“จำฉันได้แล้วเหรอ”
เยี่ยเทียนอมยิ้มมองไปที่เฝิงเฮิงอยู่ หลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามเดินเข้ามา เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้ประกาศชื่อเขาออกไป เฝิงเฮิงอยู่เมื่อจำเขาได้แล้ว ก็ร้องบอกออกมา
“รุ่นพี่เยี่ยเทียน เป็นรุ่นน้องที่เลอะเลือน ควรจะจำพี่ได้ตั้งนานแล้ว”
เฝิงเฮิงอยู่ยิ้มเจื่อนๆ ถ้าไม่ใช่เด็กผู้ชายอายุสิบสองสิบสามปีที่ลุ่มหลงในการฝึกกังฟู ซึ่งยืนอยู่ข้างกายเขาในเวลานั้น ยังจะมีคนอื่นอีกเหรอ
ในปีนั้นเยี่ยเทียนที่ยังเป็นไม่ได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ก็สามารถต่อสู้กับอาจารย์ของเขาได้ถึงห้าหรือหกนาที โดยไม่มีอาการหอบหายใจแต่อย่างใด ถ้าไม่มีประสบการณ์สักเล็กน้อยแล้ว อาจารย์คงไม่พาออกท่องยุทธภพ
เฝิงเฮิงอยู่และเหล่าผู้ติดตามทั้งหลายที่อยู่ในลานประลองต่างก็มองอย่างตกตะลึง งุนงงและสงสัยรอหลังจากที่เยี่ยเทียนและศิษย์ผู้ติดตามเดินเข้าไปข้างใน ก็ทยอยถามประวัติของพวกเขา ถึงได้รู้ว่าหลี่ซั่นหยวนผู้อาวุโส ในยุทธภพ มีความสามารถเท่าเทียมกับหลี่ซูเหวิน
ในฐานะศิษย์และหลานของหลี่ซูเหวิน หากเฝิงเฮิงอยู่จะเรียกเยี่ยเทียนว่า ปรมาจารย์ ก็ไม่เกินความจริง แต่อย่างไร การถ่ายทอดและสืบสานของสองสำนักนั้นแตกต่างกัน แค่เรียกว่ารุ่นพี่นั้นก็เพียงพอแล้ว
เยี่ยเทียนมองไปที่เฝิงเฮิงอยู่ ก่อนกล่าวว่า “นายเพิ่งเข้าสู่สภาพลมปราณแฝง หลังจากกลับไปแล้ว ต้องพักฟื้นสักพักหนึ่ง รักษาอาการบาดเจ็บเมื่อครู่ให้หายก่อน ไม่งั้นจะมีผลต่อร่างกายตอนอายุหกสิบเจ็ดสิบปี “
คนที่ฝึกมวยภายนอก โดยทั่วไปการทำลายศัตรูในอัตราส่วนหนึ่งพันตัวเองก็จะถูกทำลายไปด้วยแปดร้อย ในร่างกายมีอันตรายแฝงอยู่ ตอนหนุ่มๆ จะดูไม่ออก แต่พอสูงวัยขึ้น พลังและเลือดก็จะเสื่อมลง
วิชามวยแปดสุดยอด เป็นวิชามวยที่ใช้พลังภายนอกในการสร้างความแข็งแกร่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ร่างกายก็จะได้รับบาดเจ็บมากเช่นกัน เฝิงเฮิงอยู่ตอนนี้กลับได้รับพลังลมปราณแฝง ดังนั้นการฝึกฝนจะช่วยให้เขารักษาอาการบาดเจ็บได้
“ขอบคุณรุ่นพี่ ถ้าไม่ใช่ท่าน วันนี้ผมก็ยังคงไม่ผ่านประตูนี้ไปได้แน่นอน…”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เฝิงเฮิงอยู่โค้งคำนับเยี่ยเทียน พลังลมปราณแฝงที่เขาติดอยู่ตรงนี้ เป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว ไม่เคยได้รับคำแนะนำจากผู้ที่เชี่ยวชาญเลย จึงไม่สามารถทะลุผ่านชั้นสุดท้ายของกระดาษได้ ด้วยคำพูดคำเดียวของเยี่ยเทียน ทำให้เขาผ่านด่านนี้ได้
“อย่าเรียกฉันว่ารุ่นพี่เลย รุ่นพี่นั้นต้องเก่งมาก ฉันยังเทียบไม่ได้จะเรียกว่าคำว่า รุ่นพี่”
เยี่ยเทียนเฉยชากับคำเรียกนี้ พอคิดสักพักก็พูดว่า “อาจารย์ของฉันกับปรมาจารย์หลี่ซูเหวินของแกมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พวกเราอยู่คนละยุคคนละสมัย ถ้านับตามรุ่นแล้ว แกเรียกฉันว่าอาจารย์ลุงเถอะ”
“อาจารย์ลุงเหรอ” เฝิงเฮิงอยู่ถึงกับตะลึง
“ทำไม? ไม่พอใจเหรอ” เยี่ยเทียนหน้าบึ้งขึ้นมา
เฝิงเฮิงอยู่โบกไม้โบกมือ พูดว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่ อาจารย์ลุง ผม…ผมไม่บังอาจ”
อาจารย์ของเฝิงเฮิงอยู่คือหลี่ซูเหวินเป็นทายาทรุ่นที่สี่ พอมาถึงเขาก็เป็นรุ่นที่ห้า เมื่อเทียบอาวุโสแล้ว เยี่ยเทียนกับอาจารย์ของเฝิงเฮิงอยู่เป็นพี่น้องกัน ความสัมพันธ์นี้ห่างกันหลายรุ่น
เมื่อเยี่ยเทียนยอมที่จะเป็นรุ่นพี่เขาหลายรุ่น เพื่อเป็นอาจารย์ลุงของเขา เฝิงเฮิงอยู่ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ พูดอีกอย่างคืออาจารย์ในระดับอาวุโสของเขาไม่อยู่ทั้งหมดแล้ว ตัวเองเพิ่งได้รับลมปราณแฝง ยังต้องการคนชี้แนะ
“ไม่บังอาจอะไรกัน ปีนั้นอาจารย์ของฉันก็ให้ฉันเรียก อาจารย์หยง ว่าศิษย์พี่เหมือนกัน”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฝิงเฮิงอยู่ เยี่ยเทียนก็พยักหน้า พูดว่า “เฮิงหยู เซี่ยวเทียนก็เป็นคนรุ่นใหม่ที่สืบทอดมวยแปดทิศเหมือนกัน แต่ยังขาดทักษะอยู่ ถ้ามีเวลาว่างก็ไปช่วยชี้แนะเขาหน่อยนะ”
ถึงแม้ว่าจะยอมรับเป็นอาจารย์ของโจวเวี่ยวเทียน แต่ก็ไม่ได้สอนเทคนิคอะไรให้เขาเลย การเป็นอาจารย์แบบนี้รู้สึกไม่สบายใจ เป็นเหตุผลที่ต้องลำดับขั้นอาวุโสกับเฝิงเฮิงอยู่ขึ้นมา
ถ้าไม่อย่างนั้น ตอนที่เยี่ยเทียนได้ตามนักบวชเต๋าท่องยุทธภพ ได้รู้จักคนในยุทธภพหลายคน แต่ไม่ได้ทำความรู้จักกับเฝิงเฮิงอยู่ นั่นเป็นเพราะว่าเขากำลังสนใจที่จะเรียนรู้จากบรรพบุรุษของมวดแปดทิศโดยตรง
“ชี้แนะเขาเหรอ” เฝิงเฮิงอยู่ได้ยินถึงกับตะลึง ยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดต่อว่า “อาจารย์ลุง ผมรู้แล้ว ถ้ามีเวลาผมจะคอยชี้แนะศิษย์น้อง ท่านนี้สักหน่อย”
ตอนแรกเหมือนเยี่ยเทียนดูไม่มีความสามารถ คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะยัดเยียดความยุ่งยากให้กับเขา แต่วิชาของโจวเซี่ยวเทียนนั้นก็ถือว่าไม่เลว เฝิงเฮิงอยู่ก็เต็มใจที่จะเอาความลับมวยแปดทิศเปิดเผยแก่เขา
หลังจากที่ให้ลูกศิษย์ของตัวเองไปหาศิษย์พี่ที่พ่ายแพ้ เยี่ยเทียนโบกไม้โบกมือแล้วพูดว่า “พอแล้ว นายไปคุยกับเซี่ยวเทียนทางนั้นเถอะ ทางนี้ฉันยังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เฝิงเฮิงอยู่ก็รีบพูดว่า “อาจารย์ลุง ท่านเข้าใจผิดอะไรกับเหล่าชิวหรือเปล่า เรื่องเขาผมรู้จักดี ถึงแม้จะมีนิสัยโมโหร้าย แต่ไม่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าอย่างแน่นอน”
ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ของเฝิงเฮิงอยู่กับพ่อของชิวเหวินตงไม่ใช่ความสัมพันธ์ผิวเผิน ทั้งสองรู้จักกัน มาสิบกว่าปี เมื่อเยี่ยเทียนช่วยรักษาหน้าตาของตัวเองไว้ เฝิงเฮิงอยู่จึงเสนอตัวเป็นคนกลาง เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย
ชิวเหวินตงอยู่ในวงการมาสิบกว่าปี จึงไม่ใช่คนโง่ สนองคำพูดของเฝิงเฮิงอยู่อย่างรวดเร็ว พูดว่า “คุณ…คุณเยี่ย ถึงแม้ว่าผมชิวเหวินตง บางครั้งจะเลอะเลือนไปบ้าง แต่ไม่เคยทำอะไรผิดกับใคร ผมไม่รู้ว่าวันนี้ที่เกิดเรื่อง เป็นเพราะอะไรกันแน่”
เมื่อเห็นว่า เฝิงเฮิงอยู่กับเด็กหนุ่มไม่ใช่ศัตรูกัน แถมยังช่วยกันฝ่าด่านลมปราณแฝงได้อีกด้วย ชิวเหวินตงก็ไม่มีความคิดที่จะช่วยลูกศิษย์แล้ว
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ถ้าเยี่ยเทียนยังยึดมั่นในความคิดเห็นของตนเองในการทำลายสนาม ในสำนักวิชาต่อสู้อันเต๋อของเขาก็คงไม่มีใครสักคนที่จะขวางกั้นได้ ถ้าเป็นแบบนี้ชื่อเสียงของชิวเหวินตงในยุทธภพคงหมดไป
เยี่ยเทียนเปิดอกพูดว่า “ผมมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อเว่ยหงจวิน เป็นพ่อค้าธรรมดาทั่วไป ถูกคนของคุณทำร้ายเอา ผมก็เลยต้องมาขอคำอธิบาย”
ที่จริงเรื่องนี้เยี่ยเทียนรู้ในใจเป็นอย่างดีว่า เรื่องที่เว่ยหงจวินถูกตี ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชิวเหวินตง แต่การที่ตัวเองบุกเข้ามาหาเรื่องถึงที่ คำว่า “เหตุผล” คำนี้ต้องยึดไว้
“เว่ยหงจวินเหรอ”
ชิวเหวินตงเมื่อได้ยินถึงกับตะลึง คิดสักพักหนึ่งแล้วพูดว่า “ใช่เหล่าเว่ยที่เมื่อก่อนเปิดร้านอาหารในหูท่ง ต่อมาก็มาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใช่ไหม”
“ใช่เขาเอง คนคุ้นเคยกันคุณก็ลงมือด้วยเหรอ” ทุกคำพูดของเยี่ยเทียนเหมือนจะกัดชิวเหวินตงให้ตาย
“คุณเยี่ย คุณเข้าใจผิดแล้ว ถึงผมกับเหล่าเว่ยจะไม่สนิทกันมาก แต่ก็เป็นเพื่อนดื่มเหล้าด้วยกัน ทำไมผมถึงจะให้คนไปตีเขาด้วยล่ะ”
ชิวเหวินตงตะโกนออกมา เขาตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเขารู้ว่าเพื่อนเก่าของเขาที่เคยช่วยงานในบริษัทรักษาความปลอดภัย มักจะรับงานส่วนตัวที่อยู่ด้านนอกเป็นประจำ
“เฟ่ยเฮ่อเหว่ยเป็นคนของคุณใช่ไหม เขารับเหมางานรื้อถอนของเมืองฝั่งตะวันออก เว่ยหงจวินไม่ได้รับปาก เฟ่ยเฮ่อเหว่ยก็เลยส่งคนมาจัดการ ให้เว่ยหงจวินเข้าโรงพยาบาล คุณคงไม่พูดว่าไม่เกี่ยวข้องกับคุณหรอกใช่ไหม”
เยี่ยเทียนบรรยายเรื่องได้อย่างคล่องแคล่ว โดยเฉพาะตอนที่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยไปหาเว่ยหงจวินถึงที่ แต่ทุกคำที่พูดล้วนแต่ใช้สมญานาม
“บ้าเอ้ย ไอ้คนทรยศคนนี้ คุณเยี่ย เฟ่ยเฮ่อเหว่ยคนนี้เคยทำงานกับผมช่วงหนึ่งถูกแล้ว แต่ตอนที่ผมติดคุกนั้นเขาก็เอาพวกลูกน้องผมไปด้วย ผมกับเขาตอนนี้ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลยสักนิด”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงเฟ่ยเฮ่อเหว่ย ทันใดนั้นชิวเหวินตงแทบจะหายใจไม่ออก ปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเฟ่ยเฮ่อเหว่ย ขโมยของที่สถานีขนส่งสินค้า เขาก็ไม่ต้องไปนั่งในคุกเป็นเวลาสามปีหรอก
เยี่ยเทียนส่ายหน้า พูดว่า “แต่ ตอนที่เขาใช้ชื่อคุณ คุณเองก็ไม่ได้ออกมาพูดอะไรนี่”
เยี่ยเทียนมีแผนรับมือกับเฟ่ยเฮ่อเหว่ยแล้ว เขาจึงพูดหลอกล่อไปมาอ้อมเป็นวงกลม ไม่อย่างนั้นเขาต้อง ขอโทษชิวเหวินตง ที่มาผิดที่ ซึ่งเยี่ยเทียนจะไม่ยอมก้มหัวนี้ลงเด็ดขาด
“ได้ คุณเยี่ย เรื่องนี้ผมต้องรับผิดชอบ เชิญคุณนั่งลงดื่มชาสักแก้วเถอะ ผมจะไปให้หิ้วไอ้สารเลวเฟ่ยเฮ่อเหว่ยมาให้ได้”
ชิวเหวินตงกัดฟันและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หลังจากโทรศัพท์ติดแล้ว ก็ตะโกนขึ้นว่า “หม่าเหล่าซาน ลากคนที่บริษัทรักษาความปลอดภัยทั้งหมดมาให้ฉันหน่อย จับไอ้สารเลวเฟ่ยเฮ่อเหว่ยมาด้วย อีกครึ่งชั่วโมงพามาหาฉันที่ สำนักวิชาต่อสู้”
“เหอเหอ ผมว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแหละ อาจารย์ลุง คุณสบายใจได้ เหล่าชิวจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จอย่างแน่นอน”
รอจนชิวเหวินตงวางโทรศัพท์ลง เฝิงเฮิงอยู่ก็ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี วันนี้ทั้งคู่ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกัน ถ้าเกิดการทะเลาะกันจริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยใครดี
“คุณเยี่ย เรื่องนี้ผมเองก็มีความรับผิดชอบ เฟ่ยเฮ่อเหว่ยไอ้สารเลวนั้นทำกับเหล่าเว่ยยังไง กลับไปผมจะตอบแทนเข้าเป็นเท่าตัว” ชิวเหวินตงมีสีหน้าที่ชัดเจน จริงใจ
โบราณพูดกันว่าคนที่มีอำนาจย่อมไม่ทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่า ถ้าฝ่ายตรงข้ามยอมรับก็จะปล่อย เยี่ยเทียนยิ้มออกมา พูดว่า “ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ผมจะบุ่มบ่ามมากเกินไป ไม่โทษคุณหรอก…”
“นี่คือคุณเยี่ยที่มีความสามารถ เชิญนั่ง ลิ่วเอ๋อ หยิบเสื้อคลุมยาวสีแดงตัวใหญ่ตัวสองตัวมาด้วย”
หลังจากที่เชิญเยี่ยเทียนนั่งแล้ว มีคนยกชามารินชาให้อัตโนมัติ เดิมทีบรรยากาศแห่งความตึงเครียด ทันใดนั้นก็ผ่อนคลายลง
“วิชาของลูกศิษย์ยังฝึกไม่ถึงขั้นที่ชำนาญ จำได้ว่าท่าต้านภูผา เมื่อสักครู่ก็ยังรับไม่แข็งแรงพอ การบาดเจ็บของ พี่อู่เฉินครั้งนี้เกรงว่าจะต้องพักรักษาตัวเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน”
เมื่อเห็นอู่เฉินที่กำลังเอนกายบนเก้าอี้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าตัวเองรังแกคนอื่นไปบ้าง หลังจากที่คิดมาสักพัก หยิบขวดเซรามิคออกมาหนึ่งขวด พูดว่า “ผมมียาที่ช่วยรักษาการบาดเจ็บที่ปรุงโดยอาจารย์ของผม หลังจากที่ละลายในน้ำดื่มแล้ว สามวันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม”
เยี่ยเทียนเรียกชื่อเฝิงเฮิงอยู่และชิวเหวินตงตรงๆ แต่กลับเรียก พี่อู่เฉิน ก็เป็นขอโทษเขาแล้ว อู่เฉินไม่ใช่ว่าไม่ได้ยินที่ไหนกัน รีบพูดว่า“ขอบคุณคุณเยี่ย อู่เฉินยังฝึกฝนไม่เพียงพอ จึงสู้น้องเซี่ยวเทียนไม่ได้”
เยี่ยเทียนหยิบยารักษาอาการเจ็บออกมา ยาชั้นดีนี้ถือว่ารักษาได้หายหมด บรรยากาศในห้องก็กลับมาเป็นปกติ ทุกคนนั่งจิบชา และสนทนากันในเรื่องทั่ว ๆ ไป
“พี่ตง เฟ่ยเฮ่อเหว่ยกับพวกลูกน้องสารเลวของมันถูกตำรวจจับไปหมดแล้ว”
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คนกลุ่มหนึ่งทะลักเข้ามาในสำนักวิชา ชายร่างอ้วนตะโกนทันทีที่เข้ามาในประตู
ชิวเหวินตงกวักมือเรียกคนที่นำหน้ามา พูดว่า “เหล่าซาน เป็นยังไงบ้างนายมาเล่าให้เยี่ยเทียนฟังให้ละเอียดหน่อย”
“ดูเหมือนว่าพวกที่เล่นการพนันโดนจับแล้ว คุณเยี่ย นี้…นี่ไม่ใช่เยี่ยเทียนหรอกเหรอ”
หม่าเหล่าซานเดินมาด้านหน้า เมื่อพูดประโยคหนึ่งก็เห็นเยี่ยเทียนที่นั่งบนเก้าอี้ ทันใดนั้นก็มีสีหน้าที่ทั้งตื่นเต้น และกลัวปรากฏขึ้นมา
……