ทั้งจั่วเจียจวิ้นและหลี่ซั่นหยวนต่างก็เป็นคนส่านซี เขารู้จักบ้านเกิดของอาจารย์ ตั้งแต่ปี 80-90 ได้กลับไปสามสี่ครั้งได้ แต่กลับไม่ได้ข่าวของอาจารย์เลย คิดว่าอาจารย์เสียชีวิตแล้ว จึงหยุดการตามหา
แต่เมื่อทราบจากเยี่ยเทียนว่าอาจารย์เพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อน ความทรงจำคำสอนของอาจารย์ ฉากแล้วฉากเล่าผุดขึ้นมา จั่วเจียจวิ้นรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งจนร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“คุณตา เป็น…เป็นอะไรไป?”
ในสายตาของหลิวติงติงคุณตาเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมหนักแน่นไม่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็น ตาของเขาเศร้าโศกมากขนาดนี้ จนอดใจเสียไม่ได้
“ไป ไป ไปทางโน้น…” จั่วเจียจวิ้นปาดน้ำตาพลางดันหลังหลานสาวให้หลบออกไป ตอนนี้เขาตกอยู่ใน ห้วงความโศกเศร้าต่อการจากไปของอาจารย์
“อาจารย์ อาจารย์ท่านอยู่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าปี ถือว่าอายุยืนมากแล้ว ตอนที่จากไปก็ไม่ได้เจ็บป่วยไม่ทุกข์ทรมาน ในวงการของคนแบบเรามันไม่ง่ายเลย อย่าเสียใจไปเลย!”
เยี่ยเทียนเองก็รู้สึกเศร้าตามไปด้วย แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องคุยกับจั่วเจียจวิ้น ซึ่งจะให้นั่งคุยกันอยู่ตรงประตู คงไม่เหมาะ? จึงได้ประคองจั่วเจียจวิ้นให้ลุกขึ้นยืน แล้วออกแรงลาก “ศิษย์พี่ เราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ!”
“หืม?”
เยี่ยเทียนดึงจั่วเจียจวิ้น แต่เขาไม่ได้ขยับตัวเลยสักนิด แล้วยิ้มออกมา จะกล้าเรียกเขาว่าศิษย์พี่คงต้องทดสอบดูกำลัง กันสักหน่อย ถึงจะยอมใหเรียกได้?
เยี่ยเทียนคิดไม่ผิด เมื่อครู่ตอนที่พบกัน จั่วเจียจวิ้นสัมผัสได้ถึงพลังงานอันคุ้นเคยในตัวเยี่ยเทียน มีเพียงสำนัก เสื้อป่านเท่านั้นที่สามารถฝึกวิชานี้ได้
แต่ไม่ว่าเขาจะทดสอบยังไง ก็ไม่สามารถรู้สึกได้ถึงพลังลมปราณแท้ในตัวเยี่ยเทียน ทำให้เขารู้สึกยากจะหยั่งถึง ตอนที่เยี่ยเทียนใช้มือดึงเขา จั่วเจียจวิ้นหายใจเข้าแล้วทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้น
“ศิษย์พี่ เราเข้าไปข้างในกันดีกว่า!”
เยี่ยเทียนหัวเราะ พูดซ้ำประโยคเมื่อครู่อีกครั้ง ครั้งนี้เขาสอดมือใต้แขนทั้งสองของจั่วเจียจวิ้นใช้กำลังเพียงห้าส่วน ออกแรงยกขึ้นมา
“เอ๋..”
จั่วเจียจวิ้นที่นั่งอยู่กับพื้นรู้สึกถึงแรงมหาศาลที่ตนต้านไม่ไหวออกมาจากมือของเยี่ยเทียน ยังไม่ทันได้เดินพลังเลย ร่างกายเขาก็ถูกเยี่ยเทียนยกลอยขึ้นมา
“ศิษย์น้อง ฝีมือดีนี่ อาจารย์ชรามากแล้วยังรับนายเป็นศิษย์ เป็นความโชคดีของสำนักเราแล้ว!”
ถึงจะประหลาดใจว่าเยี่ยเทียนอายุน้อยแต่กลับมีพลังมากขนาดนี้ จั่วเจียจวิ้นรู้สึกยินดีจนยิ้มออกมา การทดสอบเมื่อครู่ช่วยบรรเทาความเศร้าโศกลงได้บ้าง
“คุณตา เป็นอะไรไปคะ? เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ เหมือนเด็กเลย?”
หลิวติงติงมาเห็นเข้า ตั้งแต่คุณตาได้พบกับเยี่ยเทียน ความโดดเดี่ยวของคุณตาเหมือนจะแปรเปลี่ยนกลาย เป็นคล้ายเด็กน้อยคนหนึ่ง
“เธอจะรู้อะไร แบบนี้เขาเรียกว่าแสดงออกจากใจจริง ศิษย์น้อง ไป เข้าไปเล่าให้พี่ฟังหน่อยว่า หลายปีมานี้ อาจารย์เป็นยังไง!”
จั่วเจียจวิ้นจูงมือเยี่ยเทียนเข้าไปในห้อง เขาอยากรู้จริงๆว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา อาจารย์ไปหลบอยู่ที่ไหน
“ว้าว นี่เป็นอาวุธของเธอหรือ?” เพิ่งจะเดินเข้าไปในห้องรับแขก จั่วเจียจวิ้นเห็นง้าวจันทร์เสี้ยวปักอยู่บนพื้นหินแกรนิต ก็ตกใจจนร้องออกมา
เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ จั่วเจียจวิ้นเอื้อมมือไปจับด้ามง้าว แล้วสูดหายใจเข้าแรงๆทีหนึ่ง แล้วคำรามเสียงดังออกมาว่า “ขึ้น!”
ตามเสียงคำรามปล่อยพลัง ง้าวจันทร์เสี้ยวถูกดึงออกมา แต่ด้วยน้ำหนักของง้าวที่หนักเกินความคาดหมายของเขา เมื่อยกง้าวขึ้นมาแล้ว ต้องใช้มือซ้ายช่วยถือง้าวเอาไว้ให้มั่น
มือทั้งสองจับง้าวอยู่ จั่วเจียจวิ้นทำท่าแทงและฟัน เสียงลมหายใจหนักขึ้นตามมา อายุปาเข้าไปตั้งหกสิบกว่าแล้ว พละกำลังจะไปสู้คนหนุ่มอย่างเยี่ยเทียนได้อย่างไร
หลังจากนำง้าวปักลงไปบนรูที่พื้นตามเดิมแล้วก็ชมไม่หยุดปาก “ง้าวดี ดีมาก แม่ทัพโบราณที่สามารถใช้ง้าวพวกนี้ได้ คงจะมีไม่มาก มีง้าวเล่มนี้คอยพิทักษ์อยู่ บ้านของถังเซิงจะไม่มีภัยร้ายมาย่ำกรายได้!”
ตอนที่มือสัมผัสกับอาวุธ จั่วเจียจวิ้นสัมผัสได้ถึงพลังงานพิฆาตที่พวยพุ่งออกมา ถึงเขาจะไม่ทราบว่านี่เป็นเครื่องราง ที่ใช้โจมตี แต่พิฆาตสยบพิฆาต การที่มีอาวุธอยู่ที่นี่ ไม่มีพลังงานชั่วร้ายจากภายนอกกล้าเข้ามาใกล้
“เห็นหรือยัง คุณตาของฉันน่ะยกง้าวอันนี้ไหวด้วย เยี่ยเทียน ไม่ได้แค่นายคนเดียวนะที่ใช้เป็น!”
หลิวติงติงเมื่อเห็นคุณตายกง้าวได้ก็ได้ใจใหญ่ แม้ว่าเธอจะเห็นว่าการเคลื่อนไหวของคุณตายังเทียบเยี่ยเทียนไม่ได้ แต่ก็ถือว่าไม่ขายหน้าเขา
“หืม?” เยี่ยเทียนยังไม่ทันตอบกลับ จั่วเจียจวิ้นหน้าตาขึงขังขึ้นมา “ชื่อของเยี่ยเทียนเธอเรียกเฉยๆได้เหรอ? ไม่มีมารยาทเลย ต้องเรียกว่าอาจารย์อา!”
คนมีอายุมักให้ความสำคัญกับลำดับอาวุโส เยี่ยเทียนเป็นศิษย์น้องของจั่วเจียจวิ้น ตามศักดิ์ก็ควรจะเป็นคนรุ่นเดียว กับคุณตาของเธอ ถึงจะรักเอ็นดูหลานสาวคนนี้มาก แต่เขาจะยอมให้ผิดลำดับอาวุโสไม่ได้เด็ดขาด
“คุณตา เขา…เขาไม่ได้โตกว่าหนูเท่าไหร่”
หลิวติงติงได้ฟังก็รู้สึกน้อยใจ ตั้งแต่เด็กจนโต คุณตาจะเข้มงวดกับเธอเฉพาะตอนที่ฝึกยุทธเท่านั้น แต่ยังไม่เคยดุเธอมาก่อน
“บังอาจ ไม่รู้จักมารยาทเลย รีบขอโทษอาจารย์อาเดี๋ยวนี้!” จั่วเจียจวิ้นโมโห ดึงเอาง้าวลอยขึ้นแล้ว กระแทกหนักๆลงไปบนพื้น
เสียง”ปัง”ดังสนั่น พื้นกระเบื้องหินอ่อนของบ้านถังเหวินหยวนแตกกระจายเป็นชิ้นส่วน พร้อมทั้งรอยร้าว โดยรอบเป็นไยแมงมุม
เมื่อเห็นคุณตาโกรธขนาดนี้ หลิวติงติงตกใจใหญ่ รีบหันไปกล่าวขอโทษเยี่ยเทียน “ขอโทษค่ะอาจารย์อา!” ขอบตาเริ่มแดงจะร้องไห้ออกมา
จั่วเจียจวิ้นเห็นหลานสาวเอ่ยคำขอโทษแล้ว สีหน้าจึงจะสงบลง หันไปบอกเยี่ยเทียนว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เด็กคนนี้ถูกตามใจจนเคยตัว ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง นายอย่าได้เก็บมาใส่ใจ”
จั่วเจียจวิ้นติดตามอาจารย์ตั้งแต่เด็ก ไม่มีทั้งศิษย์พี่ศิษย์น้อง จนได้พบกับเยี่ยเทียนจึงรู้สึกใกล้ชิดคุ้นเคยขึ้นมา
เยี่ยเทียนโบกมือ “ไม่เป็นไร ศิษย์พี่จั่ว ผมว่าพลังของติงติงก็ไม่เลว แต่ไม่รู้วิชาเวทย์ ทำไมศิษย์พี่ไม่สอนเธอล่ะ?”
เยี่ยเทียนมองออกว่าหลิวติงติงมีพลังยุทธแต่ไม่มีความรู้เรื่องฮวงจุ้ยและการทำนาย
จั่วเจียจวิ้นไม่ได้รับการสืบทอดวิชาการต่อสู้ของสำนักเสื้อป่าน แต่การดูฮวงจุ้ยทำนายดวงชะตานั้นเป็นวิชาแท้ ของหลี่ซั่นหยวน จึงทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่เข้าใจ
จั่วเจียจวิ้นยังไม่ทันตอบ หลิวติงติงเบ้ปากพูดขึ้นมาว่า “คุณตาบอกว่าตามกฏสำนักถ้าอาจารย์ทวดไม่อนุญาตก็จะไม่ถ่ายทอดวิชาให้หนู!”
“มีกฎนี้ด้วยเหรอ?” เยี่ยเทียนหันมามองจั่วเจียจวิ้น เขาเองก็เป็นศิษย์ของสำนักเสื้อป่าน ทำไมไม่เคยได้ยินกฎข้อนี้เลย?
“ศิษย์น้องเยี่ย ตอนที่ฉันจากอาจารย์มา อาจารย์เคยบอกว่า วิชาของสำนักเราจะถ่ายทอดให้ใครไม่ได้ง่ายๆ ก็เลย…”
แม้ว่าหลิวติงติงจะเป็นหลานสาวแท้ๆ จั่วเจียจวิ้นก็ยังยึดมั่นในคำสั่งของอาจารย์ จึงสอนแต่วิชาการต่อสู้ให้ ส่วนศาสตร์การทำนายนั้น กลับไม่กล้าสอนพร่ำเพรื่อ
จั่วเจียจวิ้นอยากจะตามหาอาจารย์ เพื่อขออนุญาตรับหลิวติงติงเป็นศิษย์ในสำนักเสื้อป่าน แต่อาจารย์จากโลกนี้ไปแล้ว ความปรารถนาของเขาจึงไม่อาจเป็นจริงได้
“ใช่แล้ว ศิษย์น้องเยี่ย อาจารย์…อาจารย์ได้ถ่ายทอดวิชาให้นายหมดเลยใช่ไหม?”
สิ่งที่จั่วเจียจวิ้นหมายถึง คือเหรียญสัมฤทธิ์ที่ใช้การผูกกว้าทำนายและเข็มทิศดูฮวงจุ้ย อาจารย์ท่านได้มอบของเหล่านี้ให้ใคร คนนั้นก็จะเป็นศิษย์เอกของสำนักเสื้อป่านและเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป
ถึงนักพรตเฒ่าจะไม่อยู่แล้ว ถ้าเยี่ยเทียนเป็นผู้สืบทอดก็สามารถรับหลิวติงติงเป็นศิษย์ในสำนักได้ จั่วเจียจวิ้นจึงได้ถามออกมา
“ศิษย์พี่ อาจารย์ได้มอบของพวกนั้นให้ผมแล้ว!” เยี่ยเทียนพยักหน้า ค้นของในกระเป๋าหยิบเอา เข็มทิศที่ดูประณีตวิจิตรกว่าเข็มทิศทั่วไปออกมา
“เป็น…เป็นเข็มทิศของอาจารย์จริงๆ?”
เมื่อเห็นเข็มทิศอันนั้น จั่วเจียจวิ้นก็ตื้นตัน คุกเข่าลงตรงหน้าเยี่ยเทียน ประกาศออกมาว่า “ศิษย์สำนักเสื้อป่านรุ่นที่ห้าสิบเอ็ดจั่วเจียจวิ้น ขอคารวะท่านเจ้าสำนัก!”
แม้สมาชิกในสำนักจะมีน้อย แต่กฏเกณฑ์ยังควรพึงปฏิบัติ ตอนที่เยี่ยเทียนพบกับจั่วเจียจวิ้นเป็นครั้งแรก ได้ทำความเคารพแล้ว ตอนนี้กลับเป็นจั่วเจียจวิ้นกำลังคำนับเยี่ยเทียน
“ศิษย์พี่ รีบลุกขึ้น เราเป็นศิษย์ร่วมสำนักกัน ไม่ต้องมากพิธีหรอก!”
เยี่ยเทียนรีบประคองจั่วเจียจวิ้นให้ลุกขึ้น พาเขานั่งลงบนโซฟา “ศิษย์พี่ ผมจะเล่าเรื่องราวของ อาจารย์ในหลายปีนี้ให้ฟังนะ!”
จั่วเจียจวิ้นพยักหน้า “ดี ดี ศิษย์น้องรีบเล่าเลย แล้วหลุมฝังศพของอาจารย์อยู่ที่ไหนบอกฉันด้วย ฉันจะได้ไปกราบไหว้ด้วย!”
เยี่ยเทียนเริ่มเล่าตั้งแต่หลี่ซั่นหยวนลี้ภัยไปที่ภูเขาเหมาซาน เรื่องที่รับตนเป็นศิษย์ ทั้งหมดถูกเล่าอย่างละเอียด แต่การสืบทอดวิชาของอาจารย์ในอารามเต๋านั้นต้องปิดเป็นความลับ
ใช้เวลาถึงสามสี่ชั่วโมง คนหนึ่งเล่าด้วยหัวใจพองโต อีกคนฟังด้วยความอาดูร ต่างคนต่างรำลึก ถึงอาจารย์ในความทรงจำ
“อาจารย์ ผมขอโทษ…ผมผิดไปแล้ว!”
เมื่อเล่าจบ จั่วเจียจวิ้นรู้สึกเจ็บปวดหัวใจยิ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าหลายปีนี้อาจารย์จะอยู่อย่างลำบาก เพื่อจะซ่อมอารามแล้ว ต้องยอมลงจากเขาไปทำการหลอกผี
“โถ่ ผม…ผมว่า นายน้อย นี่…เป็นอะไรไป?”
ตอนที่จั่วเจียจวิ้นกำลังเศร้าใจ อาติงก็ถือกล่องอาหารเข้ามาในห้องรับแขก ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองกว่าแล้ว เขากลัวเยี่ยเทียนจะหิว จึงเตรียมอาหารมาให้
แต่พออาติงเข้าประตูมา เห็นจั่วเจียจวิ้นในสภาพแบบนี้ก็ตกใจใหญ่ จั่วเจียจวิ้นที่เขารู้จักเป็นคนที่ได้รับ สมญานามว่า “เทวดาเดินดิน” ในฮ่องกง อาติงไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน
เยี่ยเทียนโบกมือให้อาติง พูดว่า “ไม่เป็นไร เอาอาหารไปไว้ในห้องอาหารเถอะ เดี๋ยวพวกเราตามไป หาเหล้าดีๆออกมาสองสามขวด ฉันจะดื่มกับศิษย์พี่เสียหน่อย”
……