“เจ้านี่ขี้ขลาดเป็นเต่าหดหัวเลย โลกนี้มีผีที่ไหน?”
ตาแก่อู๋เห็นท่าทางจางม่อเป็นแบบนี้ เขาเดินเข้าไปดูในเรือนด้านหลัง ตาแก่อู่เคยเป็นทหารอินโดจีนเก่าในยุคปี 60 เคยเห็นศพคนตายมามาก มีหรือจะกลัวเรื่องพวกนี้
“มีผีที่ไหนเล่า? พี่เหยียน พี่กับจางม่อน่ะตาฝาดไปแล้ว?”
ตาแก่อู๋เดินเข้าไปถึงเรือนด้านหลัง ส่องไฟทั่วไปทั้งลาน นอกจากเสียงลมที่พัดเข้ามาในซุ้มประตูแล้ว ทั้งเรือนก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
“เปล่านะ….ไม่ได้ตาฝาด มีผี มีผีจริงๆ…”
เสียงสั่นเครือของจางม่อเกือบจะร้องไห้เต็มที เขามองเห็นเต็มตาว่าผีนางในคนสุดท้ายยังยิ้มให้เขาด้วย ดวงหน้าซีดขาวกับปากแดงดุจเลือดนก ชาตินี้เขาคงลืมไม่ลง
จางม่อพูดยังไม่ทันขาดคำ พี่เหยียนก็เสริมขึ้น “ไม่ผิดหรอก มีผีจริงๆ เป็นผีผู้หญิงห้าตัว ใส่ชุดนางในโบราณ บนหัวยังใส่หมวกด้วย ไม่ ไม่ใช่สิ ไม่ใช่หมวก เป็นทรงผมหวีทรงสูงต่างหาก!”
“ไม่ใช่ ที่ฉันเห็นน่ะแค่ผีผู้หญิงสามตัว ให้ตายเถอะ หน้ามันซีดอย่างกับอะไร….” คนอื่นๆต่างรุมล้อมเข้ามาใกล้ขึ้นเพื่อแสวงหาความอบอุ่นจากกันและกัน น้ำเสียงของจางม่อไม่ติดขัดเหมือนเมื่อครู่แล้ว
คนอื่นที่มุงเข้ามาฟังทั้งสองเล่าต่างขนหัวลุกกันเป็นแถว ถ้าหากมีแค่คนเดียวที่บอกว่าเห็นผีก็ว่าไปอย่าง นี่เห็นกันทั้งสองคน ทั้งลักษณะผีที่เห็นยังคล้ายกัน ผู้ที่ฟังอยู่รอบข้างอดเชื่อไม่ได้
โดยเฉพาะจางม่อและพี่เหยียนปกติแล้วไม่ใช่คนปลิ้นปล้อนกลับกลอก คนหนึ่งหัวร้อนอารมรุนแรงเคยติดคุกมาแล้ว อีกคนเป็นคุณป้าปากร้าย ด้วยนิสัยของทั้งสองถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเองคงจะไม่ตกใจขนาดนี้
“เรื่องนี้น่าสยองจริงๆ ฉันยังรู้สึกว่าเรือนหลังเย็นผิดปกติ? หรือว่าอากาศจะเปลี่ยนแล้ว?”
ตาแก่อู๋ที่เดินไปรอบๆเรือนหลัง พอออกมาแล้วรู้สึกขนหัวลุกแปลกๆ อากาศร้อนขนาดนี้แต่เขากลับรู้สึกถึงไอเย็นประหลาด
“ลุงอู๋ เหล่าหวังคงไม่ใช่เพราะเจอผีหลอกเลยย้ายหนีไปหรอกนะ?”
“นั่นน่ะสิ อยู่ดีๆก็ขายบ้านทิ้ง ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่…”
“ไว้ต้องหาผู้รู้มาช่วยดูให้แล้ว ทำพิธีหน่อยก็คงดีขึ้น…”
ฟังคำของตาแก่อู๋จบ ชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา จางม่อกับพี่เหยียนตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ พวกเขาเชื่อว่าทั้งสองเห็นผีเข้าแล้ว
“พ่อ แล้ว….แล้วเราจะทำยังไงกันดี? พี่จางเขาไม่ใช่คนพูดโกหก…”
ลูกชายคนรองของตาแก่อู๋รูปร่างบึกบึน แต่ใจเสาะเหมือนปลาซิว พอได้ยินทุกคนวิจารณ์กัน ขาทั้งสองของเขาเริ่มสั่น
บ้านหลังนี้อยู่ในถิ่นวังเก่า ซึ่งเป็นพระราชวังของทั้งราชวงศ์หมิงและชิง พวกขันทีนางกำนันตายไปไม่รู้ตั้งกี่หมื่นกี่แสนคน ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมออกมาเรียกร้องบ้าง
“อะไรทำยังไง? มีผีจริงๆที่ไหน แกมันขี้ขลาด ถ้าไปออกรบอย่าตกใจตายเสียก่อนล่ะ?”
ตาแก่อู๋เขกหัวบุตรชายเข้าทีหนึ่งด้วยความโมโห พูดต่อว่า “ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งสามสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่เคยเจอผีเลย เอาเถอะ พวกนายช่วยกันขนเตียงของฉันไปหน่อย คืนนี้ฉันจะนอนเฝ้าเรือนหลังเอง!”
ตาแก่อู๋เป็นคนหัวดื้อ เคยออกรบในสมรภูมิมาก่อน ดูท่าคนพวกนี้ต่างเชื่อว่าในเรือนหลังมีผี เขาจึงต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าในโลกนี้ไม่มีผีอยู่จริง
ลูกชายของตาแก่อู๋กลัวว่าพ่อจะเกิดเรื่อง จึงออกปากเตือน “พ่อ ผมว่าช่างมันเถอะ รอพรุ่งนี้เช้าค่อยไปเชิญนักพรตมาไล่ผีแล้วกัน…”
“เชิญนักพรตทำไม ถ้ามีผีจริงฉันจะจับมันให้ดู!”
ตาแก่อู๋ก่นด่าบุตรชายอย่างหัวร้อน บังคับให้บุตรชายขนเอาเตียงที่เขานอนออกไปตั้งไว้ในเรือนหลัง แล้วพูดกับทุกคนว่า “เอาเถอะ แยกย้ายได้แล้ว กลับบ้านไปนอนกันไป…”
ทุกคนยืนมองตาแก่อู๋เดินเข้าไปในเรือนหลังเพียงลำพัง ความกลัวของพวกเขาก็ค่อยจางลง ถ้าหากมีผีจริง ผีมันต้องมาเอาเรื่องตาแก่อู๋แน่นอน ตอนนี้พวกเขากลับบ้านไปนอนหลับให้สบายได้เสียที
แต่เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับไปนอนแล้ว ไม่มีใครนอนหลับดีเลยสักคน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลทางด้านจิตใจหรืออย่างไร หลายคนได้ยินเสียงร้องไห้ลอยมาจากเรือนด้านหลัง จนฟ้าสว่าง คนทั้งเรือนสี่ประสานไม่มีใครนอนตาหลับเลยสักคน
“ลุงอู๋ ลุง…ลุงเป็นยังไงบ้าง?” ทำไมสีหน้าดูแย่อย่างนี้? ใช่แล้ว เมื่อคืนฉันเหมือนจะได้ยินเสียงร้องไห้ด้วย ลุงได้ยินไหม?”
เช้าวันรุ่งขึ้น สมาชิกในเรือนสี่ประสานที่นอนไม่หลับลุกขึ้นแต่เช้า เดินไปรับตาแก่อู๋ออกมาจากเรือนหลัง แล้วก็ต้องตกใจ
เมื่อวานตอนที่ตาแก่อู๋เดินเข้าไปในเรือนหลังสีหน้ายังดูแจ่มใสมีเลือดฝาด แต่ตอนนี้หน้าซีดจนเกือบเขียว สภาพดูแย่ยิ่งกว่าจางม่อเสียอีก ทำให้พวกคนที่เข้าไปใจเต้นไม่เป็นสุข
“มีเสียงร้องไห้ที่ไหน? แค่รู้สึกหนาวนิดหน่อยเอง ฉันลุกขึ้นมาเอาผ้าห่มต่างหาก…” ตาแก่อู๋พูดไปเอามือคลึงหน้าไป เขาไม่ได้ยินเสียงผิดปกติอะไร แค่รู้สึกหนาวจนต้องตื่นขึ้นมา
คนอื่นๆกำลังยืนคุยกันอยู่ตรงลานบ้าน เสียงภรรยาของจางม่อร้องขอความช่วยเหลือดังออกมาจากตัวบ้าน “ลุงอู๋ รีบมาช่วยหน่อยจางม่อเร็ว จางม่อ จางม่อตัวร้อนจี๋เลย…”
ตาแก่อู๋จับหน้าผากจางม่อ เขาไข้สูงพูดเพ้อด้วย ตาแก่อู๋รีบบอกว่า “นี่…นี่ตัวร้อนจี๋เลย ไป รีบไปโรงพยาบาลเถอะ…”
ตลอดทั้งเช้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนสี่ประสานทำเอาผู้อยู่อาศัยวุ่นวายกันไปหมด ไม่มีใครนอนหลับได้อย่างสบายใจ แม้แต่ตอนล้างหน้าแปรงฟันยังคอยเบิ่งตามองไปรอบข้างด้วยความหวาดระแวง
สิ่งที่เหนือความคาดหมายกำลังจะตามมา ตาแก่อู๋กับภรรยาของจางม่อส่งจางม่อไปถึงโรงพยาบาลแล้วยังไม่ได้กลับบ้าน เพราะตัวเขาก็เริ่มมีไข้เหมือนกัน จึงต้องอยู่โรงพยาบาลให้น้ำเกลือต่อ
เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้อาศัยในเรือนสี่ประสานทุกคนเกิดความหวาดหวั่นใจ พูดกันไปต่างๆนานา บางคนบอกว่าเมื่อวานเขามองเห็นคนรับใช้สาวในจวนท่านอ๋องที่ถูกใส่ร้ายจนตาย บางคนบอกว่ามีวิญญาณที่ไม่เป็นสุขล่องลอยออกมาจากพระราชวังต้องห้าม
บางคนบอกอีกว่าเมื่อวานข้าวของที่พวกเขาขนออกไปเป็นของใช้ของเหล่าวิญญาณ พอตอนนี้ของถูกย้ายไปหมด เหล่าวิญญาณจึงออกมาติดตามข้าวของที่เคยเป็นของตน ต้องส่งมอบของพวกนี้ไปให้คนอื่นถึงจะหมดปัญหา
ยิ่งกว่านั้นมีคนบอกว่าที่นี่เป็นประตูนรก เหล่าหวังเป็นยมบาลกลับชาติมาเกิดเขาถึงควบคุมวิญญาณเอาไว้ได้ เมื่อเขาย้ายออกไป พวกผีทั้งหลายจึงหลุดออกมารบกวนชาวบ้าน
คำโบราณว่าไว้ เรื่องดีๆไม่ค่อยมีใครรู้ แต่เรื่องเสียหายถูกแพร่สะพัดไปไกล เรื่องผีในเรือนสี่ประสานหลังนี้ถูกลือออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงข่าวลือได้แพร่ไปทั่วถิ่นชาววังเก่าละแวกนี้หมดแล้ว
ป้าใหญ่ที่ตอนเช้าไปเต้นแอโรบิกที่สวนสาธารณะกลับมาถึงถือเอาอาหารเช้าที่ซื้อมาเข้าไปในตัวบ้าน ดึงตัวเยี่ยเทียนที่กำลังจะออกไปเดินเล่นไว้ ถามว่า “เยี่ยเทียน เมื่อวานแกทำอะไรลงไป?”
“เมื่อวาน? ไม่มีอะไรนี่ครับ? ก็แค่ไปที่บ้านหลังนั้นมาไม่ใช่เหรอ?” เยี่ยเทียนทำหน้าซื่อตาใส
“ไม่มีอะไรจริงๆเหรอ?”
หญิงชราจ้องเยี่ยเทียนอย่างจับผิด เธอรู้ว่าเยี่ยเทียนมีวิชาศาสตร์ฮวงจุ้ย ถ้าภายนอกมีข่าวลือเกี่ยวกับผีอาละวาด เธอต้องนึกเยี่ยเทียนขึ้นมาเป็นคนแรก
“ไม่มีอะไรจริงๆครับ แค่ย้ายของออกจากเรือนด้านหลังจนหมด ป้าใหญ่ ป้าเป็นอะไรไปครับ?” เยี่ยเทียนแอบยิ้มในใจ แต่ไม่แสดงสีหน้าออกมา เขาได้วางค่ายกลเอาไว้ แน่นอนว่าต้องรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“เฮ้อ เมื่อวานเกิดเรื่องผีออกอาละวาด เช้านี้มีสามคนที่เข้าโรงพยาบาลไปแล้ว เสี่ยวเทียน นี่ไม่ใช่ฝีมือแกหรอกใช่ไหม?” หญิงชรามีลางสังหรณ์บางอย่างที่บอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเยี่ยเทียนแน่นอน
นอกจากตาแก่อู๋กับจางม่อแล้ว พี่เหยียนจอมปากร้ายนั่นก็ถูกส่งตัวตามไปที่โรงพยาบาลเช่นกัน ภายนอกข่าวลือยิ่งรุนแรงขึ้น เช้านี้ถึงกับมีคนไปแจ้งความที่สถานีตำรวจแล้ว
เยี่ยเทียนยิ้มแห้ง “ป้าใหญ่ เมื่อวานผมกลับเข้ามาที่บ้านเลย ไม่ได้ไปทำอะไรต่อ? ผมคงไม่ถึงขนาดออกไปดึกๆดื่นๆเพื่อแกล้งหลอกผีให้คนตกใจเล่นหรอกนะครับ?”
“ก็จริงอย่างที่หลานว่า แต่เสี่ยวเทียน ที่นั่นถ้ามีผีเข้าจริง แล้วเราจะซื้อบ้านผีสิงเหรอ?” หญิงชรากังวลใจในข้อนี้ ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีไปเลย
“ป้าใหญ่ รอให้คนพวกนั้นย้ายออกไปก่อน ผมค่อยไปที่อารามเมฆขาวเชิญนักพรตมาทำพิธีก็จบแล้ว….” เยี่ยเทียนยิ้มออกมา เขาเดาได้ว่าผู้พักอาศัยจะต้องไปเชิญไม่พระสงฆ์ก็นักพรตมาแน่
แต่สถานที่แห่งนั้นเป็นแหล่งรวมของพลังอินหยาง นักพรตหรือพระสงฆ์ทั่วไปไม่อาจแก้ไขได้
ส่วนเรื่องกระถางต้นไม้ เยี่ยเทียนยิ่งไม่ต้องกังวล เพราะเขาใช้มันวางค่ายกลตามวิชาที่สืบทอดมาจากอาจารย์ นอกจากลูกศิษย์สำนักเสื้อป่านแล้ว คนนอกไม่มีทางล่วงรู้ได้
หญิงชราไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่พูดว่า “ไม่ใช่ฝีมือของหลานถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหลานเข้าไปที่บ้านนั้นดูหน่อย อย่าให้คนเข้าตำหนิเอาได้…”
หญิงชราไม่ได้เอ่ยลอยๆ เธอกลัวว่าคนอื่นจะสงสัยในตัวหลานชายของเธอ ถ้าบอกว่าเรื่องนี้เยี่ยเทียนเป็นคนก่อนั้นฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ เพราะเมื่อวานเยี่ยเทียนปฏิบัติต่อพวกเขาดีมาก
“ครับ ป้าใหญ่ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า รับเอาถุงน้ำเต้าหู้กับซาลาเปาจากมือหญิงชรา เดินไปกินไปมุ่งสู่เรือนสี่ประสานหลังใหม่ของตน
“ค่ายกลพิฆาตเก้าอินนี่รุนแรงไม่น้อย!”
พอก้าวเข้าปากประตูเรือน เยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงพลังพิฆาตที่พุ่งเข้าใส่ แน่นอนว่าเยี่ยเทียนค่อนข้างรับสัมผัสจากพลังฟ้าดินได้ดี ถ้าเป็นคนธรรมดาคงจะไม่รู้สึก
“เสี่ยวเยี่ย นายมาแล้วเหรอ?”
ผู้อยู่อาศัยเห็นเยี่ยเทียนมาถึงสีหน้าดูแปลกประหลาด เมื่อวานเขาเพิ่งจะซื้อบ้านไป วันนี้ก็มีผีออกมาอาละวาดแล้ว ใครได้พบเจอเหตุการณ์แบบเยี่ยเทียนคงจะต้องรู้สึกว่าเขาช่างโชคร้ายเสียจริง
“ซ้อหลี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน? แล้วตำรวจเขามาทำอะไร?”
เยี่ยเทียนเห็นว่านอกจากพวกผู้อยู่อาศัยยังมีผู้อำนวยการหม่าที่เขาเคยพบ กำลังพาตำรวจในเครื่องแบบคนหนึ่งเดินสำรวจรอบเรือนด้านหลัง
“อย่าพูดเลย เมื่อวานโดนผีหลอกน่ะสิ!”
ซ้อหลี่ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ พลางชี้ไปที่ผู้อำนวยการหม่าพูดว่า “ผู้อำนวยการหม่า คุณไม่ใช่เจ้าของบ้าน? เขานี่แหละเจ้าของบ้าน”
“เอ๋ หนุ่มน้อย ฉันเหมือนเคยเจอนายที่ไหนมาก่อน?”
หม่าผิงมองดูเยี่ยเทียนแล้วนิ่งไปชั่วครู่ ความจริงแล้วเขายังจำนักศึกษาชายคนนั้นได้อย่างแม่นยำ แต่ตอนนี้เส้นผมของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นสีขาวทั้งหัว ทำให้ผู้อำนวจการหม่าไม่แน่ใจนัก
“ผู้อำนวยการหม่า ป้าใหญ่ของผมคือเยี่ยตงหลัน เมื่อสองปีก่อนเราเคยพบกันครั้งหนึ่ง….” เยี่ยเทียนเอ่ยออกไปตามตรงอย่างไม่ปิดบัง