การประลองอาคมถึงแม้ไม่มีเปลวเพลิงควันไฟ แต่ระดับอันตรายของมัน เสี่ยงต่อชีวิตยิ่งกว่าสงคราม ดาบกับปืนจริงเสียอีก หากพลาดพลั้งไป ก็อาจบาดเจ็บสาหัสล้มลง พบจุดจบอย่างเลวร้ายอันไม่อาจรักษาชีวิตตัวเองได้
อีกทั้งต้นกำเนิดของไสยศาสตร์เมืองไทยก็ถือกำเนิดมาจากเวทมนตร์คาถาในประเทศจีน ทั้งวิชา “เล่นของ” ในประเทศไทยกับ “การสกัดพิษ” ของทางหูหนานและที่ราบสูงยูนนานกุ้ยโจว ต่างถูกศาสตร์วิชาลับ เรียกขานว่า เป็นวิชามาร หลัก 2 ชนิดในตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อได้ยินว่าชาญ ทองทวนอาจมาฮ่องกงเพื่อลอบสังหารเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้นก็เผลอขมวดคิ้ว หลังจากคิด ๆ ดูแล้ว ก็เอ่ยปาก “เยี่ยเทียน ถ้ายังไง…นายถอยก่อนดีกว่า มีฉันเป็นคนรู้จักอยู่ในฮ่องกง เชื่อว่าชาญ ทองทวน คนนั้นคงไม่กล้า มาก่อเรื่องหรอก
สาเหตุที่เวทมนตร์คาถาเสื่อมถอยลง นั้นเป็นเพราะการมีอยู่ของอาวุธเพลิงในยุคปัจจุบัน จั่วเจียจวิ้นเชื่อว่า ต่อให้เวทมนตร์ของชาญ ทองทวนแข็งแกร่งสักแค่ไหน หากใช้ปืนกับเขา เก้าในสิบย่อมสามารถทำให้เขากลายเป็นรูพรุน
ถึงแม้ว่าจะเป็นการฝืนกฎภายในยุทธภพแห่งศาสตร์ลับ แต่เพื่อชีวิตน้อยๆ ของเยี่ยเทียนจั่วเจียจวิ้นเองก็ไม่คิด จะใส่ใจถึงขนาดนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่ใช่คนดีอะไร ในอดีตถ้าหากไม่เป็นเพราะเขาไม่เคารพความเป็นผู้อาวุโส ที่ลอบทำร้ายตน จั่วเจียจวิ้นเองก็คงไม่ถึงกับไร้พลังตอบโต้
ดังนั้นจั่วเจียจวิ้นจึงตัดสินใจในครั้งนี้ ถ้าหากชาญ ทองทวนกล้ากลับมายังฮ่องกง ตัวเขาจะรวมกลุ่มแก๊ง ก่อความวุ่นวายใช้ปืนยิงเขาให้ตาย เพื่อจะได้เป็นการคิดบัญชีที่ตนเองถูกลอบทำร้ายเมื่อในอดีตด้วย
เยี่ยเทียนยิ้มแล้วยิ้มอีก ราวกับเดาความคิดของจั่วเจียจวิ้นออก กล่าวว่า “ศิษย์พี่จั่ว พี่ไม่เชื่อใจผมขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็รีบตอบ “เยี่ยเทียน นายไม่รู้หรอก ว่าในศาสตร์การเล่นของมีวิชาต่ำช้ามากมายกี่ขนาน ถึงขั้นฆ่าคนตายโดยปราศจากร่องรอยได้ แม้วรยุทธ์นายจะสูง ก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานไหว!”
ตอนที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ลอบทำร้ายจั่วเจียจวิ้น เป็นค่ำคืนที่มีลมพายุฝนกระหน่ำฟ้าผ่าโหมรุนแรง ซึ่งเป็นข้อจำกัดหนึ่งของวิชาฝังพิษ เพราะอย่างนั้นเขาจึงหนีเอาตัวรอดมาได้้
ไม่อย่างนั้นด้วยความรอบรู้ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้ตอนนั้นจั่วเจียจวิ้นหนีไป เขาก็สามารถใช้วิชาลับ เชื่อมต่อกับตำแหน่งแล้วติดตามสังหาร
จั่วเจียจวิ้นเพียงกลัวว่าศิษย์น้องของตัวเองคนนี้จะเป็นลูกวัวไม่กลัวเสือ ไปเผชิญหน้าต่อกรกับพวกเล่นของ หากเป็นอย่างนั้นสุดท้ายคนที่จะต้องลำบากก็คือเยี่ยเทียน
“ศิษย์พี่ พี่นึกว่าหลายปีมานี้ท่านอาจารย์ไม่ได้ทำอะไรเลยหรือไง?”
เยี่ยเทียนมองจั่วเจียจวิ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ตัดสินใจว่าในชีวิตนี้จะต้องปรับปรุงวิชาสำนักเสื้อป่าน ในช่วงสุดท้ายของชีวิตได้คิดค้นศาสตร์
โรมรันต่อสู้ พลังอำนาจของมันไม่แพ้ศาสตร์การเล่นของของเมืองไทยหรอก!”
ตามที่เยี่ยเทียนเคยพูดคุยกับหลี่ซั่นหยวนก่อนเสียชีวิต ถ้าหากเป็นไปได้ เยี่ยเทียนสามารถเลือกนำวิชาลับ ถ่ายทอดต่อให้กับศิษย์พี่รองได้ แต่ไม่ครอบคลุมถึงวิชาโรมรัน สาเหตุเป็นเพราะวิชาเหล่านี้โหดร้ายรุนแรง บาดเจ็บถึงพลังชีวิต
แต่พอได้รับรู้ว่าจั่วเจียจวิ้นเคยเกือบต้องเผชิญกับหายนะอันเลวร้ายด้วยไม่อาจใช้วิชา เยี่ยเทียนจึงเปลี่ยนความคิดนี้ เขาไม่อาจทนมองศิษย์สำนักเดียวกันถูกกลั่นแกล้งได้ไม่ใช่หรือ?
แน่นอนว่า เยี่ยเทียนยังไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่ตนเองได้รับสืบทอดมา ดังนั้นจึงยืมชื่อของท่านนักพรตมาใช้ ตระเตรียมถ่ายทอดวิชาให้แก่จั่วเจียจวิ้นในภายหลัง แล้วพูดเป็นว่าหลี่ซั่นหยวนคิดค้นขึ้นมากับมือ
“ศิษย์…ศิษย์น้องเยี่ยเทียน นาย…นายบอกว่าอาจารย์คิดค้นวิชาโรมรันออกมาแล้วหรือ?”
ดังคาด พอจั่วเจียจวิ้นได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ก็ปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยอีกต่อไป ในสายตาของเขาหลี่ซั่นหยวนเป็นผู้ปรีชาสามารถ จะปรับปรุงศาสตร์คาถาอาคมนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
“ใช่แล้วครับศิษย์พี่ รอให้ผ่านพ้นอุปสรรคนี้ไปก่อน แล้วผมจะถ่ายทอดวิชาทั้งหมดนั้นให้แก่ศิษย์พี่ เพียงแต่…”
พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเยี่ยเทียนก็ตึงเครียดขึ้นมา “เพียงแต่วิชาพวกนี้ สามารถเผยแพร่ให้แก่ศิษย์ผู้สืบทอดภายใน สำนักได้เท่านั้น ไม่ถ่ายทอดให้ผู้มีใจคิดคด ไม่ส่งต่อให้ผู้ร้ายอำมหิตฆ่าคน ศิษย์พี่ต้องจำใส่ใจ!”
ศาสตร์วิชาส่วนใหญ่ที่ใช้ทำร้ายมนุษย์โดยไร้ร่องรอยนั้น หากใช้ด้วยเจตนาร้าย นอกจากจะถูกสวรรค์ลงโทษแล้ว สำนักที่เกี่ยวข้องจะไม่อาจทำอะไรได้ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงต้องพูดกฎเกณฑ์ห้ามเผยแพร่สองข้อนี้
เห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนจริงจัง จั่วเจียจวิ้นก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น กล่าวว่า “ได้ ศิษย์น้องเยี่ย ศิษย์พี่จะจดจำใส่ใจ”
แม้ว่าตามรุ่นแล้วจะเป็นศิษย์พี่ของเยี่ยเทียน แต่ว่าเยี่ยเทียนเป็นเจ้าสำนักเสื้อป่านเทพพยากรณ์ คำพูดที่ออกมาจากปากของเยี่ยเทียนคือกฎของสำนัก จั่วเจียจวิ้นต้องฟังและทำตาม
เยี่ยเทียนเห็นบรรยากาศขุ่นเครียดก็หัวเราะออกมาแล้วโบกมือ กล่าวว่า “เอาเถอะ ศิษย์พี่ครับ คราวนี้พี่ก็ไม่กังวลแล้วใช่ไหม? หากชาญ ทองทวนกล้ามาฮ่องกงล่ะก็ ผมจะทำให้เขาไร้หนทางกลับไป!”
เดิมทีเยี่ยเทียนกับชาญ ทองทวนไม่มีความแค้นต่อกัน ทั้งไม่มีจิตคิดสังหาร แต่ว่าพอหลังจากรู้ว่า จั่วเจียจวิ้น ถูกนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ลอบทำร้ายแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่าจะรั้งอยู่ในฮ่องกง เพื่อสืบเสาะข่าวสารเสียก่อน
“เยี่ยเทียน ชาญ ทองทวนมีชื่อเสียงโด่งดังในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ นาย…นายต้องระวังตัวหน่อยล่ะ จากที่ฉันมอง ให้ถังเซิงอัน จัดหามือปืนสักสองสามคนอยู่ใกล้ๆ จะปลอดภัยกว่า”
จั่วเจียจวิ้นกลับไม่ได้มีความมั่นใจมากขนาดเยี่ยเทียน ในสายตาของเขา ต่อให้เยี่ยเทียนได้รับสืบทอด วิชาโรมรันจากอาจารย์ แต่ว่าเขาก็ยังอ่อนวัยอาจไม่สามารถเอาชนะชาญ ทองทวนได้
ที่สำคัญ การฝึกวรยุทธ์เหมือนกับพลังภายใน ล้วนต้องผ่านการสั่งสมฝึกฝนอย่างยากลำบากเป็นแรมเดือนแรมปี จึงจะสามารถนำวิชานั้นมาใช้ได้คล่องมืออย่างใจ เยี่ยเทียนอายุเพียงยี่สิบต้นๆ ต่อให้เขาแข็งแกร่งอย่างไรก็ยังมีขีดจำกัด
เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงว่าหลังจากตนเองพูดถึงชาญ ทองทวนออกไปแล้ว ปฏิกิริยาของจั่วเจียจวิ้นจะรุนแรงปานนี้ นอกจากจะซาบซึ้งแล้วยังรู้สึกทั้งร้องไห้และหัวเราะไม่ออก ด้วยสถานะของเขาในปัจจุบัน หากใช้มือปืนรับมือชาญ ทองทวน เยี่ยเทียนคงไม่มีหน้าไปพบคนคนนั้นจริงๆ
หลังจากคิดอยู่สักพัก เยี่ยเทียนก็กล่าวว่า “ศิษย์พี่ วางใจเถอะ ค่ายกลสำนักเสื้อป่านของพวกเราก็ไม่ได้อ่อนด้อย เดี๋ยวผมวางค่ายกลสังหารแล้ว จะต้องทำให้ชาญ ทองทวนเข้ามาแล้วไร้ทางออกแน่นอน!”
“ใช้ค่ายกลเหรอ? เป็นความคิดที่ดี นายสามารถใช้ค่ายกลของอาจารย์ได้หมดเลยหรือเปล่า?”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ดวงตาของจั่วเจียจวิ้นก็เป็นประกายขึ้นมา ในอดีตนั้นเขาเรียนการเสี่ยงทาย และภูมิลักษณ์พยากรณ์ ฮวงจุ้ยเป้นหลัก ไม่แตกฉานเรื่องค่ายกลนัก แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความเข้าใจ ของจั่วเจียจวิ้นที่มีต่อค่ายกล
การใช้ค่ายกลในยุคแรก ๆ นั้นเพื่อในการเผชิญหน้าระหว่างสองทัพในสมัยโบราณ หากกระทำถูกต้องจะ สามารถทำให้กำลังโจมตีของกองทัพแสดงแสนยานุภาพได้เต็มเปี่ยม
นายทัพมากมายหลงเหลือค่ายกลอันมีชื่อไว้ให้แก่คนรุ่นหลังอยู่บ้าง อย่างเช่นค่ายกลแปดทิศของขงเบ้ง ค่ายกลแตกทัพของเย่วเฟยเย่วอู่มู่และค่ายกลนกเป็ดน้ำของชีจี้กวงเป็นต้น ไม่มีชื่อใดที่ไม่ประสบผลเรืองโรจน์ ในยุคสมัยสงครามเย็น
อีกทั้งแบบแผนของค่ายกลในวิชาลับก็เป็นเช่นนี้ ใช้วิธีการอันละเอียดรอบคอบหาประโยชน์จากช่วงเวลา ที่ฟ้าดินเป็นใจ หยิบยืมเอาพลังพิโรธฟ้าดินรอบข้างมากวาดล้างเอาชนะศัตรู
อย่างเช่นที่หรูอวิ๋น หลงกงซุนเซิ่ง ทลายศาสตร์ชั่วร้ายในการวางผังแปดทิศของเกาเหลียน จนแตกพ่ายครั้งใหญ่ ในตำราเรื่อง “ชายฝั่งน้ำ” ความจริงก็ถือเป็นประเภทหนึ่งของค่ายกล เพียงแต่ไม่ได้เป็นที่รู้จักของผู้คนเท่านั้น
“ศิษย์พี่ วางใจเถอะ มีง้าวพระจันทร์เสี้ยวอยู่ ผมวางค่ายกลเก้าตำหนักพิฆาตอีกชั้น อย่าว่าแต่ชาญ ทองทวนเลย ต่อให้เป็นอาจารย์ของเขา นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ พระชราผู้นั้น ผมก็ยังรับประกันได้ว่าเขาหนีไม่รอดแน่!”
หลังฝึกวรยุทธ์สู่การหลอมรวมพลังชี่เข้ากับจิตวิญญาณแล้ว ความสามารถในการนำศาสตร์ลับที่สืบทอดต่อกันมาใช้ ของเยี่ยเทียนก็มากขึ้นทุกวัน เยี่ยเทียนจึงไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวต่อชาญ ทองทวน
แต่ว่าราชสีห์ต่อสู้กับกระต่ายก็ยังใช้แรงทั้งหมด เยี่ยเทียนเองก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับศาสตร์การเล่นของมากนัก เขาจึงไม่ควรดูแคลนชาญ ทองทวน และวางกับดักใหญ่ล่อ
“ได้ ศิษย์น้อง พี่จะอยู่เป็นเพื่อน ร่วมต่อสู้กับศิษย์ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์กันสักตั้ง!”
ได้ยินคำพูดอย่างนั้นของเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้นก็ฮึกเหิมขึ้นมาก เขามีความแค้นต่อนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธ์มายี่สิบปีกว่า มีหรือ จะไม่อยากกลบฝังความอับอายที่ได้รับเมื่อในอดีต?
“ท่านอา ท่านตา หนูเองก็จะอยู่ด้วย หนูจะช่วยพวกคุณต่อสู้!”
บทสนทนาระหว่างเยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นทำให้แววตาของหลิวติงติงที่อยู่ด้านข้างส่องประกาย แต่ว่าทั้งๆ ที่คุณตาก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ เธอกลับยังคิดจะเข้าร่วมกับทุกคน เด็กสาวคนนี้นับตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยรู้จักว่า อะไรคือความกลัวว
เยี่ยเทียนดึงสีหน้าเครียด ส่ายหัว “ไม่ได้ ติงติงเธอกลับไปก่อน สงครามเวทมนตร์ไม่ใช่สนามเด็กเล่น ถึงเวลาหากมีอะไรผิดพลาดกระทั่งฉันก็ช่วยเธอไม่ได้หรอก อีกอย่างเธออยู่ที่นี่ จะทำให้ฉันเสียสมาธิซะเปล่า!””
สาเหตุที่เยี่ยเทียนออกจากเมืองหลวงมายังฮ่องกง ไม่ใช่เพราะว่ากลัวสงครามคาถาอาคมระหว่างเขากับชาญ ทองทวน จะกระทบต่อครอบครัวหรือไง?
แม้ว่าตอนนี้หลิวติงติงจะเข้าสำนักแล้ว แต่ว่ายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวิชาคาถาเลย อย่างมากก็แค่นับว่าเป็นคน ในยุทธภพ แต่ไม่ใช่คนมีคาถาอาคม ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่คงไม่ถูกพลังชั่วร้ายของง้าวพระจันทร์เสี้ยวทำให้สับสนหรอก
“ไม่นะ ท่านอา ขอร้องล่ะ ขอให้หนูอยู่ลองดูสักครั้งเถอะ!” หลิวติงติงได้ยินแล้วก็มีสีหน้าโศกเศร้า ใช้สองมือกอดแขนเยี่ยเทียนเขย่าขื้นมา ไม่ต่างกับเด็กเอาแต่ใจอย่างไรอย่างนั้น
“บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ ศิษย์พี่อย่างไรยังพอรู้วิชาอยู่บ้าง เธอยังไม่ได้เข้าสำนักด้วยซ้ำ ขืนอยู่มีแต่จะทำให้ฉันเสียสมาธิ!”
น้ำเสียงของเยี่ยเทียนจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ “หลิวติงติง ถ้าเธอไม่ยอมเชื่อฟังล่ะก็ ฉันจะขับไล่เธอออกจากสำนักเสื้อป่านพยากรณ์ อนาคตอย่าหวังจะได้เรียนรู้วิชาอีกเลย!”
ต้องบอกว่าการกระทำนี้ของเยี่ยเทียนได้ผลดีจริง ๆ หลิวติงติงที่เดิมอยากจะไปออดอ้อนคุณตา พลันว่าง่ายขึ้นมาทันใด ปากบ่นพึมพำว่า “ไปก็ได้ ทำไมต้องดุกันด้วย?”
“อืม หากยังไม่ได้รับโทรศัพท์ของศิษย์พี่จั่ว ก็ไม่อนุญาตให้เธอกลับมา ไม่อย่างนั้นจะถือเป็นศิษย์คิดล้างครู เข้าใจแล้วใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนจงใจใช้คำพูดรุนแรง เพราะว่าเขากลัวเด็กสาวคนนี้จะหลบซ่อนตัวอยู่ที่อื่น แม้ว่าจะเพิ่งรู้จักหลิวติงติงได้ไม่นาน เยี่ยเทียนก็สามารถดูออกได้ว่าเธอไม่ใช่เด็กว่านอนสอนง่าย
จั่วเจียจวิ้นเองก็ว่าตาม “ติงติงฟังคำของท่านอาไว้ ในอดีตตาของหลานเกือบต้องทิ้งชีวิตด้วยเหตุนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกหรอกนะ!”
แผนในใจของหลิวติงติงถูกเยี่ยเทียนเปิดโปงแล้ว จึงได้แต่พูดอย่างหงุดหงิด “รู้แล้วล่ะน่า คุณตา หนูจะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ พวก…พวกคุณก็ต้องระวังตัวด้วยนะ!”
“เอาเถอะ ฉันจะให้อาติงส่งเธอกลับไปเอง!”
เยี่ยเทียนเงยหน้าเห็นสีท้องฟ้าไม่เช้าแล้ว จึงออกไปร้องเรียกอาติง ให้เขาพาตัวหลิวติงติงส่งกลับไป ขณะเดียวกันก็กำชับอาติงว่าช่วงสองสามวันนี้ห้ามมาที่บ้านข้าวปลาอาหารให้โทรบอกโรงแรมให้มาส่งก็พอแล้ว
หลังจากไปส่งหลิวติงติงกลับมายังห้องรับแขกแล้ว เยี่ยเทียนหันไปพูดกับจั่วเจียจวิ้น “ศิษย์พี่ ผมถ่ายทอดวิชาปลุกเร้าพลังชั่วร้ายจากฟ้าดินให้พี่ก่อนดีกว่า”
……