“ฉันลงมือกับคนธรรมดา?”
เมื่อชิวเหวินตงได้ยิน “ฉันแซ่ชิวดังนั้นฉันก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ แต่ว่ายังพอเข้าใจกฏของยุทธภพ ใช้ชีวิตมาสี่สิบกว่าปี ฉันไม่เคยไปรังแกพวกคนธรรมดา”
ชิวอันเต๋อคือผู้อาวุโส ที่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงมากมาโดยตลอด จุดมุ่งหมายที่ฝึกฝนก็เพื่อที่จะขจัดคนเลว ปกป้องคนดี เขาอบรมสั่งสอนคนรุ่นหลังเช่นนี้ตลอด
แต่ว่าตอนฝึกวิชามวยของชิวเหวินตงตั้งแต่เด็กก็ถูกพ่อใช้กระบองตี จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้จดจำให้ขึ้นใจ ในตอนที่มาอยู่ในเมืองปักกิ่ง ส่วนมากก็จะมีเรื่องชกต่อยกับพวกอันธพาล
ถึงแม้เขาจะติดคุกถึงสองครั้ง ธุรกิจของเขาก็ประสบความสำเร็จก็เพราะว่า หนึ่งคือเมื่อก่อนเขามีชื่อเสียงอย่างมาก ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งวุ่นวายกับธุรกิจของเขา สองคือหลังจากที่เขาไม่มีสายสัมพันธ์กับพวกอันพาลแล้ว ชื่อเสียงของเขาก็ดีขึ้นมาก
ดังนั้นเมื่อได้ยินที่เยี่ยเทียนพูดว่าเขารังแกคนธรรมดา ชิวเหวินตงก็โกรธโมโหขึ้นมาทันที
เมื่อได้เห็นชิวเหวินตงไม่ยอมรับ เยี่ยเทียนหัวเราะเยาะ พูดว่า “ท่านไม่ยอมรับก็จบ พวกเราจะทำตามกฎของยุทธภพ มาปะลองวิชากังฟูกันให้รู้ผลแพ้ชนะ ผมก็จะตัดสินเองว่าท่านถูกหรือผิด”
จริงๆ แล้วเยี่ยเทียนเป็นคนที่มีคิ้วหนาดกดำ ดวงตาที่สดใส แบ่งขาวดำชัดเจน น่าจะไม่ใช่ประเภทของคนต่ำทราม ที่ชอบก่อเรื่อง เพียงแต่ว่ามาถึงหน้าประตูแล้ว จะถูกหรือผิดหลังจากการปะลองแล้วค่อยว่ากันเถอะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยี่ยเทียนเชื่อมั่นว่า เจ้าคนนั้นที่ชื่อว่า เฟ่ยเฮอเหว่ยกับชิวเหวินตง ต้องมีความสัมพันธ์อะไร บางอย่างแน่นอน จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เขาก็อาจจะไม่ใช่ฝ่ายผิด
“ดี ถ้าอย่างนั้นฉันขอคำแนะนำกับผู้มีความสามารถทั้งสองท่าน”
พูดมาถึงตอนนี้แล้ว ชิวเหวินตงจะไม่ลงมือก็ไม่ได้แล้ว ถอดเสื้อคลุมออก แต่งตัวใส่เสื้อแขนสั้น
เยี่ยเทียนจ้องมองไปที่ชิวเหวินตง พูดกับโจวเซี่ยวเทียนว่า “เซี่ยวเทียน นายขึ้นไปสิ จำไว้ สังเกตการเปลี่ยนแปลง อย่าให้จังหวะเท้าของเขาทำให้ตัวเองสับสน”
หลังจากที่ชิวเหวินตงเดินเข้าไปในเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนก็ดูออกเลยว่า วิชากังฟูของเขานิ่งสงบมากกว่าอู่เฉิน เมื่อครู่โจวเซี่ยวเทียนอยากใช้จังหวะ โจมตีชิวเหวินตงจนพ่ายแพ้ แต่กลับไม่ง่ายเลย
“อาจารย์ ผมรู้แล้ว” เมื่อรู้จังหวะที่จะเอาชนะอู่เฉินได้แล้ว ทำให้โจวเสี่ยวเทียนมั่นใจขึ้นมา เดินไปที่กลางสนาม
“เชิญ” ทั้งสองฝั่งต่างคำนับกัน
ชิวเหวินตงที่อายุเยอะ โดยปกติจะไม่ยอมโจมตีก่อน มองโจวเซี่ยวเทียนแล้วกวักมือเรียก พูดว่า “พ่อหนุ่ม มาสิ””
“ดี” โจวเซี่ยวเทียนตั้งท่ามวยแปดสุดยอด เท้าซ้ายตั้งอยู่กับพื้น อย่างรุนแรงและรวดเร็ว แขนทั้งสองซ้ายขวาโจมตี เข้าไปที่หัวของชิวเหวินตง
พอเห็นโจวเซี่ยวเทียนใช้ท่าทางที่รุนแรงและรวดเร็ว ชิวเหวินตงก็ไม่กล้าเข้าไป ใช้จังหวะในการเดินแปดทิศ ความเร็วดั่งสายฟ้าแลบพุ่งเข้าโจมตีกลับไปที่โจวเซี่ยวเทียน
เพียงแค่เริ่มมวยแปดสุดยอด ในกระบวนท่าแรก ความแข็งแกร่งและความหนุ่มของโจวเซี่ยวเทียน แขนทั้งสองค่อยๆ กางออก ในเวลานั้นชิวเหวินตงก็เริ่มทรงตัวไม่อยู่ ทันใดนั้นมือของเขาเริ่มไม่มีแรงแล้ว
“แย่แล้ว นี่คือลูกศิษย์ใคร เหล่าชิวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” เฝิงเหิงหยู่ที่ยืนดูการต่อสู้มวยแปดสุดยอดอยู่ข้างๆ ภายในใจรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
พอได้เห็นโจวเซี่ยวเทียน พุ่งเข้าไป โจมตีที่บ่า บิดแขน เข้าประชิด พยายามใช้ช่องว่างและเวลา ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ในระยะเวลาสั้นๆ ของกังฟูชุดนี้แสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ ก็เข้าถึงแก่นแท้ของมวยแปดสุดยอด เฝิงเหิงหยู่ก็รู้เลยว่าชิวเหวินตงเริ่มจะไม่ไหวแล้ว
“หยุด”
เมื่อเห็นชิวเหวินตงต้านไว้ไม่อยู่ เฝิงเหิงหยู่สาวเท้าพุ่งปราดไปข้างหน้าอย่างเร็วเข้าไปในสนามประลอง ศอกปะทะศอก ทันใดนั้นโจวเซี่ยวเทียนก็โจมตีไปที่ซี่โครงของชิวเหวินตงจนแตกหัก
“แกเป็นใครทำไมใช้วิชามวยแปดสุดยอด”
กับเฝิงเหิงหยู่ที่กำลังตกใจ โจวเซี่ยวเทียนรู้สึกชาที่แขนขวาของเขา ในตอนนั้นรู้สึกตื่นตระหนก ข้อศอกของเขาสามารถทำให้แขนหักได้ สู้กับคนนี้ มีแต่เสียเปรียบ
“ฉันชื่อเฝิงเหิงหยู่ อาจารย์ของแกคือใคร”
เฝิงเหิงหยู่หลังจากที่เขาเข้าไปห้ามการต่อสู้ของโจวเซี่ยวเทียนไม่ให้ไปต่อ มวยแปดสุดยอดของโจวเซี่ยวเทียน จากที่เขาดูมา ก็สามารถคาดเดาได้ว่าต้องเป็นลูกศิษย์ของมวยแปดสุดยอดที่ถูกถ่ายทอดจากอาจารย์โดยตรง
เฝิงเหิงหยู่ไม่รู้จัก โจวเซี่ยวเทียนส่ายหัว ชี้ไปที่เยี่ยเทียนพูดว่า “ฉันชื่อโจวเซี่ยวเทียน เขาก็คืออาจารย์ของฉัน”
โจวเซี่ยวเทียนตั้งแต่สี่ขวบก็ได้ฝึกวิชามวยกับพ่อ หลังจากนั้นสิบกว่าปีก็ฝึกฝนด้วยตัวเอง ไม่เคยประลองยุทธกับใคร จึงไม่ได้ยินชื่อเสียงของเฝิงเหิงหยู่
“เขา เขาคืออาจารย์ของแกเหรอ”
เฝิงเหิงหยู่มองไปที่เยี่ยเทียน สีหน้าที่ดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เจ้าหนุ่มท่าทางอ่อนแอที่ยืนอยู่ตรงนั้น ลักษณะตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ดูไม่เหมือนคนที่ฝึกวิชามวยเลยสักนิด อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ของโจวเซี่ยวเทียน
อีกทั้งดูจากภายนอกแล้ว เยี่ยเทียนยังดูตัวเล็กกว่าโจวเซี่ยวเทียนเสียอีก เฝิงเหิงหยู่รู้สึกสับสนและไม่เข้าใจ ถามกับเยี่ยเทียนว่า “แกเป็นผู้ถ่ายทอดวิชามวยแปดสุดยอดเหรอ แปลกมากที่ไม่เคยได้ยินชื่อของฉัน”
เฝิงเหิงหยู่เป็นลูกศิษย์คนโปรดของหลี่ซูเหวิน เมื่อหกปีที่แล้วที่อาจารย์ของเขาได้เสียชีวิต เฝิงเหิงหยู่ ก็กลายเป็นปรมาจารย์มวยแปดสุดยอด ไม่ว่าจะเป็นคนในประเทศหรือต่างประเทศที่ต้องการฝึกฝนมวยแปดสุดยอด โดยทั่วไปต่างก็ต้องเคยได้ยินชื่อและสมญานามของเขา
“ขอโทษ ผมเคยได้ยินชื่อของท่าน” เยี่ยเทียนพยักหน้า เขาจำคนนี้ได้แล้ว
นั้นคือเรื่องของเมื่อแปดปีที่แล้ว ในตอนนั้น คนนี้ก็คือคนที่ยืนเทน้ำชาอยู่ข้างๆ ที่นั่งแทบจะไม่มีให้นั่ง ตั้งแต่แรกเริ่มเยี่ยเทียนก็รู้สึกแค่ว่าคุ้นๆ แต่ก็นึกไม่ออกมาว่าเคยเจอเขาที่ไหน
แน่นอนว่า เยี่ยเทียนไม่เคยพูดโกหกจริงๆ เพราะว่าตอนนั้นเขาแทบจะไม่รู้จักชื่อของเฝิงเหิงหยู่ ตอนไปกับนักบวชเต๋าเพื่อไปเยี่ยมเยี่ยนอาจารย์ของเขา เฝิงเหิงหยู่ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแทรกขึ้นมา
ไม่เคยได้ยินชื่อของฉัน? หรือว่าเธอคือลูกหลานของ หม่าอิงถู ฮั่นฮว่าเฉิน จางหยูเหิง ผู้อาวุโสทั้งหลายนี้ที่เฝิงเหิงหยู่พูดชื่อออกมา ทั้งหมดคือผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงเท่ากับหลี่ซูเหวิน
“พูดมากอยู่ได้ มวยแปดสุดยอดของฉันสืบทอดมาจากคนในตระกูล ให้ฉันได้สั่งสอนคนรุ่นใหม่เถอะ”
เยี่ยเทียนยังไม่ได้ตอบกลับ โจวเซี่ยวเทียนก็ทนไม่ไหว เขาฝึกฝนวิชามวยแปดสุดยอดจากในตระกูลมาโดยตลอด ไม่เคยเจอกับขั้นสุดยอดของมวยแปดสุดยอด เมื่อกี้ที่ปะลองกับเฝิงเหิงหยู่ ภายในใจก็เกิดรู้สึกร้อนผิดปกติขึ้นมา
เยี่ยเทียนโบกมือไปมา “เซี่ยวเทียน” ทันใดนั้นก็ดึงโจวเซี่ยวเทียนออกมา พูดว่า “นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ให้ฉันดีกว่า”
มวยแปดสุดยอดของโจวเซี่ยวเทียนจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มาจากสำนักดั้งเดิม เพียงแค่มาจากแก่นสารของ มวยแปดสุดยอดภายในตระกูลที่ถูกถ่ายทอดกันต่อๆ มา จึงมีลักษณะคล้ายคลึงกัน
แต่ว่าเฝิงเหิงหยู่ได้บำเพ็ญฌาณประสานกับการฝึกพลังลมปราณเข้ากับมวยแปดสุดยอด นี้อาจเป็นพื้นฐานเทคนิคที่สำคัญที่สุดของมวยแปดสุดยอด เฝิงเหิงหยู่รู้วิธีในการต่อสู้ทั้งภายนอกและภายใน ศอกเมื่อครู่นั้นเป็นการต่อสู้จากภายใน เมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ โจวเซี่ยวเทียนเลยรู้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้
“อาจารย์? แกมีวิชากังฟูจริงๆ หรอ”
มองไปที่เยี่ยเทียน เฝิงเหิงหยู่ยิ้มไม่ค่อยออก เจ้าหนุ่มคนนี้ได้แสดงออกถึงวิธีการของยุทธภพ ดูจากลักษณะแล้ว ไม่เหมือนกับคนที่มีวิชากังฟูเลยแม้แต่น้อย
“มี หรือ ไม่มี วิชากังฟู พวกเรามาลองกันก็จะรู้เอง”
เยี่ยเทียนหัวเราะ ไม่ได้ถอดชุดแบบสมัยราชวงศ์ถังที่ใส่อยู่ ยืนอยู่หน้าของเฝิงเหิงหยู่ ท่าทางอวดดีที่ทุกคนก็ต่างดูออก
ตอนที่เยี่ยเทียนอายุสิบสาม ตอนอยู่กับนักบวชเต๋าเคยเจอกับอาจารย์ยงหรูรุ่ยของเฝิงเหิงหยู่มาก่อนแล้ว ยงหรูรุ่ยถือว่าเป็นอาจารย์มวยแปดสุดยอดที่มีชื่อเสียงในประเทศ
แต่ทว่าตรงหน้าของหลี่ซั่นหยวน อาจารย์ยงหรูรุ่ยของเฝิงเหิงหยู่ที่อายุน้อยกว่าสองชั่วอายุคน ในกลุ่มผู้อาวุโสที่กำลังสนทนากันในห้องโถง พร้อมกับเยี่ยเทียน เฝิงเหิงหยู่ทำได้แค่ยืนเทน้ำชาอยู่ข้างๆ
ครั้งนั้นเยี่ยเทียนเคยปะลองกับยงหรูรุ่ยแล้ว เพียงแต่ว่าครั้งนั้นเขายังเข้าไม่ถึงขั้นตอนของการเปลี่ยนพลัง อีกทั้งประสบการณ์ในการต่อสู้ที่ไม่มากนัก ประคับประคองได้ประมาณห้าถึงหกนาทีก็แพ้แล้ว
ดังนั้นถ้าให้พูดถึงเด็กอายุสิบสามปี เยี่ยเทียนก็ถือว่าแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี
แต่ว่าแพ้ก็คือแพ้ เยี่ยเทียนรู้ว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมายงหรูรุ่ยเสียชีวิตแล้ว ได้เห็นลูกศิษย์ของยงหรูรุ่ย เยี่ยเทียนก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา ดังนั้นก็ไม่ได้พูดถึงแหล่งที่มาระหว่างพวกเขา
“ดี เจ้าหนุ่ม ถ้าอย่างนั้นแกต้องระวังหน่อย”
เฝิงเหิงหยู่ถูกเยี่ยเทียนถากถางไปไม่กี่คำ ก็สงบอารมณ์อดกลั้น แต่ว่าภายในใจก็มีความโกรธอยู่ สองเท้าสลับไปมา แสดงศิลปะท่าทางของมวยแปดสุดยอด พูดว่า “ฉันต่อให้สามกระบวนท่า โจมตีเข้ามาเลย”
เห็นเยี่ยเทียนพูดด้วยท่าทีที่มั่นใจ เฝิงเหิงหยู่ก็สามารถเดาออกได้เลยว่าเขาได้ฝึกฝนวิชากังฟูจากในตะกูล ดังนั้นเอกลักษณ์ของจังหวะในการก้าวไม่ค่อยชัดเจน
เพียงแต่ว่าอายุของเยี่ยเทียนที่เยอะขนาดนี้ ฝีมือน่าจะยังไม่ลึกไม่มากพอ ทำให้เฝิงเหิงหยู่รู้สึกค่อนข้างมั่นใจขึ้นมา เขาก็อยากยืมใช้วิธี ดูออกว่าแท้จริงแล้วเขาเรียนวิชากังฟูอะไร
หลังจากเฝิงเหิงหยู่พูดออกมา เยี่ยเทียนก็พยักหหน้า พูดว่า “ศักดิ์ของแกต่ำกว่าฉันอีก ถ้าจะต่อก็ต้องเป็นฉันต่างหากที่ต่อให้แก”
“อะไรนะ? เจ้าเด็กอวดดี”
เยี่ยเทียนพูดความจริง แต่ว่าพอเฝิงเหิงหยู่ได้ยินก็รู้สึกไม่ดี เขาอาวุโสกว่า แต่กลับถูกเจ้าเด็กไม่รู้จักโตคนนี้พูดว่าให้ ถ้ามีคนได้ยินก็คงถูกหัวเราะเยาะเย้ยได้
ความโกรธขั้นสุด เฝิงเหิงหยู่ทนไม่ได้ ชิงลงมือก่อน เท้าซ้ายที่อยู่กับพื้น เอวที่บิดหมุน เตะเท้าขวาออกมา เป้าหมายคือหัวเข่าของเยี่ยเทียน
เฝิงเหิงหยู่ใช้พลังที่พุ่งออกมาจากเท้า วิชามวยแปดสุดยอดจะใช้เท้าเตะรัว ให้ความสำคัญกับจังหวะและท่าทาง ในการเตะแต่ละครั้ง เท้าต้องไม่เลยเข่า
รัวฝ่าเท้า วิธีนี้ของเขาอาจทำร้ายให้คนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ ในเวลาเดียวกันก็สามารถใช้ขาเกี่ยวเข้าไปยังขาของฝั่งตรงข้าม เพราะเป็นจุดที่รองรับน้ำหนัก ซึ่งต้องใช้แรงอย่างมากถึงจะได้ผลที่ดีออกมา
แต่ว่าเท้านี้ เฝิงเหิงหยู่ใช้แรงไปแค่สามส่วน ทั้งคู่ไม่ได้มีความแค้นอะไรกัน เขาจึงไม่อยากลงมือทำร้ายให้ได้ รับบาดเจ็บ แค่โจมตีเยี่ยเทียนจนยอมแพ้ก็พอ
“รัวฝ่าเท้าทำได้ดี”
เมื่อได้เห็นวิชารัวฝ่าเท้าของฝั่งตรงข้าม เยี่ยเทียนก็ตาสว่างขึ้นมา ค่อยๆ ยกเท้าซ้ายขึ้นมารับ แล้วถอยกลับ เขา แค่อยากลองพลังรัวฝ่าเท้าของฝั่งตรงข้ามเท่านั้น
……