เวลาคนอื่นกะเทาะเปลือกหินออกจากหยกนั้น จะค่อยๆ เลาะไปอย่างประณีตระมัดระวัง เพราะกลัวจะไปโดนหยกที่อยู่ภายในจนเสียหาย ซึ่งจะทำให้มูลค่าของมันตกลงไปมากก
แต่เยี่ยเทียนกลับทำตรงกันข้าม เครื่องเจียระไนที่ถืออยู่ในมือนั้นไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวเลย จนคนที่ดูอยู่ข้างๆ ผวาไปตามๆ กัน เพราะกลัวว่าเขาจะเผลอไปขูดโดนผิวของหยกนั้นเข้า
แต่มือของเยี่ยเทียนก็มั่นคงดั่งขุนเขาตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากเปลี่ยนใบมีดเจียระไนไปสองแผ่น เศษหินกระจายเต็มพื้นแล้ว หยกเม็ดหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กกว่าไข่ไก่เล็กน้อย ก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือของเยี่ยเทียน
“หยกนี่ก็พอมีปราณวิเศษอยู่เหมือนกัน ถ้าทำเป็นหยกแขวนก็จะเล็กไปหน่อย แต่น่าจะแกะเป็นจี้เล็กๆ ได้หลายอันอยู่”
หลังจากพิจารณาดูหยกที่ถืออยู่ เยี่ยเทียนก็ครุ่นคิดขึ้นมาในใจ เขาชื่นชมดูหยกด้วยมุมมองที่แตกต่าง จากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง จะเป็นคุณภาพหยกหรือเนื้อหยกเขาก็ไม่ดูทั้งนั้น สนใจอยู่แต่ว่าในหยกนั้น มีปราณวิเศษมากน้อยแค่ไหน
เมื่อเห็นหยกถูกกะเทาะออกมาแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็เอ่ยขึ้น “เยี่ยเทียน เอามาให้ศิษย์พี่ดูหน่อยซิ”
“ศิษย์พี่ หยกนี่จะคิดเป็นเงินได้สักเท่าไหร่หรือครับ?” เยี่ยเทียนยื่นหยกให้อีกฝ่ายดู ตอนที่เขากะเทาะเปลือกหินเมื่อครู่นี้ ก็มีคนตะโกนพนันขันแข่งกันอยู่ไม่ขาด เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา
“เนื้อหยกไม่เลวเลย เป็นของดีนะเนี่ย!”
เมื่อจั่วเจียจวิ้นรับมาดู ปากก็พูดชมเชยขึ้นมา “เยี่ยเทียนนายนี่โชคดีจริงๆ เลยนะ นายดูสิ หยกเม็ดนี้ทั้งที่ยังไม่ได้เจียระไน ก็ดูใสเหมือนน้ำแข็งแล้ว หยกแบบนี้น่ะเรียกว่าชนิดเนื้อน้ำแข็ง เป็นรองก็แต่แบบเนื้อผลึกแก้วเท่านั้นแหละ นับว่าเป็นหยกชั้นเยี่ยมเลยทีเดียว”
“แล้วมันจะมีค่าสักกี่หยวนล่ะครับศิษย์พี่?”
เยี่ยเทียนรู้จักเนื้อน้ำแข็ง เนื้อผลึกแก้ว อะไรนั่นที่ไหนกัน? เขาสนใจแต่ราคาของหยกนี่เท่านั้น ขายแพงก็ต้องเป็นของดีอยู่แล้วละ ไม่อย่างนั้นก็เหมือนสูญเงินไปเปล่าๆ
“หยกน้ำดีจริงๆ นะเนี่ย อีกนิดเดียวก็จะเป็นชนิดเนื้อผลึกแก้วแล้ว”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนถาม จั่วเจียจวิ้นก็ส่ายหน้าอย่างเสียดาย “ความเขียวของตัวหยกก็ยังถือว่าไม่เลว คงเจียระไนเป็นหัวแหวนได้สักสิบเม็ด น่าจะขายได้ระหว่างล้านห้าถึงสองล้านนี่แหละมั้ง?”
ตลาดหยกในปี 1998 นั้น หยกที่ไม่เหมือนกันก็มักจะมีราคาแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว หยกชั้นเยี่ยมมักจะขายได้ราคาหลายแสนไปจนถึงหนึ่งล้าน ส่วนหยกจำพวกเนื้อขุ่นหรือเนื้อคล้ำ ซึ่งถือว่าด้อยกว่าแบบเนื้อน้ำแข็งไปเพียงนิดเดียวนั้น ราคากลับต่ำลงไปมากเลยทีเดียว
อันที่จริงจั่วเจียจวิ้นก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทเพชรพลอยมาหลายปีแล้ว จึงไม่ได้รู้ราคาในตลาดของหยกเท่าไรนัก ราคาที่บอกมานี้ก็ยังถือว่าต่ำไปหน่อย ราคาที่ถูกต้องนั้น หากนำหยกนี้ไปผลิตเป็นเครื่องประดับเรียบร้อยแล้ว ก็น่าจะขายได้ราคาสูงถึงสามล้านหยวน
นอกจากนี้ เนื่องจากเหมืองหยกแห่งเดิมที่พม่าค่อยๆ ร่อยหรอไปเรื่อยๆ ความแตกต่างของราคานี้จึงค่อยๆ ลดลงไปเช่นกัน หยกระดับธรรมดาๆ มากมายในยุคหลังๆ ก็สามารถขายได้ในราคาสูงลิ่วกันทั้งนั้น ซึ่งแน่นอนว่า การโฆษณาก็เป็นส่วนสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้เลย
“เท่าไหร่นะ? ขายได้สองล้านเลย?” พอได้ยินคำตอบของจั่วเจียจวิ้น เยี่ยเทียนก็ตะลึงจังงังไปทันที
ตามที่เขาคาดคะเนไว้ หยกที่มีขนาดเท่านี้ อย่างมากที่สุดก็คงได้ราคาสักแสนกว่าๆ ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็นึกไม่ถึงเลยว่า ราคาที่จั่วเจียจวิ้นตั้งมานี้ จะสูงกว่าที่เขาคาดคะเนไว้ถึงสิบกว่าเท่า
“หยกนี่มันมีมูลค่าขนาดนี้เลยรึ?”
เยี่ยเทียนกลืนน้ำลายลงไปหลายอึก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นเงินมาก่อน แต่เงินที่ถังเหวินหย่วนโอนเข้าบัญชีให้เขา กับเงินที่หามาได้กับมือตัวเองนั้น เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ก็เหมือนกับเวลาที่ใครคนหนึ่งถือบัตรเอทีเอ็มที่มีเงินในบัญชีอยู่หนึ่งล้าน ก็คงจะไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรนัก แต่ถ้ามีเงินสดหนึ่งล้านมาวางอยู่ตรงหน้า หัวใจก็จะต้องเต้นเร็วขึ้นมามากแน่ๆ
“ไม่ใช่ว่าหยกมีมูลค่าหรอก แต่ต้องเป็นหยกชั้นเยี่ยมด้วยถึงจะมีมูลค่า!”
เมื่อเห็นท่าทางของเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้นก็หัวเราะ
“เมื่อก่อนคุณหนูสามของตระกูลซ่งคนนั้นก็เคยมีสร้อยหยกชั้นเยี่ยมอยู่ชุดหนึ่ง ว่ากันว่ายังไม่ถึงระดับเนื้อผลึกแก้วเลย ราคาก็ปาเข้าไปเป็นร้อยล้านแล้ว นายว่ามันมีมูลค่าไหมล่ะ?”
ระหว่างที่เยี่ยเทียนกำลังนิ่งอึ้งอยู่นั้น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ตรงรี่เข้ามาหา “นี่น้องชาย หยกก้อนนี้คุณจะขายไหม? ผมจ่ายให้สองล้าน ขายต่อให้ผมก็ได้นะ”
หลายปีมานี้ที่ฮ่องกงกำลังนิยมแหวนที่มีหัวแหวนเป็นหยกเม็ดโตๆ เถ้าแก่มากมายต่างก็ชื่นชอบเป็นที่สุด และก็ยินดีจ่ายเงินไม่อั้นด้วย อย่างหยกก้อนนี้ถ้าตัดแบ่งอย่างประณีตสักหน่อย ถึงจะตั้งราคาไว้สองล้าน ก็ยังมีโอกาสที่จะหากำไรได้เกือบหนึ่งล้าน
“คุณจะซื้อรึ? ขอโทษนะ ไม่ขาย!”
เยี่ยเทียนฟังภาษาฮ่องกงของชายคนนั้นไม่ค่อยออก แต่คำว่าสองล้านนั้นยังพอฟังออกอยู่ เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ผมไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย ศิษย์พี่ หยกก้อนนี้น่ะซื้อมาด้วยเงินของพี่ พี่รับไปดีกว่านะครับ!”
หยกแกรไฟต์ชิ้นนี้แม้จะนับว่าไม่เลว แต่ปราณวิเศษภายในยังไม่ถึงระดับที่ เยี่ยเทียนต้องการจะนำไป ปลุกเสกเป็นเครื่องรางของขลัง แต่ถ้าเอาไปใช้ทำค่ายกลก็จะเล็กเกินไปอีก เยี่ยเทียนจึงไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรต่อไปดี
และเยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้หน้าด้านถึงขนาดที่จะขายมันทิ้งไปแบบนี้ เพราะถึงแม้หยกชิ้นนี้จะชื่อว่าเป็นของเขา แต่จั่วเจียจวิ้นเป็นคนออกเงินซื้อมา
ถ้าที่กะเทาะออกมาได้ไม่ใช่หยกก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้เมื่อได้หยกชั้นเยี่ยมออกมา ถ้าเอาไปขายให้คนอื่น ก็จะดูเหมือนเขาโลภมากเกินไป และเยี่ยเทียนเองก็จะรู้สึกผิดต่อศิษย์พี่ด้วย
“อย่าเลยน่าเยี่ยเทียน ศิษย์พี่จะเอาเปรียบนายแบบนี้ได้ยังไงกัน” พอได้ยินเยี่ยเทียนบอก จั่วเจียจวิ้นก็รีบส่ายหน้า
“มัวเกี่ยงกันแบบนี้อายเขานะครับศิษย์พี่ พี่เอาไปเถอะน่า” เยี่ยเทียนมองซ้ายมองขวา แล้วกระซิบเบาๆ “ขนาดเครื่องรางนั่นผมยังยกให้ติงติงไปแล้วเลย นับประสาอะไรกับหยกนี่ละครับ?”
“งั้น…งั้นก็ได้ เยี่ยเทียน ไว้พอนายจะออกจากฮ่องกงแล้ว ศิษย์พี่จะหาของมาให้นายบ้างนะ”
จั่วเจียจวิ้นคิดดูแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง เครื่องรางของเยี่ยเทียนนั้นถ้านำมาขายในแวดวงอภิมหาเศรษฐีฮ่องกงเหล่านี้ ถึงจะตั้งราคาสิบล้านก็ต้องมีคนแห่กันมาซื้อแน่ๆ ราคานั้นไม่ใช่ระดับที่หยกชิ้นนี้จะเทียบได้เลย
ขณะนั้นมีคนกำลังมุงดูอยู่มากมาย สองชายจะมัวเกี่ยงกันไปมาก็กระไรอยู่ จั่วเจียจวิ้นจึงรับหยกเม็ดนั้นมา ส่วนในใจก็ตัดสินใจว่า เมื่อถึงตอนที่เยี่ยเทียนจะออกจากฮ่องกง ตนจะต้องให้ของขวัญชิ้นใหญ่แก่อีกฝ่ายบ้าง
“คังกั๋ว ดูแล้วเป็นยังไงบ้าง? ถ้าเสร็จแล้วก็เอามากะเทาะดูนะ!”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนประเดิมได้หยกดีแบบนี้ จั่วเจียจวิ้นก็อยากจะอาศัยจังหวะที่กำลังมีโชคอยู่ กะเทาะดู หินดิบที่ตนซื้อมาเหล่านั้นดูบ้าง จึงได้ตะโกนเรียกลูกเขย
“เกือบแล้วครับพ่อ กะเทาะได้แล้วครับ!” เมื่อได้ยินพ่อตาร้องเรียก หลิวคังกั๋วก็พาเจ้าหน้าที่หลายคนลำเลียง หินดิบสิบกว่าก้อนที่พวกเขาซื้อไว้ครั้งนี้มา
จั่วเจียจวิ้นมองดูหินดิบที่ลูกเขยวาดเส้นไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วพยักหน้า “คังกั๋ว มือพ่อคงใช้ไม่ได้ วันนี้ให้นายเป็นคนกะเทาะก็แล้วกันนะ”
ตอนแรกจั่วเจียจวิ้นก็อยากจะให้เยี่ยเทียนช่วยกะเทาะเปลือกหินให้ แต่เมื่อนึกถึงการกะเทาะหินอันดุเดือด ของเยี่ยเทียนแล้ว สุดท้ายจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป
เพียงแต่จั่วเจียจวิ้นไม่รู้ว่า เยี่ยเทียนสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้หมดทุกรายละเอียดมานานแล้ว ตอนที่กะเทาะหินเมื่อครู่นี้แม้จะดูเหมือนใจร้อนดุดัน แต่ที่จริงทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของเขาหมด
หลิวคังกั๋วกะเทาะหินอย่างระมัดระวังกว่าเยี่ยเทียนมากนัก ต้องหยุดพิจารณาก่อนแทบทุกครั้งที่จะลงมีด แม้ว่าในสายตาของคนอื่นๆ นี่จะเป็นวิธีการกะเทาะหินที่ถูกต้องแล้ว แต่เยี่ยเทียนดูแล้วเกือบจะหาวออกมา
“ศิษย์พี่ครับ พวกพี่กะเทาะกันไปนะ ผมจะไปเดินดูทั่วๆ หน่อย” หลังจากดูอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็เริ่มจะเบื่อ เมื่อมองออกไปแล้วเห็นว่า อาติงก็กำลังอุ้มหินก้อนหนึ่งคุยกับเหวินหลวนสงอยู่ไม่ไกลนัก ก็ยิ้มออกมาแล้วเดินเข้าไปหา
เยี่ยเทียนเข้าไปตบไหล่อาติงแล้วพูดว่า “อาติง แกก็จะพนันหินกับเขาด้วยเหรอ?”
“นายน้อย ไหนๆ ก็มาแล้วนี่ครับ ผมก็เลยลองซื้อเล่นดูบ้าง”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียน อาติงก็หัวเราะแฮ่ๆ ขึ้นมา นอกจากเรื่องตีรันฟันแทงแล้ว สิ่งที่เขาชอบที่สุดก็คือการพนันนี่แหละ ตั้งแต่เลิกเล่นพนันไปเมื่อสิบปีที่แล้ว เขาก็ไม่ได้ไปเกาะมาเก๊าอีกเลย วันนี้พอได้เห็นการพนันหินลักษณะนี้ จึงอดคันไม้คันมือขึ้นมาไม่ได้
“น้องติง คุณ…คุณเรียกเยี่ยเทียนว่าอะไรนะ?”
พอเหวินหลวนสงที่อยู่ข้างๆ ได้ยินอาติงเรียกเยี่ยเทียนอย่างนั้น ก็ตะลึงตาค้างไปเลย ควรทราบว่า ถังเหวินหย่วนปฏิบัติต่ออาติงเหมือนเป็นลูกหลาน แม้แต่เขาเองก็ยังไม่กล้าเสียมารยาทกับอาติงเลย
“ฮ่ะๆ พี่เหวิน ผมกับอาติงมีความเกี่ยวข้องกันทางอื่นอยู่ เขาเลยเรียกไปตามลำดับอาวุโสน่ะครับ”
เยี่ยเทียนหัวเราะ แล้วก็ไม่ได้อธิบายอะไรอีก ทำให้เหวินหลวนสงมีความคิดสับสนไปหมด เขาพบว่ายิ่งตัวเองรู้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูชายหนุ่มตรงหน้าผู้ไม่ทราบที่มาคนนี้ไม่ออก
“นายน้อย วันนี้มือขึ้นจังเลยนะครับเนี่ย ลองดูให้ผมหน่อยสิครับว่าเป็นยังไงบ้าง?” เพราะอาติงเห็นเยี่ยเทียนพนันได้กำไรไปเมื่อครู่นี้ ถึงได้รีบอุ้มก้อนหินของตัวเองมาเตรียมกะเทาะเปลือกบ้าง
เยี่ยเทียนมองหน้าอาติงอย่างถี่ถ้วน แล้วหัวเราะตอบว่า “อาติง วันนี้ตาแกมีลายเป็นเส้นๆ เหมือนเส้นขน นัยน์ตาเหมือนข้าวฟ่าง จะเป็นวันซวยเสียทรัพย์ …”
“อะไรนะ? นายน้อย คุณ…คุณทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะครับ?” พอได้ยินคำตอบของเยี่ยเทียน อาติงก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาทันที
เยี่ยเทียนตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็แกไม่ได้บอกฉันนี่ว่าจะพนันด้วย ทำไม ไม่เชื่อฉันงั้นรึ? งั้นแกก็ไปลองผ่าดูสิ”
“ก็ซื้อมาแล้วนี่ ก็ต้องผ่าอยู่แล้วสิครับ”
อาติงทำหน้ามุ่ยพลางอุ้มก้อนหินขนาดเท่าลูกฟุตบอลนั้นไปที่เครื่องตัดหินเครื่องหนึ่ง แต่พอเยี่ยเทียนพูดมาอย่างนั้น เขาก็ไม่มีอารมณ์จะไปเช็ดขัดหินแล้ว เดินเครื่องให้ฟันจักรอัลลอยเริ่มทำงาน แล้วผ่าลงไปตรงกลางเลย
“เฮ้อ ชวดซะแล้ว…” บรรดาคนที่มุงดูอยู่ข้างๆ ต่างถอนใจออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“นายน้อย คราวหน้าคุณต้องทักเตือนอาติงล่วงหน้าด้วยนะครับ…”
อาติงทิ้งหินดิบที่ถูกผ่าเป็นสองซีกนั้นลงไปกับพื้น แล้วรี่เข้าไปถึงหน้าเยี่ยเทียน แต่สีหน้ากลับไม่ได้ดูเศร้าเสียใจเลยสักนิด เพราะถึงอย่างไรเงินแสนกว่าดอลล่าร์ฮ่องกงนี่ ก็ไม่ได้เป็นตัวเลขมากมายอะไรสำหรับเขาอยู่แล้ว
“ต่อไปแกอย่ามายุ่งเรื่องพวกนี้เลยจะดีกว่า…” เยี่ยเทียนขึงตาใส่อาติงอย่างขุ่นเคือง ด้วยสถานะของเยี่ยเทียนแล้ว จะไปมีเวลาว่างมาดูโหงวเฮ้งให้เขาว่ามีโชคพนันไหมได้ยังไงกัน?
“น้องเยี่ย แล้วพี่ล่ะวันนี้จะเป็นยังไงบ้าง?”
ทางนี้เยี่ยเทียนเพิ่งจะดุอาติงไป เหวินหลวนสงกลับถามคำถามเดียวกันออกมาอีก ทำให้เยี่ยเทียนทั้งขำทั้งนึกฉุน ทำไมเจ้าพวกนี้ถึงไม่กล้าเข้าไปถามจั่วเจียจวิ้นดูบ้างเล่า?
“พี่เหวิน อยากจะฟังความจริงรึเปล่าล่ะครับ?” เมื่อครู่นี้เพิ่งจะพนันได้หยก เยี่ยเทียนจึงกำลังอารมณ์ดี และคร้านจะต่อปากต่อคำกับสองคนนี้แล้ว
“ก็ต้องอยากฟังความจริงอยู่แล้วละ!” เหวินหลวนสงรีบพยักหน้า อันที่จริงแล้วที่เขาถามไปนั้น เป็นเพราะอยากจะกระชับไมตรีกับเยี่ยเทียนต่างหาก
“ได้ งั้นผมขอพูดตรงๆ ละนะ”
เยี่ยเทียนจ้องดูเหวินหลวนสงครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “พี่เหวิน ที่คางพี่มีสิวขึ้นเม็ดนึง เป็นลักษณะของผู้ที่จะเสียทรัพย์ ส่วนตาข้างขวานั้นตาขาวก็เห็นเส้นเลือดหนายาวชัดเจน เป็นลักษณะของผู้ที่ทรัพย์จะรั่วไหล ผมว่าวันนี้พี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่า อาติงเท่าไหร่หรอกครับ!”
……