย จัดการแบ่งข้าวของกันเองตามสะดวก ทำให้ลานบ้านคึกคักราวกับตลาดสด
“รีบขนเถอะ เดี๋ยวพวกนายจะเสียใจภายหลัง…”
เยี่ยเทียนมองดูความวุ่นวายตรงหน้า แอบยิ้มเย็นออกมา ความเห็นแก่ได้เป็นธรรมชาติของกิเลสมนุษย์ ตั้งแต่สมัยโบราณมาไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถเอาเปรียบหมอดูฮวงจุ้ยอย่างเยี่ยเทียนได้
พวกผู้พักอาศัยไม่ใช่คนชั่วร้ายอะไร พวกเขาส่วนใหญ่เป็นปุถุชนคนธรรมดา แต่เยี่ยเทียนไม่ได้เป็นคนดีมีเมตตาสักเท่าไหร่ เขาสามารถจ่ายเงินซื้อบ้านวิลล่าด้วยเงินสดก้อนใหญ่ แน่นอนว่าไม่ต้องการเลี้ยงคนพวกนี้ไว้เปล่าๆหรอก
เยี่ยเทียนเดินรอบเรือนหลังรอบหนึ่ง ในใจคิดถึงเรื่องบางอย่างกราดตามองทั้งสี่ด้านอย่างละเอียด จางม่อกับภรรยาไม่ได้เข้ามาแย่งข้าวของเหมือนกับคนอื่น เยี่ยเทียนเดินไปข้างจางม่อยิ้มให้แล้วพูดว่า “กระถางต้นไม้พวกนี้เกะกะจริง พี่จาง ขอแรงหน่อยได้ไหม ขนกระถางพวกนี้ไปไว้ที่สวนดอกไม้ตรงนั้นที….”
“ได้สิ เจ้าเหล่าหวังน่ะวันๆว่างจะตาย เขาเลยชอบปลูกต้นไม้พวกนี้ เจ้าอู๋เหล่าเอ้อ อย่าเอาแต่จะหยิบของ มาช่วยพี่เยี่ยขนย้ายของหน่อยเร็ว…”
จางม่อไม่ได้ปฏิเสธ พอได้ยินคำขอของเยี่ยเทียนก็พงกหัวรับคำ ยังเรียกตาอู๋เหล่าเอ้อมาช่วยอีกแรง
เหล่าหวังเป็นคนชอบปลูกต้นไม้ นอกจากต้นไม้ดอกไม้ที่ปลูกอยู่เต็มลาน หน้าประตูห้องทุกห้องของเขายังมีกระถางดอกไม้เล็กใหญ่อีกหลายใบ รวมกันคงไม่ต่ำกว่าร้อยกระถาง
ทั้งจางม่อและอู๋เหล่าเอ้อหยิบของในบ้านเยี่ยเทียนไปเยอะแล้ว พอมาช่วยทำงานจึงใช้แรงงานเป็นการแลกเปลี่ยน กระถางต้นไม้ทุกใบถูกย้ายไปวางเรียงกันในสวนดอกไม้ แต่พวกเขากลับไม่ได้สังเกตว่ากระถางที่พวกเขาย้ายไปแล้วถูกเยี่ยเทียนเปลี่ยนตำแหน่งโดยไม่รู้ตัว
ทำงานกันจนถึงสี่ทุ่มกว่า ข้าวของที่เคยอยู่ในเรือนด้านหลังถูกย้ายออกไปหมด แม้แต่ราวเหล็กที่ใช้แขวนเสื้อผ้ายังถูกคนตัดไปเลย บรรยากาศวุ่นวายของคนจำนวนมากเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าในตอนนี้
กระถางต้นไม้ทั้งหมดถูกพวกเยี่ยเทียนขนไปที่ลานบ้านทั้งหมด ด้วยปริมาณที่มากมายเยี่ยเทียนจึงนำมาจัดเรียงกันตรงขอบกำแพงเป็นแนวยาว
พนักงานขนย้ายพากันล้างมือแล้วเดินมาหาเยี่ยเทียน “เถ้าแก่เยี่ย งานเสร็จแล้ว พวกผมขอตัวก่อน…”
“เงินหนึ่งร้อยนี่ พวกคุณเอาไปซื้อบุหรี่มาแบ่งกันสูบนะ….” เยี่ยเทียนล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อหยิบแบงค์ร้อยมายื่นให้
หัวหน้าคนงานเห็นเยี่ยเทียนควักเงินออกมาก็รีบปฏิเสธ “ไม่…ไม่ได้ครับ เถ้าแก่เยี่ย ของพวกนี้พวกผมก็ได้กลับไปเยอะแล้ว เงินนั้นไม่ต้องก็ได้!”
เห็นแบบนี้พวกผู้อาศัยต่างมองกันเป็นตาเดียวด้วยความอิจฉา พวกเขามองเยี่ยเทียนด้วยสายตาสบประมาทอีกครั้ง “ให้ของเขาไปตั้งมากแล้วยังจะให้เงินอีก? นี่เรียกว่าคนจนที่ไหน? เป็นคนรวยแท้ๆต่างหาก!”
“รบกวนพวกคุณจนดึกดื่นขนาดนี้ ยังไงเงินนี่พวกคุณต้องรับไว้…”
เยี่ยเทียนยัดเงินหนึ่งร้อยหยวนลงในมือของชายคนนั้น พูดต่อว่า “อีกไม่กี่วันผมจะปรับปรุงซ่อมแซมที่นี่ ซุ้มประตูอันนี้เกะกะ พวกคุณช่วยหน่อย ช่วยผมดันมันล้มไปที ต่อไปผมจะได้ไม่ต้องลำบากตอนเปิดประตูด้านหลัง
เรือนสี่ประสานมีประตูหลังอยู่บานหนึ่งแต่ถูกเหล่าหวังปิดตายไปเสียสนิท เบื้องหลังซุ้มประตูมีทางเดินอยู่ก็ถูกปิดตายไปเช่นกัน หากเยี่ยเทียนจะสร้างที่นี่เป็นโรงแรม แน่นอนว่าต้องเปิดประตูบานนี้ออกไปใหม่
พนักงานขนย้ายเดินเข้าไปใกล้ซุ้มประตูกะเกณฑ์ดูครู่หนึ่งตอบกลับว่า “ประตูกับผนังมันเชื่อมเข้าด้วยกัน จะให้ดันล้มคงจะกินแรงมาก ใช้เชือกผูกไว้แล้วใช้แรงคนดึงเอาน่าจะง่ายกว่า…”
เชือกมีเตรียมมาพร้อม พนักงานขนย้ายคนนั้นไปหาเอาค้อนเหล็กมาทุบเข้าที่ฐานประตูอยู่หลายที แยกซุ้มประตูออกจากอิฐบนผนัง แต่เดิมซุ้มประตูที่ดูแข็งแรงมั่นคงก็เริ่มโยกคลอนห้อยตกลงมา
ช่วยกันออกแรงดึงเพียงไม่กี่ที “โครม!” เสียงซุ้มประตูล้มลงมาพ่วงมาด้วยผนังอิฐกำแพงด้านข้าง เศษฝุ่นกระจายไปทั่ว ทำเอาคนที่อยู่รอบข้างอย่างจางม่อหน้าตามอมแมม
“เหอะๆ เรียบร้อยแล้ว พี่จาง วันนี้ต้องขอบคุณมาก เอาไว้โรงแรมเปิดแล้วผมจะเชิญทุกคนมาร่วมดื่มด้วยกัน…”
เยี่ยเทียนเห็นกำแพงและซุ้มประตูที่บังทางลมอยู่ล้มลงในที่สุดแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ เรือนสี่ประสานหลังนี้เป็นสถานที่ที่พลังอินหยางหลอมรวม แค่ปรับแต่งเล็กน้อยก็เกิดผลสัมฤทธิ์แล้ว
“ถ้างั้นขอบคุณน้องเยี่ยมาก นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเราขอตัวกลับก่อน เนื้อตัวมอมแมมไปหมดแล้ว….”
ตอนที่ดันผนังล้ม ทุกคนต่างออกแรงจนขี้ฝุ่นดินทรายเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด ไหนจะตอนขนของอีก ไม่มีใครอยากจะอยู่ต่อนานกว่านี้ ต่างพากันกลับบ้านกันหมด
“โอ๊ย ทำไมอยู่ๆก็หนาวขึ้นมา?”
จางม่อเดินตามหลังเยี่ยเทียนออกมาแล้ว อยู่ๆก็ตัวสั่นด้วยความหนาว รู้สึกเหมือนมีลมเย็นยะเยือกพัดผ่านผิวต้นคอ จึงหันขวับกลับไปดู แต่ก็ไม่พบอะไร
ช่วงนี้เป็นช่วงเดือนเก้า ฤดูใบไม้ร่วงที่พยัคฆ์กำลังพิโรธ อากาศในตอนกลางคืนอุณหภูมิประมาณ24-25องศา อยู่ๆมีลมเย็นพัดผ่าน ทำให้จางม่อรีบเร่งฝีเท้าเดินนำหน้าเยี่ยเทียนไป
“เสี่ยวเยี่ย ค่อยๆเดินนะ วันไหนค่อยมากินข้าวบ้านฉัน!”
“น้องเยี่ย ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยนะ….”
“นั่นสิ เสี่ยวเยี่ย ไม่ต้องเกรงใจ เราเป็นเพื่อนบ้านกัน ถ้ามีอะไรช่วยได้ลุงก็จะช่วยเต็มที่…”
คนมักมากเอาแต่ได้ทั้งหมดยืนอยู่หน้าประตูเรือนสี่ประสานส่งเยี่ยเทียนกลับบ้าน ส่วนในใจพวกเขาตัดสินว่าเยี่ยเทียนเป็นคนอย่างไรนั้นก็ไม่รู้แล้ว เอาเป็นว่าคงจะไม่ค่อยดีนัก
“ขอบคุณคุณลุงคุณป้าครับ วันหลังผมค่อยมารบกวนใหม่…”
เยี่ยเทียนเอ่ยอย่างเกรงใจ แล้วหมุนตัวกลับเดินห่างออกมาจากเรือนสี่ประสานที่เป็นของเขาอย่างชอบธรรมในทางกฎหมาย
“หวังว่าพวกคุณคงจะไม่ใจเสาะเท่าไหร่นะ…”เยี่ยเทียนหันหลังกลับ รอยยิ้มเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นยิ้มเย็นแฝงความนัย
ตอนแรกเยี่ยเทียนยังลังเลว่าจะล้มซุ้มประตูนั้นดีหรือไม่ แต่คนโลภเหล่านั้นทำให้เยี่ยเทียนตัดสินใจได้ว่าจะเปลี่ยนฮวงจุ้ยทำเลทองที่มีพลังอินหยางสมบูรณ์แห่งนี้ให้กลายเป็นค่ายกลพิฆาตเก้าอิน
คำโบราณว่าไว้ พลังหยางโดดเดี่ยวไม่อาจก่อกำเนิด พลังอินอย่างเดียวไม่พอจะเติบใหญ่ จะต้องมีทั้งพลังของอินและหยางร่วมกัน สรรรพสิ่งจึงจะก่อกำเนิดและเติบโต เรือนสี่ประสานของตาแก่หวังหลังนี้ เคยได้รับการชี้แนะจากนักปราชญ์ผู้มีความรู้ถึงได้ทำการปิดตายซุ้มประตูนั้นเสีย เพื่อเป็นการปิดกั้นตำแหน่ง “ประตูผี” ของทิศตะวันออกเฉียงเหนือหรือทิศเกิ้น
ตอนนี้เยี่ยเทียนทำการล้มซุ้มประตูลง ก็เพื่อเปิด “ประตูผี” ออกอีกครั้ง
“ประตูผี” ความจริงแล้วเป็นประตูที่ช่วยปิดกั้นพลังอินพิฆาตจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พอ “ประตูผี” ล้มลง พลังอินหยางในเรือนสี่ประสานจะเสียสมดุลทันที เมื่อครู่ที่จางม่อรู้สึกขนลุกที่ท้ายทอยเกิดจากถูกพลังพิฆาตพุ่งเข้าใส่นั่นเอง
การจัดวางกระถางต้นไม้นับร้อยนั้นก็มีที่มาที่ไปเช่นกัน ดูภายนอกเหมือนวางเปะปะอย่างไม่ตั้งใจ แต่ความจริงแล้วเป็นค่ายกลชั้นสูงชนิดหนึ่ง สามารถดูดซับพลังหยางทั้งหมดในเรือนด้านหน้าทั้งสองเรือนให้หมดไป เพื่อให้พลังอินพิฆาตจาก “ประตูผี” เข้าไปสะสมแทน
ตำแหน่งของบ้านเป็นตำแหน่งที่รับพลังอินหยางจากพระราชวังต้องห้าม พลังอินพิฆาตจำนวนมหาศาลถ่ายเทเข้ามาในบ้านภายในระยะเวลาสั้นๆ เยี่ยเทียนไม่ต้องคิดเลยว่าต่อไปจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
“พ่อเอ็ง แกว่าคนแซ่เยี่ยนั่นดูจะฉลาดน้อยไปหน่อยไหม? ยกข้าวของให้คนอื่นหมด แล้วยังแถมเงินให้เขาอีก?”
รอบเรือนที่เคยอึกทึกตอนนี้ความเงียบสงบเข้าปกคลุม แต่เมื่อเรื่องนี้จบลงแล้วไม่มีใครนอนหลับเลย แต่ละครอบครัวกำลังคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่
จางม่อพอกลับมาจากเรือนด้านหลังแล้ว ก็รู้สึกไม่ปกติ พอได้ยินสิ่งที่ภรรยาพูดด้วยก็ตอบกลับอย่างหงุดหงิดว่า “เธอไปยุ่งอะไรกับเขาล่ะ ฉันว่าเจ้าเด็กนั่นมันเหมือนพวกทายาทรุ่นสองที่ไม่เคยลำบากมาก่อน เอาไว้ให้หัวขาดก่อนแล้วถึงจะรู้สึก…”
“อืม ฉันก็ว่าอย่างนั้น แต่เปิดโรงแรมนี่ทำเงินได้มากเชียว พวกเราทำไมคิดไม่ถึงล่ะจางม่อกับภรรยาทำธุรกิจมาสิบกว่าปีกลับคิดไม่ถึงจุดนี้
“คิดแล้วไม่น่าจะมีเงินขนาดนั้น บ้านหลังนี้จะซื้อได้ต้องราคาอย่างน้อยเจ็ดแปดแสน ไหนจะต้องตกแต่งซ่อมแซมอีก ไม่มีเงินสักล้านห้าล้านหกคงเอาไม่อยู่หรอก พวกเรามีเงินมากขนาดนั้นที่ไหน? เธอเอาแต่พูดนั่นพูดนี่อยู่ได้!”
จางม่อรู้สึกถึงความกระวนกระวายใจที่บอกไม่ถูก หลังจากอบรมภรรยาแล้วเอ่ยต่อว่า “อย่ามัวแต่คิดถึงเรื่องคนอื่นเลยนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปเก็บค่าเช่าบ้านอีก…”
“เห้ย ผี ผีหลอก!”
ตอนที่ไฟในห้องจางม่อดับลง ในบ้านจู่ๆก็มีเสียงร้องสยดสยองดังขึ้น คล้ายกับเสียงฉีกขาดของบางสิ่ง ความน่ากลัวของเสียงนั้นทำให้ผู้ที่ได้ยินเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?!” จางม่อกระชากเปิดไฟที่หัวเตียง แม้แต่เสื้อยังไม่ได้ใส่ให้ดี คว้าไม้กระบองอันหนึ่งเดินดุ่มออกไป
“พี่เหยียน เป็นอะไรเหรอ? ผีอยู่ไหน?”
ไฟในห้องแต่ละห้องถูกเปิดสว่างอีกครั้ง ทุกคนในเรือนสี่ประสานคว้าเสื้อผ้ามาคลุมตัวพากันเดินออกมาดู จางม่อเดินมาถึงก่อนเข้ากับคนๆหนึ่งซึ่งใบหน้าซีดเผือดยืนอยู่กลางเรือน
พี่เหยียนพอเห็นไฟจากรอบๆบ้านถูกเปิดขึ้นแล้วพอจะใจชื้นขึ้นหน่อย เธอชี้นิ้วไปที่เรือนด้านหลัง พูดด้วยเสียงอันสั่นเทาว่า “ผี มีผี ผีผู้หญิงใส่ชุดโบราณกลุ่มหนึ่ง!”
“ว่าอะไรนะ? ที่นี่จะมีผีได้ยังไง?”
จางม่อพูดกับพี่เหยียนอย่างไม่อยากเชื่อ ทุกทีผู้หญิงคนนี้ออกจะดุดัน ไม่คิดว่าจะเป็นคนใจเสาะขนาดนี้ อาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งหลายสิบปีแล้ว เคยมีเรื่องผีที่ไหนกัน?
“พี่เหยียน พี่ช่วยเรียกผีพวกนั้นออกมาให้ผมดูหน่อย? นั่น….นั่นมันอะไร?”
จางม่อกำลังพูดพลางเดินไปข้างหน้า พอถึงประตูเรือนหลัง เงยหน้าขึ้นมอง สิ่งที่เขาเห็นทำให้ร่างของเขาตัวแข็งค้าง ขนหัวลุกไปทั้งหัว
ด้วยแสงสว่างจากเรือนกลางทำให้จางม่อมองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีผีสาวสามตนสวมชุดชาววังโบราณ เดินผ่านหน้าประตูเรือนหลังไป
ผีสาวนางสุดท้ายที่เดินผ่านได้หันมามองสบตากับจางม่อ ใบหน้าขาวซีดไม่มีสีกับริมฝีปากแดงฉานดุจโลหิต จางม่อผงะถอยหลังไปหลายก้าวแล้วทรุดก้นลงนั่งกับพื้น
“แม่….แม่จ๋า มีผี….มีผีจริงๆด้วย?”
คนอื่นที่รายล้อมอยู่เห็นท่าทางจางม่อพูดติดๆขัดๆ ได้กลิ่นเหม็นโชยออกมาจากตัวเขา เขาตกใจจนทั้งอุจจารระและปัสสาวะราดออกมาหมด