“คือนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว!”
หลังจากได้ยินจั่วเจียจวิ้นเล่าให้ฟัง สายตาของเยี่ยเทียนจึงเผยความเย็นชาออกมา กลิ่นอายของแรงอาฆาตได้แผ่ปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา ทำให้ท่าทางของหลิวติงติงที่กำลังทานอยู่เชื่องช้าลง
ถึงแม้แรงอาฆาตของเยี่ยเทียนจะถูกปล่อยออกมาเพียงครู่เดียว แต่กลับทำให้หลิวติงติงสัมผัสถึงมันได้จริงๆ ในช่วงวินาทีนั้น จู่ๆ เธอรู้สึกเหมือนมีสัตว์ดุร้ายนั่งอยู่ข้างกายตัวเอง ทำให้เธอขนลุกขนพองไปทั้งตัว
เดิมทีหลิวติงติงที่ไม่ค่อยให้ความเคารพเยี่ยเทียนสักเท่าไร เวลานี้กลับทำให้เธอรู้ซึ้งถึงความแตกต่าง ระหว่างเธอกับคุณอาอายุน้อยคนนี้อย่างแท้จริงแล้ว!
“ศิษย์น้องคนนี้มีแรงอาฆาตเยอะมาก สงสัยจะฆ่าคนมาไม่น้อย?”
เรื่องที่หลิวติงติงสัมผัสได้ มีหรือจะรอดพ้นการตอบสนองของจั่วเจียจวิ้น แต่สิ่งที่เขาสงสัยก็คือ วิชาการโจมตี ของอาจารย์ที่หายสาบสูญไปแล้ว แต่ทำไมเยี่ยเทียนถึงมีแรงอาฆาตสูงมากขนาดนี้?
“ศิษย์น้องเยี่ย นายกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ก็เคยมีเรื่องบาดหมางกันเหรอ?” เมื่อเห็นการตอบสนองตอน ที่เยี่ยเทียนได้ยินชื่อนี้ จั่วเจียจวิ้นจึงถามออกมาโดยตรง
เยี่ยเทียนไม่ได้ตอบคำถามของจั่วเจียจวิ้น แต่กลับถามว่า ” ศิษย์พี่จั่ว พี่รู้ไหมว่าทำไมนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ต้องลงมือกับพี่?”
จั่วเจียจวิ้นส่ายหน้าพลางพูด “ไม่รู้ แต่ก่อนพี่เคยไปสถานที่หนึ่ง และมักจะใช้การต่อสู้เพื่อมิตรภาพมาโดยตลอด ไม่เคยทำเรื่องที่เกินเลย และก็ไม่เคยผิดใจกับใคร แต่การกระทำของพระสงฆ์แก่รูปนั้นพี่ก็ยังไม่เข้าใจจนถึงตอนนี้!”
ตอนนั้นตอนที่จั่วเจียจวิ้นไปเที่ยวหาประสบการณ์ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทุกที่ที่เขาเข้าไปล้วนแต่ทำตาม กฎของยุทธจักรทั้งสิ้น แถมยังเข้ากันได้ดีกับพวกนักมวยท้องถิ่นและพวกฝึกวิชาลึกลับ
ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมา จั่วเจียจวิ้นก็ยังไม่เข้าใจตัวของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ดีว่า จุดประสงค์ ในการโจมตีของเขาคืออะไรกันแน่?
“ตอนนั้นอาจารย์กับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เคยประมือกัน แต่รายละเอียดเป็นยังไงพี่ก็ไม่แน่ใจ เพราะท่านอาจารย์ท่านก็ไม่ได้พูดอะไร แต่น่าจะเป็นนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่เสียเปรียบแน่”
เยี่ยเทียนมองไปยังจั่วเจียจวิ้น แล้วพูด “การขับเคลื่อนของชี่ในตัวของศิษย์พี่จั่วมีความคล้ายคลึงกับของท่านอาจารย์มาก ผมคิดว่าจึงเป็นเหตุให้นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จำได้ ถึงได้มีการโจมตีพี่นั่นเอง!”
ตอนที่หลี่ซั่นหยวนรับจั่วเจียจวิ้นเป็นลูกศิษย์นั้น เป็นช่วงที่ประเทศจีนเพิ่งจะสถาปนาและมีความคิด อันแรงกล้าที่จะกำจัดลัทธิไสยศาสตร์ให้หมดไป นอกจากเขาจะถ่ายทอดวิชาการดูดวงทำนายโชคชะตาและวรยุทธ ให้กับจั่วเจียจวิ้นแล้ว เขาจะพูดถึงสิ่งที่ตัวเองทำในตอนนั้นน้อยมาก
แต่สำหรับเยี่ยเทียน ตอนแรกท่านนักพรตก็ไม่ได้พูดเรื่องในอดีตที่เขาออกไปต่อสู้ในโลกยุทธภพเช่นกัน จนกระทั่งสองปีสุดท้ายของชีวิต เขาได้เผยความลับบางอย่างของยุทธภพให้เยี่ยเทียนฟัง และหนึ่งในนั้นก็รวมถึงเรื่องเขาเคย ประมือกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ประเทศไทย
และจากวิธีการพูดของท่านนักพรต น่าจะเป็นนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เดินทางเข้ามาในประเทศจีน ช่วงต้นปี 1830
ถึงแม้นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จะบอกว่ามาเพื่อขอคำแนะนำวิชาลึกลับของประเทศจีน แต่เขากลับลงมืออย่างโหดเหี้ยมมาก พวกคนที่ฝึกวิชาลึกลับที่เคยประมือกับเขา ล้วนแต่เสียชีวิตกะทันหันในที่เกิดเหตุทุกคน
วิธีการของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เป็นเหตุทำให้หลี่ซั่นหยวนโกรธมาก หลังจากพวกเขานัดประลอง วิชาคาถาแล้ว หลี่ซั่นหยวนจึงสร้างค่ายกลพิฆาตกักขังเขา
แต่ไม่คิดว่าวิชาไสยศาสตร์ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จะมีความแปลกประหลาดและเล่ห์เหลี่ยม แพรวพราวขนาดนี้ จนสามารถทำลายค่ายกลได้ และเนื่องจากหลี่ซั่นหยวนขาดวิชาการโจมตี สุดท้ายเขากับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จึงสิ้นสุดโดยการบอบช้ำทั้งสองฝ่าย
หลังจากตอนนั้น นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เข้ามาในประเทศจีนตลอดชีวิต ส่วนหลี่ซั่นหยวนก็ออกจากยุทธภพ ใช้ชีวิตอย่างสันโดษถึงแม้ท่านนักพรตจะไม่พูดรายละเอียดมาก แต่เยี่ยเทียนก็สามารถสัมผัสได้ว่า ระหว่างสองคนนี้ ต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันแน่นอน
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้?”
พอได้ยินเยี่ยเทียนเล่าเรื่องอดีตของท่านอาจารย์ให้ฟัง จั่วเจียจวิ้นจึงเข้าใจทันที ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนั้น ตัวเองขอพักค้างคืนและสีหน้าของพระสงฆ์แก่รูปนั้นจึงแปลกประหลาดมาก พอตกกลางคืนก็บุกเข้ามาโจมตี ตัวเองโดยไม่สนใจฐานะของเขาเลย
การฝึกวิชานอกรีต เวลาที่ยังไม่ได้ลงมือยากที่จะวิเคราะห์ว่าเป็นวิชาของสำนักไหน เพราะกำลังภายในของวิชา แต่ละสำนักไม่เหมือนกัน แต่จากการฝึกฝนจิตของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ แค่มองปราดเดียวก็สามารถจำแนก ถึงการถ่ายทอดวิชาของจั่วเจียจวิ้นได้อยู่แล้ว
“ศิษย์พี่ใหญ่รู้เรื่องมากที่สุด ตอนนั้นท่านอาจารย์น่าจะเล่าให้เขาฟังแล้ว อ้อใช่ ศิษย์พี่จั่ว พี่น่าจะเคยไป ไต้หวันมาก่อน ไม่ทราบว่าสามารถติดต่อศิษย์พี่ใหญ่ได้ไหม? “
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็นึกขึ้นได้ ว่าพวกเขายังมีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่ไต้หวัน จากคำบอกกล่าวของหลี่ซั่นหยวน ศิษย์พี่คนนี้ติดตามเขามานานที่สุด การทำนาย ลักษณะพื้นภูมิของสุสานก็แม่นนัก น่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงส่ายหน้า พลางพูด “ไม่มีเลย พี่เคยไปไต้หวันในปี 1970 แต่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่เคยได้ข่าวคราวของศิษย์พี่ใหญ่ หรือบางที ตอนนั้นอาจจะเกิดอุบัติเหตุอะไรก็ได้?”
ศิษย์คนโตของหลี่ซั่นหยวนชื่อว่าสวินซินเจีย ตอนที่เขาอายุยี่สิบกว่าปีนั้นก็ได้เป็นนายทหารยศพันตรี ของรัฐบาลแห่งชาติแล้ว หลังจากพรรคกั๋วหมินต่างพ่ายแพ้ให้กับไต้หวันในปี 1949 สวินซินเจียจึงพาครอบครัว ย้ายไปอยู่ที่ไต้หวัน
ตามหลักแล้วคนที่มีชื่อเสียงน่าจะตามหาตัวได้ง่าย แต่เมื่อจั่วเจียจวิ้นนำทหารเก่าจำนวนไม่น้อยไปที่ไต้หวัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รู้จักครอบครัวของสวินซินเจีย แต่กลับไม่มีใครสามารถบอกได้ชัดเจนว่าสวินซินเจียไปอยู่ที่ไหน
ในช่วงภาวะสงคราม ชีวิตบัดซบมากกว่าสุนัขเสียอีก เรื่องที่ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หลังจากเดินทางไปไต้หวันสองสามครั้งก็ไม่เป็นผลสำเร็จ สุดท้ายเขาจึงล้มเลิกความคิดในการตามหาศิษย์พี่ใหญ่
“ถ้าศิษย์พี่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ก็น่าจะอายุแปดเก้าสิบปีแล้ว” เยี่ยเทียนถอนหายใจ เพราะดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เหมือนผู้สืบทอดสำนักเสื้อป่านจะเหลือเพียงเขากับจั่วเจียจวิ้นเท่านั้น
“ศิษย์น้องเยี่ย ในเมื่อนายสืบทอดวิชาความรู้จักท่านอาจารย์แล้ว อย่างนั้นนายก็คือเจ้าของสำนักเสื้อป่านของพวกเรา ดังนั้นศิษย์พี่จึงมีเรื่องอยากขอร้อง! จู่ๆ จั่วเจียจวิ้นก็นึกออกเรื่องหนึ่ง แล้วพูดกับเยี่ยเทียนด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
เรื่องอะไรเหรอศิษย์พี่จั่วว่ามาเลยครับ” เยี่ยเทียนพยักหน้า
จั่วเจียจวิ้นชี้ไปที่หลิวติงติง แล้วพูด “หลานสาวของพี่เป็นคนเฉลียวฉลาด ถึงแม้จะนิสัยไม่ค่อยดี แต่มีพรสวรรค์เกี่ยวกับวิชาเหล่านี้ พี่…พี่อยากรับเธอให้เป็นศิษย์ของสำนักเสื้อป่าน ศิษย์น้องเยี่ย คิดว่าจะเป็นไปได้ไหม?”
“ได้แน่นอนครับ ศิษย์พี่ ขอเพียงเธอมีความประพฤติเรียบร้อย พี่สามารถรับเธอเข้ามาเป็นศิษย์ของสำนักเสื้อป่านได้ อีกอย่างก็ถึงเวลาที่ต้องรับลูกศิษย์เพิ่มแล้ว”
เยี่ยเทียนรับปากอย่างง่ายดาย พลางมองไปที่หลิวติงติงแล้วพูด “ฉันกับปู่ของเธอต่างก็เป็นศิษย์รุ่นที่ห้าสิบเอ็ด ของสำนักเสื้อป่าน แต่ฉันกับศิษย์พี่จั่วยังไม่มีลูกศิษย์เลย สำหรับเธอจึงต้องเป็นรุ่นถัดไป หมายความว่าถ้าเธอเข้ามา เป็นศิษย์ของสำนักแล้ว เธอจะเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ห้าสิบสาม เธอจะยินดีไหม?”
ความสัมพันธ์ของจั่วเจียจวิ้นกับหลิวติงติงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ และเยี่ยเทียนก็ไม่อยากลด ศักดิ์ศรีเพื่อรับหลิวติงติง เป็นศิษย์ แต่ในนามจะต้องจัดให้เธอเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ห้าสิบสาม
“คุณอา ฉันยินดีค่ะ!”
หลิวติงติงพยักหน้าอย่างแรง เพราะตั้งแต่เด็กจนโตเธอก็อยากเรียนวิชาดูดวงทำนายโชคชะตาแล้ว เพียงแต่จั่วเจียจวิ้นถูกท่านอาจารย์กำชับในตอนนั้น ไหนเลยจึงจะกล้าถ่ายทอดให้กับเธอ ตอนนี้มีโอกาสแล้ว เธอยังจะไปสนในเรื่องลำดับศักดิ์ทำไมกัน?
เยี่ยเทียนได้ยินจึงดีใจมาก พลางพูด “ดี ศิษย์พี่ พวกเรารีบจัดโต๊ะบูชาจัดพิธีไหว้ครูและรับศิษย์กัน!”
“อาติง มานี่ มีบางเรื่องที่เธอต้องไปช่วยจัดการให้ฉัน!”
ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ทานอาหารพอประมาณแล้ว เยี่ยเทียนจึงออกไปที่ประตูและตะโกนกำชับอาติง ให้เตรียมหัวหมูผลไม้ต่างๆ มาให้เขา เพราะในฐานะการรับศิษย์เข้าสำนักเสื้อป่านอย่างเป็นทางการ เยี่ยเทียนอยากจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่เสียหน่อย
“ศิษย์น้องเยี่ย จัดง่ายๆ ไม่ได้เหรอ?” หลังจากเห็นการกระทำของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงตกตะลึง เดิมทีเขาอยากให้หลิวติงติงคุกเข่าคำนับเยี่ยเทียนกับตัวเอง ก็สามารถรับเธอเป็นศิษย์ได้แล้ว
“ศิษย์พี่จั่ว จำเป็นสิ”
พวกเรามีหนังสือลำดับญาติของบรรพบุรุษกับบรมครูที่สร้างสำนักขึ้นมา รุ่นต่อรุ่นของสำนักเสื้อป่าน
อยู่ที่บ้านของผม รอให้ผมกลับไปก่อนแล้วค่อยเพิ่มรายชื่อของหลิวติงติง!”
เยี่ยเทียนเคยรับปากท่านนักพรต จะส่งเสริมให้สำนักเสื้อป่านเจริญรุ่งเรือง แต่หากอาศัยเพียงเขา กับจั่วเจียจวิ้นสองคน จึงทำไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับการรับหลิวติงติงเป็นลูกศิษย์มาก
“ผมจำได้ว่าเหล่าถังเคยบอกว่าเขามีห้องวาดภาพอยู่ที่นี่?”
หลังจากสั่งให้อาติงไปเตรียมของไหว้แล้ว เยี่ยเทียนจึงเริ่มค้นหาห้องไปที่ละห้อง แล้วเขาก็หาห้องวาดภาพเจอจนได้ และภายในยังมีแผ่นที่ทับกระดาษวาดภาพ การะดาษเซวียนจื่อและสีอยู่ด้วย
“ศิษย์น้องเยี่ย นายจะทำอะไร?” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนยกแผ่นที่ทับกระดาษวาดภาพหนึ่งอันขึ้นมาอย่างกะทันหัน และทำท่าเหมือนจะวาดภาพบนนั้น ทำให้จั่วเจียจวิ้นกับหลิวติงติงที่อยู่ข้างหลังของเขาต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก และเดาไม่ถูก
“รับติงติิ้งเป็นลูกศิษย์ ยังไงก็ต้องไหว้ปรมาจารย์ปู่บ้างใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ “จะว่าไปแล้วท่านอาจารย์เป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจและมีเหตุผล แต่ท่านไม่ค่อยชอบถ่ายรูป ดังนั้นศิษย์น้องจึงไร้ความสามารถ ไม่มีรูปของท่านอาจารย์ ตอนนี้ผมจึงจะวาดมันออกมา!”
ตอนที่หลี่ซั่นหยวนยังมีชีวิตอยู่ เยี่ยเทียนอยากจะถ่ายรูปกับเขาอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะพูดโน้มน้าวอย่างไร ท่านนักพรตก็ไม่ยอมตกลง ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมา
รอยยิ้มของท่านนักพรตได้ฝังอยู่ในหัวของเยี่ยเทียนมานานแล้ว พอจับพู่กันวาดภาพ รูปภาพของ หลี่ซั่นหยวนก็ปรากฏบนกระดาษทันที
หลังจากเติมสีในขั้นตอนสุดท้าย ทันใดนั้นท่าทางเหมือนดั่งเทพเซียนที่บำเพ็ญตบะในชุดนักพรตเต๋า ก็กระโดดเข้ามาอยู่ในดวงตาของจั่วเจียจวิ้นทันที “ท่านอาจารย์?” จั่วเจียจวิ้นอดคุกเข่าลงไม่ได้ แล้วคำนับสามครั้งให้กับภาพวาดของท่านนักพรต
หลังจากวาดรูปของหลี่ซั่นหยวนแล้ว เยี่ยเทียนจึงวาดรูปของปรมาจารย์ปู่ของสำนักเสื้อป่านอีกที ซึ่งเป็นบุคคลที่เขาคุกเขากราบไหว้ตั้งแต่ยังเยาว์ ไม่ช้า รูปภาพของปรมาจารย์ปู่ก็ปรากฏอยู่บนกระดาษ
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเคยเรียนวาดภาพกับท่านนักพรตตอนเป็นเด็ก แต่ภาพลักษณ์และลักษณะของทั้งสองท่าน ได้ฝังอยู่ในใจของเขามานานแล้ว และความสามารถในการควบคุมชี่แท้ของเยี่ยเทียน ทำให้ท่าทางของทั้งสองท่าน ถูกวาดไปบนกระดาษเรียบร้อย
ขณะที่มองดูรูปภาพทั้งสองภาพนี้ จั่วเจียจวิ้นจึงทำสีหน้าดีใจพลางพูด “เยี่ยเทียน รูปภาพของท่านอาจารย์กับปรมาจารย์ปู่ นายต้องทิ้งเอาไว้ให้พี่นะ หลังจากพี่หาคนปิดกระดาษผนังรอบห้องได้แล้ว พวกเราก็จะเริ่มกราบไหว้บูชา ในวันพรุ่งนี้!”
“ได้ครับ ขอบคุณน้ำใจของศิษย์พี่ครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้นแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกละอายใจไม่หยุด แม้ว่าท่านนักพรตเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่นอกจากเขาจะกลับไปจุดธูปเผากระดาษในช่วงเทศกาลทุกปี เขากลับนึกไม่ถึงว่าแท่นเซ่นไหว้ของ ท่านอาจารย์นั้นอยู่ในบ้านของตัวเอง
ความจริงแล้วก็เกิดจากความแตกต่างของวัฒนธรรม ที่มณฑลกวางตุ้งโดยเฉพาะคนฮ่องกง ชอบนำป้ายวิญญาณของผู้อาวุโสวางไว้ในบ้านและจุดธูปกราบไหว้ แต่ในประเทศจีนกลับเห็นน้อยมาก
……