ไม่ว่าผู้กำกับอู๋จะสืบสวนคดีผีหลอกนี้อย่างไร เขาก็ไม่สามารถลบล้างพลังพิฆาตในเรือนสี่ประสานแห่งนี้ได้ อีกทั้งพลังพิฆาตจะสะสมมากขึ้นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆตามเวลา
ขอแค่มีพลังพิฆาตอยู่ เรื่องผีสางนั้นยังจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่คนที่ไม่กลัวผีหากอาศัยอยู่ไปนายเข้า ภูมิคุ้มกันก็จะต่ำลง เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา
ไม่ใช่ว่าเยี่ยเทียนจะมีจิตใจโหดร้าย แต่เพื่อจะขับไล่พลังชั่วร้ายที่ถูกปล่อยออกมาจากพระราชวัง จึงต้องใช้ค่ายกลพิฆาตพลังเก้าอิน และค่ายกลที่เขาตั้งขึ้นนี้ เขาคิดว่าเป็นค่ายกลที่นุ่มนวลที่สุดแล้ว
เพราะเหตุนี้ เยี่ยเทียนถือว่าใจดีมากแล้ว หมอดูฮวงจุ้ยแต่โบราณมาไม่ยอมเสียเปรียบให้ใคร ถ้าเป็นหมอดูฮวงจุ้ยคนอื่นอาจจะไม่ได้ใช้แค่ค่ายกลพิฆาตพลังเก้าอิน แต่จะใช้ค่ายกลที่รุนแรงถึงขั้นเอาชีวิตคนได้
ถอนตัวจากเรื่องนี้ได้ เพื่อหลีหนีจากความวุ่นวาย เยี่ยเทียนจึงหลบอยู่แต่ในบ้านทั้งวัน พอตกค่ำ ผู้อำนวยการหม่ามาหาเขาถึงบ้าน
เมื่อมองเห็นอดีตลูกน้องของตนใกล้เข้ามา เยี่ยตงหลันถามออกไปตรงๆ “เสี่ยวหม่า สืบได้เรื่องอะไรไหม?มีผีจริงๆหรือเปล่า?”
เรื่องผีหลอกในเรือนสี่ประสานหญิงชราทั้งรู้สึกเครียดปนเปกับความดีใจ เมื่อหายดีใจก็เริ่มกังวลขึ้นมาครั้ง ความรู้สึกสับสนปนเปไปหมด
ในบ้านจะมีผี ก็ถือว่าให้บทเรียนกับพวกผู้อาศัยที่ไม่ยอมออกเสียบ้าง แต่สุดท้ายบ้านหลังนี้ต้องตกเป็นของเยี่ยเทียน ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป คงไม่มีใครกล้าเข้ามาอยู่ เงินเจ็ดแสนของเยี่ยเทียนเท่ากับสูญเปล่า
“อดีตผู้อำนวยการ ทำไมถึงเชื่อข่าวลือนั่น?” ผู้อำนวยการหม่าพอได้ยินคำทักท่ายของหญิงชราก็ได้แต่ยิ้มแหย ผ่านไปทั้งวัน ข่าวลือเรื่องผียังไม่สงบลง แต่ยิ่งลือยิ่งร้ายแรงขึ้น
เพื่อลดผลกระทบจากเรื่องนี้ ตำรวจประจำเมืองตลอดถึงนักสืบผู้เชี่ยวชาญ ได้สอบสวนจากพนักงานบริษัทขนย้าย ที่มาเมื่อวาน แต่ยังไม่ได้เบาะแสอะไร
ผู้อำนวยการหม่าเป็นผู้ดูแลเขตนี้ จึงยุ่งอยู่ทั้งวัน นอกจากจะนำเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสัมภาษณ์ผู้อยู่อาศัย บริเวณใกล้เคียง ยังต้องไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมพวกคนแซ่จาง ยังไม่ได้หยุดพักผ่อนแม้แต่น้อย
“เสี่ยวหม่า ข่าวที่คนๆเดียวประกาศออกไป คนร้อยคนเอาไปพูดต่อ เธอต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ รีบค้นหาความจริงออกมาให้เร็วที่สุด ถึงจะทำให้ชาวบ้านวางใจได้…”
เยี่ยตงหลันยืนอยู่ตรงหน้าของหม่าผิง กำลังรู้สึกเหมือนตอนที่ตัวเองเป็นหัวหน้าอย่างไม่รู้ตัว คำพูดท่าทางราวกับกำลังสั่งสอนลูกน้องอยู่
“ผมรู้ แต่อดีตผู้อำนวยการครับ เรื่องนี้ ดูเฮี้ยนหนักมาก…”
พูดถึงตรงนี้ หม่าผิงจึงรู้ตัวว่าพูดผิดไปถอนหายใจออกมา กล่าวต่อว่า “เฮ้อ ทำไมผมถึงพูดออกมาแบบนี้ อดีตผู้อำนวยการครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะขอไปสำรวจที่เกิดเหตุเลยอยากจะเชิญเยี่ยเทียนไปด้วย ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นเจ้าของ บ้าน”
“อะไรนะ?ให้เยี่ยเทียนไป?เสี่ยวหม่า เธอหมายความว่ายังไง?หลานฉันเป็นผู้ต้องสงสัยงั้นหรือ?
หญิงชราขึ้โมโห ได้ฟังเช่นนั้นก็ระเบิดโทสะ “ฉันเอาการเป็นหัวหน้าสี่สิบกว่าปีเป็นประกัน เมื่อคืนเยี่ยเทียนนอนอยู่ที่บ้าน เขาไม่ได้ออกไปก่อเรื่องให้คนพวกนั้นตกใจแน่นอน!”
อดีตผู้อำนวยการ อย่าโมโหสิครับ อย่าโมโหเลยนะครับ”
ผู้อำนวยการหม่าเห็นเหญิงชราโทสะขึ้น รีบโบกมือแล้วพูดว่า”ตำรวจเขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น พวกเขาแค่อยากเชิญเยี่ยเทียนไปสักครู่ เผื่อตอนจับคนร้ายแล้วทำให้ตัวบ้านเสียหาย เยี่ยเทียนอยู่ด้วยจะได้ทำเรื่องชดใช้…”
ความจริงที่ให้เยี่ยเทียนไปจุดเกิดเหตุด้วยเป็นความต้องการของผู้กำกับอู๋แม้ตอนแรกจะตัดเยี่ยเทียนออกจาก ผู้ต้องสงสัย แต่เมื่อเป็นเจ้าของบ้าน ผู้มีเหตุผลและแรงจูงใจในการก่อเหตุมากที่สุด
ถ้าวันนี้ยังมีผีออกมาหลอก เยี่ยเทียนอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยก็เป็นการยืนยันว่าเขาไม่เกี่ยวข้อง แต่ถ้าวันนี้เหตุการณ์ปกติ น่าจะต้องลงมือลงแรงที่ตัวเยี่ยเทียนให้มากขึ้น
ปกติผู้อำนวยการหม่าถูกหญิงชราสั่งสอนจนชิน แต่ไม่กล้าพูดตรงๆ ทำได้เพียงหาเหตุผลที่หญิงชราพอรับได้
“ชดใช้อะไร เห็นฉันแก่จนเลอะเลือนหรือ?” หญิงชราชักสีหน้า “ที่นั่นมีผีจะให้เยี่ยเทียนไปทำไม?ตระกูลเยี่ยของฉันมีทายาทเพียงแค่คนเดียวนะ!”
หลายปีมานี้แม้จะได้รับการอบรมแบบพรรคคอมมิวนิสต์แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสืบทอดตระกูลเยี่ยต้องทำให้ชัดเจน เยี่ยตงหลันยังคงยืนกรานที่จะปล่อยวางความเชื่อของตัวเอง เพื่อคุ้มครองปกป้องลูกหลานในครอบครัว
ป้าใหญ่ มันไม่ได้เฮี้ยนขนาดนั้นหรอก?เจ้าหน้าที่ตำรวจก็อยู่ ผมไม่มีต้องกลัว?”
เยี่ยเทียนที่เงียบมาตลอด ตอนนี้ไม่พูดไม่ได้แล้ว ขืนป้าใหญ่ยังยืนยันคำเดิม คนอื่นอาจจะเริ่มสงสัยตัวเขามากขึ้น
อีกอย่างค่ายกลเขาเป็นคนทำขึ้นเอง จะกลัวอะไร ต่อให้พลังพิฆาตรุนแรงกว่านี้ร้อยเท่า ก็ทำอะไรเยี่ยเทียนไม่ได้ เห็นหมอดูฮวงจุ้ยเป็นกระดาษไหม้ๆแผ่นหนึ่งหรือไง?
“ดี ดี เยี่ยเทียน ไปกันเถอะ งั้นพวกเรารีบไปก่อน อดีตผู้อำนวยการ ตอนเที่ยงคืนผมจะพาเยียเทียนมาส่ง…”
เมื่อเยี่ยเทียนเห็นด้วย หม่าผิงก็ยินดี รีบดึงเยี่ยเทียนให้ออกไป ด้วยกลัวว่าอดีตผู้อำนวยการจะเปลี่ยนใจ เพราะเขารู้ว่าหญิงชราอารมณ์ไม่ค่อยดี
ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มสองทุ่มแล้ว ท้องฟ้ามืดลง แต่ในบ้านซื่อเหอย่วนยังติดโคมไฟสว่างไสว นอกจากโคมเดิมที่มีอยู่ ได้มีการวางสายไฟติดตั้งโคมเพิ่มอีกหลายอัน
ในสวนด้านหลังกลับมืดสนิท ไม่มีแสงไฟเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะให้เฝ้าจับโจรอยู่ที่นี่ จะต้องแหวกหญ้าให้งูตื่นเป็นแน่
เห็นรูปการณ์แบบนี้ เยี่ยเทียนยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ ค่ายกลที่ตั้งไว้ยังจะหวังให้โจรเข้ามาอีก ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่เยี่ยเทียนที่หลอกตัวเองหรอกหรือ?
ที่จริงเยี่ยเทียนไม่ทราบว่าตำรวจที่มาพยายามเก็บอารมณ์ให้ดูสงบเสงี่ยมไว้ ขอแค่วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เรื่องผีในเรือนสี่ประสานหลังนี้จะหายไปเอง
“เยี่ยเทียนมาแล้วเหรอ นั่งสิ ตำรวจสืบสวนท่านนี้มีอะไรจะถามเธอหน่อย…”เพิ่งเดินเข้าไปในสวนกลาง ผู้กำกับอู๋ก็ยืนขึ้นต้อนรับ
“สวัสดีครับผู้กำกับอู๋ ท่านถามได้เลย ผมจะตอบทุกอย่างที่ผมรู้….” เยี่ยเทียนเดินไปใกล้ตำรวจกลุ่มนั้น ให้ความร่วมมือเต็มที่
เหมือนภาพเดิมฉายซ้ำ คำถามที่ถูกถามล้วนเป็นคำถามที่ผู้กำกับอู๋ถามไปแล้วเมื่อเช้า คำตอบของเยี่ยเทียนเหมือนเดิม ตำรวจคนนั้นจดบันทึกเสร็จ ก็ให้เยี่ยเทียนนั่งลงข้างๆ
เวลาผ่านไปค่อยๆดึกขึ้น วันนี้อากาศไม่ค่อยดี เมฆดำปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า มองไม่เห็นพระจันทร์หรือดาวสักดวง ในสวนแม้จะเปิดไฟสว่าง แต่คนในนั้นกลับยังรู้สึกวังเวง
“ผู้อำนวยการหม่า ที่นี่มีคนเฝ้ากันขนาดนี้ ถ้ามีคนมาหลอกผีจริงแล้วเขาจะปรากฎตัวหรือ?” เยี่ยเทียนเบื่อหน่ายถึงที่สุดจึงหันไปคุยกับหม่าผิง
“เมื่อไม่มีคนแกล้งหลอกผี ข่าวลือเรื่องผีก็เป็นของปลอม เยี่ยเทียน เธอพูดความจริงออกมานะ เมื่อคืนเธอเล่นแกล้งอะไรรึเปล่า?”
ผู้อำนวยการหม่าคือคนที่ป้าใหญ่สนับสนุนขึ้นมา ในใจจึงยังเข้าข้างเยี่ยเทียนอยู่ ถ้าเยี่ยเทียนเป็นคนก่อเรื่องขึ้นจริง เขาก็จะช่วยหาทางไกล่เกลี่ยให้จบไป
เรือนสี่ประสานหลังนี้เป็นสมบัติของเยี่ยเทียน หากเขาอยากจะแต่งตัวเป็นนางในสาวงามอะไรก็ไม่เกี่ยวคนข้างนอก ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวลือมันแพร่สะพัดทั้งยังเป็นข่าวลือที่เลวร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจคงไม่เข้ามายุ่งด้วย
“อย่าปรักปรำผม ผู้อำนวยการหม่า เมื่อวานพวกเขาบอกว่ามีผีสามตัว ผมแค่คนเดียว อยากจะทำแต่ก็ทำไม่ไหว…”
เยี่ยเทียนเรียกร้องความเป็นธรรม ตำรวจคคนอื่นที่อยู่รอบข้างได้ฟังก็แอบเห็นด้วยอยู่ในใจ
พวกเขาตรวจสอบประวัติของเยี่ยเทียนแล้วทราบว่าเยี่ยเทียนมีเพื่อนอยู่เพียงไม่กี่คนในปักกิ่ง แต่คนเหล่านั้นเป็นคนใหญ่คนโต ไม่มาทำเรื่องเหลวไหลแบบนี้แแน่
“ผู้อำนวยการหม่า ได้ยินว่าผีสาวสามตัวนั้นเป็นนางในทั้งหมดยังสวมชุดชาววังโบราณ ทาลิปสติกด้วย ไม่น่าจะจริงใช่ไหม?”
เสียงของเยี่ยเทียนสั่นเล็กน้อย ค่ำคืนที่เงียบสงัดมีเพียงเสียงลม บรรยากาศออกจะอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ตำรวจหลายคนที่นั่งอยู่รู้สึกเสียวสันหลังวาบเป็นพักๆ
ตำรวจเป็นคนเหมือนกันแม้ไม่กลัวคนชั่ว แต่ไม่แน่ว่าจะไม่กลัวผี คำพูดของเยี่ยเทียนอยู่ๆก็ทำให้พวกเขาขนลุกขึ้นมา
“ทำไมเย็นอย่างนี้ ฉันออกกำลังกายหน่อย!”
ตำรวจที่อายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้าลุกขึ้นยืน เดินวนไปรอบๆ “ผมก็รู้สึกหนาวนิดหน่อย…” เยี่ยเทียนลุกตามตำรวจคนนั้น
อีกครึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว คนในสวนทั้งหมดไม่มีใครนั่งติดที่ ที่นี่รู้สึกจะมีความหลอนอยู่ทั่วในอากาศ ลมที่ทะลุผ่านกำแพงเข้ามาฟังเหมือนกับเสียงผีร้องคร่ำครวญ ทุกคนเริ่มกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข
“เอ๊ะ นั่น…นั่นอะไร?”
เยี่ยเทียนที่เพิ่งเดินไปถึงประตูที่เชื่อมระหว่างเรือนกลางกับเรือนหลัง อยู่ดีก็ค้างนิ่งตัวแข็ง ชี้ไปที่สวนด้านหลัง หน้าซีดเผือด “ผี….ผมเห็นผี ผีผู้หญิง ผีผู้หญิงหกตัว?!!!”
เสียงร้องอย่างหวาดผวาของเยี่ยเทียนทำลายความเงียบในสวน หลายบ้านที่ปิดไฟนอนไปแล้ว ก็เปิดไฟสว่างไปทั่ว
“จริง…จริงๆนะ ห้าตัว ผีผู้หญิงห้าตัว…”
สิ่งที่ทำให้ตำรวจคนอื่นใจเสียก็คือตำรวจอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆเยี่ยเทียนก็มองตาค้างเหมือนกัน เนื้อตัวสั่นยิ่งกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก
“บุกเข้าไปเลย!”
สารวัตรตำรวจอีกคนซึ่งไม่เชื่อเรื่องผีตะโกนออกมา คว้าปืนจากสายคาดเอว รีบรุดเข้าไปในเรือนด้านหลัง แต่นอกจากเสียงลมที่พัดอยู่ข้างหูแล้ว เขาก็มองไม่เห็นอะไร
“ลู่ม่อ นายทำบ้าอะไรของนาย?”
เมื่อเปิดไฟในสวนด้านหลังแล้ว สารวัตรคว้าตัวของนายตำรวจที่ตัวสั่นงันงก เรื่องนี้ถ้าใครรู้เข้าจะขายหน้าเอา เป็นตำรวจแท้ๆ ยังจะบอกว่ามองเห็นผีอีก?
นายตำรวจแซ่ลู่ยังไม่หายจากอาการตกตะลึง พูดไม่เป็นคำออกมา “หัว…หัวหน้าหยาง ผม….เมื่อกี้ผมเห็นจริงๆ….”
“เหลวไหล ฉันจะช่วยให้แกตื่นเอง!”
ตำรวจสืบสวนมักจะเป็นคนอารมณ์ร้าย สารวัตรหยางยื่นมือไปหยิบน้ำแร่มาขวดหนึ่ง ราดลงบนหัวของลู่ม่อ นี่ถ้าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย คงจะตบบ้องหูไปสักฉาดแล้ว