“ทำไม? คิดจะกลับคำพูดรึ? นี่มันไม่ใช่พฤติการณ์ของชาวยุทธภพเลยนะ?” เมื่อเห็นหลิวติงติงท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ เยี่ยเทียนก็ทำเป็นชักสีหน้าขึ้นมา
เมื่อถูกเยี่ยเทียนพูดต้อน หลิวติงติงก็กัดฟัน แล้วตอบว่า “เรียกก็เรียกสิ ท่านอา!”
“จ๋า!”
เยี่ยเทียนขานรับขึ้นมาเสียดื้อๆ แล้วพูดด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม “เรียกฉันเป็นท่านอาแล้วเธอไม่เสียใจแน่ มา เดี๋ยวท่านอาจะให้ของขวัญเธอชิ้นนึงนะ”
เยี่ยเทียนพลิกฝ่ามือหนึ่งที แล้วจี้หยกนักษัตรปีหมูขนาดเท่านิ้วหัวแม่มืออันหนึ่งก็ปรากฏอยู่กลางฝ่ามือ จี้หยกนี้ถูกเขาขัดสีมาได้ระยะหนึ่งแล้ว สีของดินที่เกาะอยู่จึงหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับหยกไปแล้ว เมื่อวางอยู่ใต้แสงไฟก็ยิ่งดูเปล่งปลั่งแวววาว
“เยี่ย…เยี่ยเทียน คุณ…คุณจะยกหยกนี่ให้เธองั้นหรือ?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนนำหยกออกมา ถังเหวินหย่วนก็ตาเบิกโพลงขึ้นมาทันที ขนาดเขาเสนอราคาไปตั้งหลายสิบล้าน เยี่ยเทียนก็ยังไม่ยอมขาย ตอนนี้กลับจะยกให้คนอื่นงั้นหรือ?
‘หรือว่าเจ้าหมอนี่จะชอบหลิวติงติง? ก็ไม่น่าใช่นะ คู่หมั้นที่บ้านเขายังหน้าตาสะสวยกว่าหลิวติงติงอีกนี่นา? จริงสิ สงสัยเยี่ยเทียนจะกลัวว่าตาของหลิวติงติงจะมาหาเรื่อง ก็เลยให้หยกไปแน่ๆ เลย!’
ถังเหวินหย่วนครุ่นคิดอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็สรุปได้เช่นนี้
เมื่อเห็นหมูหยกที่เยี่ยเทียนยื่นมาให้ หลิวติงติงก็เบะปาก “ฉันไม่อยากได้ของของแกหรอก เยี่ยเทียน…”
“อ้าว เรียกท่านอาสิ เมื่อกี้ก็เพิ่งจะตกลงกันไว้ ทำไมลืมซะแล้วล่ะ!”
“ฉันตกลงไปว่าจะเรียกครั้งเดียว ไม่ได้บอกว่าจะเรียกไปทั้งชาติซะหน่อย!”
หลิวติงติงโดนเยี่ยเทียนปั่นหัวจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ผู้ชายคนนี้ประสาทรึเปล่าเนี่ย? อายุน้อยกว่าเธอแท้ๆ กลับดึงดันจะมาเป็นรุ่นใหญ่กว่าเธอให้ได้ แล้วยังจะมาเป็นท่านอาอะไรอีกล่ะ?
“แฮะๆ ยังไงเธอก็คงต้องเรียกไปทั้งชาตินั่นแหละนะ!”
เยี่ยเทียนหัวเราะแฮะๆ มือข้างที่ยื่นออกไปนั้นก็ยังไม่ได้ชักกลับมา เขาพูดต่อไปว่า “เวลาท่านอาจะให้ของขวัญใคร ก็ถือว่าให้แล้วให้เลยนะ แม่หนูน้อย นี่มันของดีจริงๆ นา!”
ในแวดวงยุทธภพนั้น ธรรมเนียมปฏิบัติในสำนักมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เมื่อศิษย์รุ่นอาวุโสมาพบกับศิษย์รุ่นเยาว์ ก็จะต้องให้ของรับขวัญในการพบกันครั้งแรก วันนี้เยี่ยเทียนกลั่นแกล้งหลิวติงติงมาตั้งนาน คงจะให้ของธรรมดาๆ เป็นของรับขวัญไม่ได้อยู่แล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าหลิวติงติงไม่ได้ปราถนาเงินทอง ส่วนเยี่ยเทียนนั้นนอกจากเครื่องรางของขลังไม่กี่ชิ้น ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะยกให้เธอได้อีกแล้ว ดังนั้นหลังจากคิดไปคิดมา จึงหยิบเครื่องรางนักษัตรชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ออกมา
“ก็แค่หยกชิ้นเดียวไม่ใช่รึ? ฉันไม่เสียดายหรอก!”
ธุรกิจที่บ้านของหลิวติงติงนั้นแม้จะไม่ได้ใหญ่โตเท่าของกงเสี่ยวเสี่ยวและถังเหวินหย่วน แต่ก็มีห้างเพชรพลอยอยู่ในฮ่องกงถึงเจ็ดแปดแห่ง นับว่าเป็นครอบครัวเศรษฐีครอบครัวหนึ่งเหมือนกัน
หลิวติงติงเติบโตขึ้นมาในวงการเพชรพลอยตั้งแต่ยังเล็ก มองปราดเดียวก็ดูออกว่า หมูหยกบนฝ่ามือของเยี่ยเทียนเป็นหยกโบราณที่ขุดขึ้นมาได้ มูลค่าน่าจะราวๆ สามหมื่นหยวน แต่หลิวติงติงก็ยังไม่เห็นมันอยู่ในสายตาอยู่ดี
เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะขึ้นมา แล้วถามย้ำว่า “ไม่เสียดายจริงหรือ? หยกนี่น่ะไม่ได้ด้อยไปกว่าอันที่ห้อยคอ เธออยู่เลยนะ ถ้าเธอไม่รับไว้ละก็ อีกหน่อยต้องมีคนมาด่าเธอว่าเป็นตัวล้างผลาญตระกูลแน่ๆ เลยละ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที นึกเจ็บใจอยากจะชิงจี้หยกนั้น ไปเสียเหลือเกิน ควรทราบว่า วัตถุเช่นนี้มีฤทธิ์ในการปกปักรักษาอยู่ เมื่อถึงยามคับขันก็อาจถึงขั้นช่วยให้รอดชีวิตได้เลย
“เหมือนกับหยกที่ห้อยคอฉันอยู่งั้นหรือ?”
หลิวติงติงได้ยินก็อึ้งไป จี้หยกที่ห้อยคอเธออยู่นั้น คุณตาของเธอได้รับมาจากอาจารย์ของท่าน เห็นว่าเป็นเครื่องราง อะไรสักอย่าง หลิวติงติงห้อยคอไว้มาตลอดตั้งแต่อายุห้าขวบ จนเติบโตมาถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่เคย เจ็บป่วย หรือประสบเคราะห์เลยสักครั้ง
“หรือว่าหยกชิ้นนี้ก็เป็นเครื่องรางเหมือนกัน?” หลิวติงติงใจเต้นแรง เมื่อเห็นว่าฝ่ามือของเยี่ยเทียนกำลัง จะชักกลับไปแล้ว เธอก็รีบยื่นมือออกไปคว้าจี้หยกนั้นมาจากมือของเยี่ยเทียนทันที
เมื่อเห็นหลิวติงติงคว้าจี้หยกนั้นไป หัวใจของถังเหวินหย่วนก็รู้สึกราวกับถูกใครมาบีบไว้ทันที หันหน้าไปมองเยี่ยเทียนอย่างวิงวอน แล้วพูดขึ้นว่า “เยี่ยเทียน คุณจะเลือกปฏิบัติแบบนี้ไม่ได้นะ คุณดูสิ หลิวติงติงมีเครื่องรางอยู่แล้วแท้ๆ แต่เสวียเสวี่ยหลานผมยังไม่มีเลยนะ”
“เดี๋ยวเถอะ ก็เคยช่วยไปแล้วแท้ๆ คุณยังทำเป็นลืมอีกนะ ตอนที่ช่วยรักษาเสวี่ยเสวี่ยน่ะผมเหนื่อยแทบตายแน่ะ”
เยี่ยเทียนขึงตาใส่ตาแก่คนนี้อย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดต่อไปว่า “ที่ให้แม่หนูคนนี้ไปเพราะถือว่าผมเป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอ ที่ให้ไปน่ะเป็นของรับขวัญ คุณน่ะเลิกคิดที่จะแย่งหยกนั่นไปได้เลย”
“คุณถังคะ หยก…หยกนั่นมันมูลค่าสูงมากเลยหรือ?” ผู้ที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ในวันนี้ นอกจากอาติงและเยี่ยเทียนแล้ว คนอื่นๆ ก็คงจะมาจากตระกูลเศรษฐีกันทั้งนั้น กงเสี่ยวเสี่ยวเองก็สนใจหมูหยกที่เยี่ยเทียนหยิบออกมาอยู่เหมือนกัน
“เฮ้อ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่ามูลค่าเท่าไหร่หรอก แต่อยู่ที่ว่าถึงมีเงินก็ซื้อไม่ได้ต่างหาก!” ถังเหวินหย่วนถอนหายใจ “ฉันเคยเสนอราคาให้เขาไปตั้งสี่สิบล้านแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมขายให้ฉันสักอัน เธอว่ามันมูลค่าสูงไหมล่ะ?”
“สี่สิบล้าน? เยี่ยเทียน หยก…หยกนี่ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก คืนให้คุณดีกว่านะ!”
หลิวติงติงที่กำลังจับดูหมูหยกอยู่นั้นสะดุ้งขึ้นมาทันที แต่ไม่ใช่เพราะตัวเลขเงินนี้ ประเด็นคือเพิ่งจะพบกันครั้งแรก ก็ไปรับของที่มูลค่าสูงขนาดนี้มาจากคนอื่นแล้ว ซึ่งไม่ตรงกับธรรมเนียมมารยาทที่บ้านเธอสอนมาเลย
“เอาไปเถอะน่า แค่เธอเรียกฉันว่าท่านอาครั้งเดียว ก็สมควรที่จะได้เครื่องรางนี่แล้วละ”
เยี่ยเทียนโบกมือ สำนักเสื้อป่านมีศิษย์น้อยนิดมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากศิษย์นอกสำนักที่เขาเพิ่งจะรับ มาใหม่คนนั้นแล้ว ในโลกทั้งใบนี้เขาก็มีศิษย์พี่อยู่แค่สองคน เมื่อเห็นหลานสาวของศิษย์พี่รอง เยี่ยเทียนก็มีแต่จะรู้สึกยินดี
“ไม่ได้หรอก ฉันไม่เอา ถ้ารับหยกนี่ไว้ เดี๋ยวคุณตาต้องด่าฉันแน่เลย!” หลิวติงติงเติบโตมากับคุณตาตั้งแต่เด็ก เธอไม่กลัวพ่อไม่กลัวแม่ไม่กลัวปู่ กลัวก็แต่คุณตาผู้มีนิสัยขวางโลกคนนี้นี่แหละ
เยี่ยเทียนหัวเราะ “ถ้าเขาเห็นหยกนี่เขาก็จะไม่ด่าเธออีกแล้วละ”
“เยี่ยเทียน คุณ…คุณมีความเกี่ยวข้องอะไรกับน้องจั่วงั้นหรือ?”
คราวนี้ถังเหวินหย่วนที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มเอะใจขึ้นมาแล้ว เยี่ยเทียนเอาแต่เซ้าซี้หลิวติงติงให้เรียกตัวเองว่าท่านอา แล้วยังยกของที่ล้ำค่าถึงเพียงนี้ให้เป็นของรับขวัญอีก คำตอบก็แทบจะชัดเจนอยู่แล้ว
“คุณรู้จักคุณตาของฉันด้วยหรือ?”
หลิวติงติงก็ตาโตขึ้นมาเหมือนกัน และมองไปที่เยี่ยเทียนอย่างตกตะลึง เธออยู่กับคุณตามาตั้งสิบกว่าปีแล้ว กลับยังไม่เคยได้ยินคุณตาเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
“ฉันเรียกจั่วเจียจวิ้นเป็นศิษย์พี่น่ะแม่หนูน้อย ที่เธอเรียกฉันว่าท่านอาก็ถูกแล้วใช่ไหมล่ะ?”
พอเยี่ยเทียนได้ยินคำถามก็หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาเสียงดัง เขามีตำแหน่งระดับสูงในสมาคมหงเหมินก็จริงอยู่ แต่คนเหล่านั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย แต่กับหลิวติงติงนั้นไม่เหมือนกัน เพราะว่าเธอเป็นลูกหลานของศิษย์พี่ร่วมสำนัก
“อะไรนะ? เยี่ยเทียน เธอเป็นศิษย์น้องของจั่วเจียจวิ้นงั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนก็ตกตะลึงยิ่งกว่าหลิวติงติงเสียอีก เขากับจั่วเจียจวิ้นเป็นเพื่อนกันมา ตั้งเกือบสามสิบปีแล้ว กลับไม่รู้เลยสักนิดว่าเขามีศิษย์น้องอยู่ด้วย
“อย่างนั้น…อย่างนั้นเราก็ต้องเรียกน้องจั่วเป็นท่านปรมาจารย์เหมือนกันน่ะสิ?”
ถังเหวินหย่วนพึมพำกับตัวเองด้วยความตกตะลึงสุดขีด เขาอายุมากกว่าจั่วเจียจวิ้นตั้งสิบกว่าปี ปกติที่เรียกอีกฝ่ายว่าน้องก็ถือว่าเขาให้เกียรติจั่วเจียจวิ้นมากพออยู่แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะมีลำดับอาวุโส สูงกว่าตนมากขนาดนี้
เมื่อเห็นถังเหวินหย่วนท่าทางลำบากใจ เยี่ยเทียนก็ยิ้มแย้ม “ศิษย์พี่รองจบจากสำนักไปนานแล้ว ก็เลยไม่รู้เรื่องหลายๆ อย่างเกี่ยวกับอาจารย์ คุณก็คุยกับเขาไปสบายๆ นั่นแหละ มันไม่เกี่ยวอะไรกับกลุ่ม ชิงปังสมาคมหงเหมินหรอก”
“อย่างนั้นก็ดี อย่างนั้นก็ดี!”
พอได้ฟังเยี่ยเทียนอธิบาย ถังเหวินหย่วนก็ค่อยวางใจลง ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องที่กลุ่มชิงปังสมาคมหงเหมิน มีปรมาจารย์ระดับ ‘บิ๊ก’ เพิ่มขึ้นมาอีกคนแพร่ออกไปละก็ กลุ่มสมาคมทั้งสองจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงแน่ๆ
ควรทราบว่า เยี่ยเทียนไม่ได้มีรากฐานอยู่ในสังคมข้างนอก ถึงนับลำดับอาวุโสแล้วจะมีตำแหน่งสูงมาก แต่ก็เป็นเพียงตำแหน่งลอยๆ เท่านั้น อย่างมากก็แค่ได้รับความเคารพจากคนอื่น แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย
แต่จั่วเจียจวิ้นนั้นไม่เหมือนกัน เดิมทีเขาก็มีสถานะในแวดวงคนเชื้อสายจีนที่สูงมากอยู่แล้ว จึงมีคนรู้จักในวงกว้าง ถ้าเขาเข้าสู่สมาคมหงเหมินโดยอ้างตำแหน่งนี้ ก็ต้องจะกลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งเลยทีเดียว
“นี่ ที่คุณพูดมาน่ะจริงรึเปล่า? คุณเป็นศิษย์น้องของคุณตาฉันจริงๆ น่ะหรือ?”
หลิวติงติงไม่เข้าใจเรื่องที่เยี่ยเทียนกับถังเหวินหย่วนคุยกัน เธอพูดขัดทั้งสองคนขึ้นมา พลางมองไปที่ เยี่ยเทียนอย่างคลางแคลงใจ
“ฉันจะไปพูดเล่นหลอกเธอทำไมล่ะ?” เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ แม่หนูคนนี้นี่หัวแข็งจริงๆ
“ที่ฉันมาฮ่องกงคราวนี้น่ะยังมีเรื่องพัวพันอยู่ เลยไม่สะดวกจะไปเยี่ยมศิษย์พี่รอง เอาอย่างนี้ไหมล่ะ เธอไปบอกเขาว่า มีศิษย์น้องมาจากแผ่นดินใหญ่คนหนึ่ง อยากให้ศิษย์พี่มาเจอกันสักครั้งก็แล้วกัน!”
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า จั่วเจียจวิ้นได้ร่ำเรียนวิชามาจากอาจารย์มากแค่ไหน แต่ศาสตร์ของสำนักเสื้อป่านในยุคแรกๆ ได้ตกหล่นสูญหายไปแล้ว ดังนั้นพลังฝีมือของ ศิษย์พี่รองในด้านศาสตร์การโจมตีจึงไม่น่าจะสูงมากนัก เยี่ยเทียนจึงไม่อยาก ชักนำเคราะห์ร้ายไปถึงบ้านของเขา
ตามที่เยี่ยเทียนคาดการณ์ไว้ กว่าซ่งเสี่ยวหลงจะมีปฏิกิริยาและส่งคนมาตามล่าที่ฮ่องกง อย่างน้อยๆ ก็คงต้องใช้เวลาอีกสามวัน ถ้าเชิญจั่วเจียจวิ้นมาพบกันในวันนี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่โตนัก
“คุณรอเดี๋ยวนะ ฉัน…ฉันจะไปโทรศัพท์ก่อน” เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนบอก หลิวติงติงก็ไม่ลังเล หยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องเล็กออกมาแล้วเดินออกไปข้างนอกทันที
พอหลิวติงติงไปแล้ว เยี่ยเทียนก็หันมาพูดกับกงเสี่ยวเสี่ยวว่า “คุณนายกงครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ผมมาฮ่องกงคราวนี้ยังมีธุระส่วนตัวอยู่นิดหน่อย ช่วงนี้เลยยังใช้ศาสตร์พยากรณ์ไม่ได้ เรื่องเกี่ยวกับสามีของคุณนั้น คงต้องรอให้เรื่องของผมคลี่คลายไปก่อน แล้วถึงจะช่วยทำนายให้คุณได้นะครับ!”
ฝูอี๋หายตัวไปนานถึงแปดปีแล้ว และในตอนที่เกิดเรื่องขึ้นนั้นก็อยู่กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งพลังชี่ปะปนกันไปหมด กรณีแบบนี้คงจะทำนายได้ยากไม่ใช่เล่นเลย ดังนั้นเยี่ยเทียนจะต้องเสียพลังไปอย่างมหาศาลแน่ๆ
แต่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรือนสี่ประสานที่ปักกิ่งซึ่งอุดมไปด้วยปราณวิเศษ ถ้าเสียพลังชี่ไปแล้วไม่ได้รับพลังทดแทนละก็ คงจะไม่เป็นผลดีอย่างยิ่งต่อศึกที่อาจจะเกิดขึ้นกับเยี่ยเทียนต่อจากนี้ไป
“ได้ค่ะ อา…อาจารย์เยี่ย ฉันจะรอ ฉันรอได้ค่ะ แต่คุณต้องช่วยฉันจริงๆ นะ!”
กงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก เธอเองก็เคยให้คนประหลาดมนุษย์พิสดารสารพัดแบบมาทำนาย หาตำแหน่งของสามีแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จผล อย่างคุณตาของหลิวติงติงก็เคยพยายามทำนายให้อยู่วันหนึ่ง แต่สุดท้ายท่านกระอักเลือดจึงต้องยุติลง
ในเมื่อเยี่ยเทียนพูดอย่างมั่นใจขนาดนี้ และเมื่อครู่กงเสี่ยวเสี่ยวก็ได้เห็นฝีมือของเขากับตาแล้ว มิหนำซ้ำถังเหวินหย่วนยังยกย่องนับถือเขาอีกด้วย กงเสี่ยวเสี่ยวจึงนำความหวังที่จะเสาะหาร่างของสามีให้พบ มาฝากไว้กับเยี่ยเทียนจนหมดแล้ว
“วางใจเถอะครับคุณนายกง สามีคุณใช้ชีวิตอย่างสมถะ ตามหลักแล้วก็ไม่น่าจะมาประสบกับเคราะห์กรรมแบบนี้เลย เขาจะต้องได้ไปสู่สุคติแน่นอน คุณกลับไปก่อนเถอะนะ ถึงเวลาแล้วผมจะติดต่อคุณไปเอง!”
เยี่ยเทียนตอบรับคำขอของกงเสี่ยวเสี่ยว ขณะเดียวกันก็พูดส่งแขกกลับไปก่อน เพราะตอนที่เขาจะพบกับศิษย์พี่นั้น ไม่อยากให้มีคนนอกมาอยู่ด้วย หลังจากพูดประโยคนี้จบ สายตาก็เหลือบผ่านไปที่ถังเหวินหย่วนอย่างเป็นนัยๆ
“เอาละ น้องเสี่ยวเสี่ยว ฉันจะไปส่งเธอเองนะ” ถังเหวินหย่วนมีชีวิตอยู่มานานจนแทบจะบรรลุอยู่แล้ว แล้วจะไม่เข้าใจความคิดของเยี่ยเทียนได้อย่างไรกัน?
……