“นั่นสินะสิ ผมลืมลุงเว่ยไปได้ยังไง?”
ได้ฟังที่ผู้เฒ่าพูด เยี่ยเทียนตาสว่างขึ้นทันที บริษัทก่อสร้างอื่นไม่กล้าเข้ามาทำงานในเรือนสี่ประสาน แต่บริษัทของเว่ยหงจวินนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน ถึงตัวเองจะไม่กล้าพูดออกมา แต่น่าจะพอเดาออก
ส่วนการเชิญนักพรตมาจากอารามเมฆขาวนั้นเป็นการหลอกตาอย่างบริสุทธิ์ ถ้าไม่มีเรื่องผีหลอก พวกผู้อาศัยที่ไม่ยอมย้ายกลับย้ายออกไปหมด บ้านก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ มันจะไม่ชัดเจนไปหน่อยหรือ
ตอนนี้ทั้งอารามนักพรตและวัดวาทั้งหลาย พูดให้น่าฟังหน่อยคือให้ลูกศิษย์และผู้มีจิตศรัทธาเข้าไปกราบไหว้ ถ้าพูดไม่น่าฟังก็คือเป็นที่ๆใช้กอบโกยเงินทอง
อย่าดูถูกสถานที่แบบนี้เป็นอันขาด วัดอารามในเขตถิ่นชาววังนั้น ปีๆหนึ่งแค่เงินบริจาคก็ปาเข้าไปเป็นสิบล้านแล้ว บริษัทหลายแห่งรายได้ปีหนึ่งยังเทียบไม่ได้
เยี่ยเทียนอาศัยที่อารามเมฆขาวมา 2ปีจะหาใครที่ไหนในนั้นก็คุ้นเคยไปหมดเขาเล่าเรื่องนี้ให้นักพรตไม่กี่คน ที่ปกติเคยเดินหมากด้วยกัน เมื่อเห็นดีเห็นงามกันทั้งสองฝ่าย พวกนักพรตเฒ่าเก็บข้าวของตามเยี่ยเทียนมาถึงที่เรือนสี่ประสาน
นักพรตมากันทั้งหมดห้าคน มีสองคนที่ไว้เครายาวสีขาวดูโดดเด่น อีกสามคนมีเคราสั้น สะพายดาบต้นท้อไว้ด้านหลัง การปรากฏตัวของเหล่านักพรตดึงดูดสายตาของเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงที่อยู่รอบข้าง
บ้านผีสิงเฮี้ยนหนัก ผู้ที่อาศัยอยู่โดยรอบเพียงแค่ดูกลุ่มนักพรตตั้งโต๊ะเตรียมพิธีอยู่ไกลๆ ไม่มีใครกล้าเข้าไปดูถึงด้านใน
“ลุงเว่ย อย่าเพิ่งคุยเรื่องอื่น ทำกำแพงหินซ้อนกันปิดประตูซุ้มนี้ให้เสร็จก่อนฟ้ามืดทันไหม?”
ถ้าทำตามต้องการของเยี่ยเทียนต้องใช้เวลาถึงสามวัน เยี่ยเทียรู้ดีว่านักพรตพวกนี้ดูดีอย่างเดียวใช้งานไม่ได้จริง ในร่างกายไม่มีพลังชีวิตสะสมอยู่มากพอ อย่าแต่จับผีเลย กลัวว่าเอาเข้าจริง อาจจะแย่กว่าคนแซ่จางที่ฉี่ราดอีก
เยี่ยเทียนเดินนำเหล่านักพรตเข้ามาในบ้านพร้อมกับที่เว่ยหงจวินพาคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา วันนี้ถ้าไม่ปิด”ประตูผี”บานนี้ เยี่ยเทียนเกรงว่าพรุ่งนี้พวกนักพรตจะตกใจตายเสียก่อน
เมื่อได้ยินว่าที่นี่เป็นบ้านผีสิง คนงานที่เว่ยหงจวินพามาต่างไม่กล้าเข้าไปในบ้านสักคน เยี่ยเทียนจึงได้แต่พาเว่ยหงจวินเข้าไปในสวนด้านหลัง ปรึกษากันเรื่องการปิด”ประตูผี”นี้
“เยี่ยเทียน เรื่องพวกนี้เธอเป็นคนทำมันขึ้นมา?”
เยี่ยเทียนไม่ตอบ ได้แต่จ้องมองเว่ยหงจวินอยู่ครู่ใหญ่ ถิ่นชาววังแม้ว่าจะไม่เล็ก แต่ขอบเขตกลับไม่กว้าง เรื่องผีที่ลือกันมาหลายวันนี้แน่นอนว่าต้องเข้าหูเว่ยหงจวินมาแต่แรกแล้ว
เยี่ยเทียนไม่ยอมรับ ส่ายศีรษะพูดว่า “ลุงเว่ย วันนี้เรียกลุงมาคุยธุระ ผมไม่ได้ขอทำฟรีสักหน่อย จะทำกำแพงปิดประตูนี่ต้องใช้เวลานานแค่ไหนลุงว่ามาเลย?”
“เด็กบ้า กับลุงเว่ยยังมีอะไรที่ไม่กล้าพูดอีก?”
เว่ยหงจวินแค่นหัวเราะ แสดงถึงการเข้าใจเรื่องราวหมดแล้ว กวาดสายตาไปรอบด้านแล้ว ลดเสียงลงกระซิบว่า “เอ็งนี่สุดยอดไปเลย พอมีเรื่องผีขึ้นมา คนที่อยู่ที่นี่ตกใจกลัวย้ายออกกันไปหมด เยี่ยม…เยี่ยมยอดมาก!”
เว่ยหงจวินเติบโตขึ้นมาในตรอกหูถ่งในปักกิ่ง เรื่องกลลวงที่เกิดขึ้นในเรือนส่ประสานพวกนี้เขารู้มามากเหลือเกิน ตอนนี้บ้านส่วนบุคคลในถิ่นชาววังอย่างน้อยต้องมีสักแปดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ประสบปัญหาแบบเดียวกับเยี่ยเทียน
เถ้าแก่เว่ยชื่นชมชมเชยกับวิธีการของเยี่ยเทียน สามารถทำให้ผู้เช่าที่ไม่ยอมย้ายออก ออกไปได้โดยไม่สูญเสียอะไร ในย่านถิ่นชาววังนี้พื้นที่ส่วนหนึ่งจึงเป็นของเยี่ยเทียนคนเดียวแล้ว
“ลุงเว่ย อย่าซี้ซั้วพูด ผมเป็นแค่คนซื่อๆคนหนึ่ง”
ในบางเรื่องคนอื่นพูดได้ แต่ตัวเองห้ามยอมรับเยี่ยเทียนยิ้มบางๆยังไม่หลุดอะไรออกมา และไม่ยอมรับในสิ่งที่เว่ยหงจวินพูดโดยเด็ดขาด
“เอาเถอะ ถ้าเอ็งเป็นคนซื่อ ฉัน…ฉันก็คงเป็นคนใจบุญศุลทานไปแล้วล่ะ…”
คำพูดกวนประสาทของเยี่ยเทียนกระตุ้นเว่ยหงจวินจนสบถคำหยาบออกมาต่อหน้าผู้ที่อายุน้อยกว่า แต่ไหนแต่ไรเถ้าแก่เว่ยก็ไม่ใช่คนชั้นสูงอะไร พูดคำหยาบสองสามคำก็ถือว่าปกติ
“ที่นี่ดูเฮี้ยนจริงๆนะ อยู่แค่ครู่เดียวฉันก็รู้สึกเย็นวาบไปหมดทั้งตัว”
หลายวันมานี้พลังพิฆาตสะสมอยู่ทั่วทุกมุมของเรือนด้านหลัง เว่ยหงจวินแม้จะพกเอาหยกห้อยที่ได้มาจาก เยี่ยเทียนมาด้วยยังรู้สึกขนหัวลุก
“ลุงเว่ย ถ้าลุงไม่อยากทำจริงๆ ผมหาคนอื่นมาทำก็ได้?” เยี่ยเทียนรู้สึกรำคาญแล้ว เขาไม่มีเวลามารอเว่ยหงจวินยึกยักเสียเวลา
ใกล้เที่ยงเข้าไปทุกที เป็นเวลาที่พลังหยางขึ้นสูงที่สุด ถ้าพลาดเวลานี้ไป เยี่ยเทียนเกรงว่าช่างจะทำกำแพงไม่เสร็จ ตัวเขาเองจะทนไม่ไหวเสียก่อน
“ทำ ทำแน่อยู่แล้ว!”
เห็นเเยี่ยเทียนจริงจังขึ้นมา สีหน้าของเว่ยหงจวินก็คร่ำเคร่งขึ้น เดินวนรอบประตูซุ้มรอบหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “พวกซากอิฐหินเก่าๆบนพื้นมันเก็บกวาดยาก ถ้าถอยไปข้างหลังสักห้าสิบเซนติเมตรก็สามชั่วโมง ใช้สามชั่วโมงฉันถึงจะสร้างกำแพงหินซ้อนสูงสองเมตรกว้างสามเมตรขึ้นมาได้…”
“ห้าสิบเซน?”
เยี่ยเทียนเดินไปถึงข้างประตูซุ้ม ใช้เท้าวัดดูแล้วพยักหน้า “ได้ งั้นห้าสิบเซนติเมตร ใช่แล้ว ตอนก่อกำแพงได้ครึ่งหนึ่ง เอายันต์แผ่นนี้ไว้ในกำแพงให้ผมด้วย ลุงเว่ย ลุงต้องหาคนที่เชื่อใจได้มาทำ…”
แค่โบกปูนเป็นกำแพงนั้นไม่สามารถปิด”ประตูผี”ที่ถูกเปิดออกแล้วได้
เยี่ยเทียนจึงใช้อีกวิธีกันเหนียวเมื่อคืนเขาเสียพลังชีวิตไปไม่น้อยเพื่อทำยันต์พลังหยางแผ่นนี้ขึ้นช่วยให้กำแพงที่สร้างดูดซับพลังหยางเข้าไป ปิดกั้นพลังพิฆาตที่ไหลผ่าน”ประตูผี”เข้ามา
“เอ็งยังไม่ยอมรับอีกเหรอว่าที่นี่เอ็งไม่ได้ทำขึ้นมา?”
เว่ยหงจวินยิ้มอย่างอบอุ่นให้เยี่ยเทียนแล้วรับยันต์มาจากเก็บใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง “เสี่ยวเยี่ย เธอว่าฉันดีกับเธอไหม?”
“ลุงเว่ย มีอะไรลุงพูดตรงๆ ถ้าผมพอจะทำได้ผมก็จะทำให้…” เยี่ยเทียนเป็นคนยังไง?แน่นอนว่าเขาไม่ยอมให้เว่ยหงจวินหว่านล้อมด้วยคำพูดแน่นอน
เว่ยหงจวินเห็นเยี่ยเทียนไม่ยอมคล้อยตาม จึงยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “เยี่ยเทียน มันเป็นอย่างนี้นะ ช่วงนี้ลุงเว่ยรับงานปรับปรุงบ้านเก่า แต่เธอก็รู้นี่ จะให้ผู้อาศัยที่ยังอยู่ย้ายออกไปมันยุ่งยากมาก บางคนโก่งราคาค่าชดเชยให้สูงลิ่วแล้วก็ยังไม่ยอมย้าย
“อย่า ลุงเว่ย ความคิดแบบนี้ลุงอย่าได้คิดเป็นอันขาด เรื่องบางเรื่องทางการเขายังพอยอมความ ถ้าขืนทำซ้ำอีก เราทั้งสองคนหนีไม่รอดแน่…”
เว่ยหงจวินยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเยี่ยเทียนขัดคอ ล้อเล่นน่า เขาคาดว่าจะต้องมีคนนึกถึงเขาแน่นอน ถ้าช่วยเว่ยหงจวินสร้างเรื่องผีหลอกอีกที เกรงว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติคงจะต้องมาเชิญเขาไปดื่มชาที่โรงพักแน่
ในฐานะที่เยี่ยเทียนเป็นผู้สืบทอดวิชาหมอดูฮวงจุ้ย ก็ไม่ได้ลึกลับอะไรมาก หากองค์กรระดับชาติให้ความสนใจแล้ว จะสืบสวนสอบสวนก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ตามที่เยี่ยตงผิงว่าไว้ ใครๆก็มองว่าบ้านหลังนี้เป็นของเยี่ยเทียน และยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเอาผิดเยี่ยเทียนได้ ตำรวจจึงได้แต่ปล่อยผ่านไป แต่ถ้าเยี่ยเทียนยังไปก่อเรื่องอีก จะต้องถูกสอบสวนจนถึงที่สุดแน่
เห็นสีหน้าผิดหวังของเว่ยหงจวินแล้ว เยี่ยเทียนปลอบว่า “ลุงเว่ย ลุงทำธุรกิจใหญ่โต ถือว่าทำบุญสร้างบารมีแล้วกันนะ อย่าคิดไปในทางเสียหายเลย!”
ฟังที่เยี่ยเทียนปลอบ หน้าผากของเว่ยหงจวินมีเหงื่อเย็นๆซึมออกมา พลางโบกมือ “ไม่หรอก ไม่หรอก ลุงเว่ยจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ไปเถอะ เราไปหาคนงานมาเริ่มงานกัน…”
ความจริงช่วงก่อนเว่ยหงจวินกำลังใคร่ครวญว่าจะหานักเลงมาดีไหม มาก่อกวนขับไล่ผู้อาศัยที่ไม่ยอมย้ายออก พอเยี่ยเทียนพูดว่า”ทำบุญเสริมบารมี” จึงทำให้เขาเลิกคิดเรื่องนี้ไป
“ผู้อำนวยการเว่ย ที่นี่มีผี พวกเราไม่กล้าเข้าไปหรอก!”
คิดไม่ถึงว่าคนงานที่เว่ยหงจวินพามากลับไม่อยากทำงานเมื่อครู่พวกเขาเข้าไปในบ้านแล้วรอบหนึ่งแล้วก็ตกใจ ในความอึมครึมวังเวงของสถานที่นี้จนรีบหนีออกมา
“ก่อกำแพงปิดประตูภายในสามชั่วโมง ค่าแรงคนๆละห้าร้อย พวกเธอทำไม่ทำ?”
เว่ยหงจวินประกาศค่าแรงสูงลิ่วต่อหน้าเยี่ยเทียน เห็นค่าแรงสูงขนาดนี้ คนงานมีหรือจะไม่ทำ ปกติแล้วค่าแรงคนหนึ่งทำงานทั้งวันยังไม่ถึงห้าหกสิบหยวนเลย เว่ยหงจวินกลับให้ค่าแรงสูงเป็นสิบเท่า
“ประธานเว่ย ท่านพูดจริงหรือ?”
ประกายตาของคนงานสว่างวาบขึ้น คำโบราณว่าไว้มีเงินยังทำให้ผีมาดันครกได้ สาอะไรกับคนหาเช้ากินค่ำ แม้แต่นักพรตที่ตั้งโต๊ะทำพิธีอยู่ยังอิจฉา แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ให้ราคาไว้สูงขนาดนั้น
“แน่นอนอยู่แล้ว!” เว่ยหงจวินพยักหน้า
“ได้เลย พวกเรา กลางวันแสกๆมีผีที่ไหน?ประธานเว่ยพูดแล้ว ทำงานสามชั่วโมงได้คนละห้าร้อย ไป ทำงานกันได้แล้ว!”
หัวหน้าคนงานรีบสั่งงานด้วยความเห็นแก่เงิน คนงานอีกเจ็ดแปดคนขนเอาอิฐหินปูนทรายเข้ามา ทำงานกันด้วยความขมักเขม้น ซึ่งสามารถปกป้องตัวเองจากพลังพิฆาตไม่ให้เข้ามาในร่างกาย
เว่ยหงจวินไม่ได้พูดเกินไปเลยจริงๆ ยังไม่ถึงบ่ายสอง กำแพงกั้นสูงสองเมตรกว้างสามเมตรก็ปรากฎขึ้นหลังประตูซุ้ม คนงานพวกนี้ทำงานเสร็จก่อนเวลาตั้งหนึ่งชั่วโมง
ประตูผีถูกปิดลงแล้ว กระแสพลังพิฆาตถูกตัดขาด ใต้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้า ไอพลังพิฆาตก็ค่อยๆจางลงไปมาก
พอถึงเวลาบ่ายสาม ปรัมพิธีของนักพรตก็ตั้งเสร็จ บนโต๊ะพิธีมีเครืองเซ่นหกอย่าง และธูปเทียนต่างๆ นักพรตสี่คนนั่งล้อมปรัมพิธีอยู่ทั้งสี่ทิศ ปากพึมพำคาถา เริ่มทำพิธีอย่างเป็นทางการ
นักพรตเฒ่าที่ทั้งผมและเคราเป็นสีขาวโพลนถือดาบต้นท้อ เท้าเหยียบอยู่บนค่ายกลปากั้ว เดินวนไปรอบๆปรัมพิธี แม้ผลลัพธ์ไม่ได้ดีนัก แต่การขายแรงงานแบบนี้ ยังไงก็คุ้มค่าแรงที่เยี่ยเทียนให้
เพื่อนบ้านรอบข้างเฝ้ามองเข้าไปในบ้านเพื่อดูนักพรตทำพิธี คนที่ใจกล้าบางคนก็ได้เดินเข้ามามุงดูถึงในบ้าน
ฉากตรงหน้าทำให้เยี่ยเทียนอดหงุดหงิดไม่ได้ นักพรตพวกนี้เป็นนักต้มตุ๋นจริงๆ แต่ขอแค่รอให้เสร็จพิธี นักพรตเฒ่าประกาศว่าจับผีได้แล้ว เรื่องผีหลอกนี่จะได้จบลงเสียที