ตอนนี้ไม่มีใครสนใจดูเยี่ยเทียนตัดหินแล้ว เอาเวลาตัดเศษหินไร้ประโยชน์พวกนี้มาใช้คิดถึงหินที่ตัวเองซื้อมาดีกว่า ตอนที่เยี่ยเทียนลงมีดสับหิน มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เฝ้าดูอยู่
“ตัด…ตัดออกแล้ว?”
ผู้ที่เฝ้าดูอยู่เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเหวินหลวนสงเพราะเขาอยากจะรู้เหลือเกินว่าคำทำนายของเยี่ยเทียนที่ว่าเขาจะ เสียทรัพย์นั้นจริงหรือไม่
คำตอบเกิดขึ้นตามมาเมื่อเยี่ยเทียนฟันมีดลง อย่าเพิ่งพูดถึงคุณภาพของหยกเลย หินทั้งหมดเหวินหลวนสง ยกให้เยี่ยเทียนไปแล้ว เพราะฉะนั้นคำทำนายว่าจะเสียทรัพย์การเงินรั่วไหลนั้นเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
“เขียวมากเลย เป็นหยกเนื้อดีจริง!”
“เร็วๆ ล้างเสร็จแล้วเอามาดูหน่อย…”
เสียงของเหวินหลวนสงเรียกให้คนเข้ามามุงดูอีกครั้ง การเดิมพันหินนั้นคุณอาจจะตัดหินเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่ไม่เป็นที่จดจำถ้าสิ่งที่คุณได้มานั้นไม่มีค่า แต่หากตัดได้ของดีแค่เพียงครั้งเดียวคุณก็จะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้
“นายน้อย เขียว…เขียวสะท้อนตาจริง!…”
ยังไม่ทันรอคนงานลงมือ อาติงยกอ่างน้ำเดินดุ่มเข้ามา ค่อยๆนำหินที่มีรอยตัดนั้นลงล้างในน้ำ
“ให้ฉันดูหน่อย…”จั่วเจียจวิ้นดันอาติงหลบไป แล้วเปิดไฟฉาย นำไฟฉายส่องแนบกับรอยตัดบนหิน
“ว้าว!”
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ผู้คนต่างมุงรอบเบียดเสียดเข้ามา แสงไฟมืดเกินไป เมื่อจั่วเจียจวิ้นใช้ไฟฉายส่องเข้าไปในเนื้อหิน ผู้ชมต่างอุทานขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน
แต่ละคนในที่นั้นเดินบนเส้นทางนี้มากว่าห้าปี แต่ภาพที่ปรากฎตรงหน้ากลับไม่เคยเห็นมาก่อน
ตรงที่แสงไฟฉายจ่อกับรอยตัดหิน มีก้อนหยกสีเขียววาววับตา ยิ่งมีแสงสว่างจากไฟฉายส่องประชิด ยิ่งช่วยขับความแวววาวทอประกายสีเขียวสาดส่องลงไปบนมือขวาของจั่วเจียจวิ้น
“นี่…นี่มันหยกเฝยชุ่ยอะไร?”
เห็นวงแสงสีเขียวแล้วจั่วเจียจวิ้นตกตะลึง เขาเดิมพันหินมาเป็นสิบๆปี ยังไม่เคยเห็นหยกชิ้นไหน เป็นของแท้บริสุทธิ์เท่าชิ้นนี้มาก่อน
ชายชราอายุประมาณเจ็ดสิบปีผู้มีผมขาวทั้งหัวตะโกนขึ้นมาว่า “หรือ…หรือนี่จะเป็นมรกต?!”
สิ้นเสียงของชายชรา ทุกคนในที่นั้นสงบเสียงลงแล้วหันมามองเป็นตาเดียวที่หินบนแท่นตัดหินนั้น
“ศิษย์พี่ มรกตคืออะไรเหรอ?”
เยี่ยเทียนไม่เข้าใจที่ชายชราพูด คำศัพท์เฉพาะบางคำเช่นหินเนื้อคริสตัลแก้วกับหยกเฝยชุ่ยก็เพิ่งจะได้เรียนรู้วันนี้ เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่ามรกตคืออะไร
“เดี๋ยวค่อยว่ากัน คังกั๋ว เอาเครื่องเจียระไนมาให้ฉัน”
จั่วเจียจวิ้นโบกมือ ยื่นมือข้างที่ดีออกไปหาลูกเขย เมื่อรับเอาเครื่องเจียระไนมาแล้ว จั่วเจียจวิ้นนึกได้ว่า มีบาดแผลที่แขน ยิ้มแหย “เยี่ยเทียน นายทำเถอะ ต้องระวังให้มากนะ!”
“ของสิ่งนี้มีมูลค่าสูงมาก?” เยี่ยเทียนสั่นศีรษะ แล้วรับเอาเครื่องเจียระไนมา
“ไม่ใช่เรื่องมูลค่าสูงไม่สูง แต่ไม่สามารถวัดมูลค่าได้ด้วยเงินต่างหาก นายระวังหน่อยแล้วกัน!” จั่วเจียจวิ้นเห็นท่าทีไม่ใส่ใจของเยี่ยเทียนจึงกล่าวเตือน
“คุณจั่ว เปลี่ยนคนเถอะ ถ้าเกิดทำพลาดจะยิ่งน่าเสียดาย!”
“ไม่งั้นฉันทำเอง? รับรองว่าจะไม่ให้พลาดสักนิด”
“ให้ฉีเหล่าทำดีกว่า เขาไม่เคยตัดพลาดเลย”
ท่าทางการตัดหยกของเยี่ยเทียนเมื่อครู่แล้วดูไม่น่าเชื่อถือ พอเยี่ยเทียนถือเครื่องเจียระไนทำท่าจะเจียรลงไป ทุกคนต่างทักท้วงกันใหญ่
ชายชราเมื่อครู่พับแขนเสื้อขึ้น เตรียมจะรับเครื่องเจียระไนจากเยี่ยเทียน แต่เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจชายชราแม้แต่น้อย เยี่ยเทียนถือเครื่องเจียระไนเดินตรงไปที่หินชิ้นนั้น
“หินของผม ผมจะตัดยังไงก็เรื่องของผม ไม่ต้องให้พวกคุณช่วยหรอก?”
เยี่ยเทียนเบ้ปากตอบ กดปุ่มเปิดเครื่องเจียระไน ลงมือโดยไม่ได้ตรวจดูให้ละเอียดเลย เสียง”แคร้ก แคร้ก”ของหินแตก
“เบาๆหน่อย อย่าตัดเสีย!”
“เฮ้อ…คนหนุ่มใจร้อนเสียจริง!”
การเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียนทำให้ผู้ชมอกสั่นขวัญหาย ถ้าหากเป็นมรกตจริง แล้วเกิดเยี่ยเทียนตัดเสีย คนอื่นๆคงต้องคิดอยากจะฆ่าเขาแน่
เยี่ยเทียนเหมือนไม่ได้ยินคำเตือน ไม่ชะงักมือช้าลงเลย เจ็ดแปดนาทีผ่านไป ใบมีดเจียไรเนียถูกตัดจนทื่อ
อาศัยจังหวะที่เยี่ยเทียนเปลี่ยนใบมีด ผู้ชมโดยรอบเบียดเสียดยื่นหน้าเข้ามาดูผลงานของเขา พบว่าเทคนิคการเจียระไนนั้นดีมาก ส่วนเกินถูกเจียออกจนเห็นรอยขอบสีขาวชั้นนอกที่ห่อหุ้มหยกชั้นในไว้อย่างไม่เสียหาย
“ฝีมือสุดยอด นี่ถึงจะเรียกว่าคมในฝัก!”
เยี่ยเทียนวางงานลง เปลี่ยนใบมีดอีกครั้ง ตอนนี้ไม่มีใครกล้าวิจารณ์เขาอีก ทุกคนกลั้นใจรอหยกชั้นเลิศ ที่เจียระไนเสร็จแล้วว่าจะสวยงามขนาดไหน
การเจียรหินไม่เหมือนกับตัดหิน การเจียรหินต้องค่อยๆเจียรเอาขอบนอกออก เป็นงานละเอียดอ่อน จากหินก้อนเท่าลูกฟุตบอลถูกเจียรออกจนเหลือแต่เนื้อหยก ถ้าเป็นมืออาชีพยังต้องใช้เวลาสามถึงห้าชั่วโมง
ดังนั้นแม้แต่เยี่ยเทียนที่ใช้การคำนวณจากแรงมือ ใช้ใบมีดตัดไปอีกเจ็ดแปดอัน กินเวลาอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง จึงจะได้หยกเฝยชุ่นขนาดเท่ากำปั้นออกมา
เวลาผ่านไป ฟ้ามืดสนิทลง ไม่มีใครได้รับประทานอาหาร ต่างก็หิวท้องกิ่วกันทั่ว ทุกคนจับตามองหยกชิ้นนั้น ในอุ้งมือของเยี่ยเทียน แสงสีของหยกได้ย้อมมือของเขาให้เป็นสีเขียว
“สีมรกต!”ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นหยกจักรพรรดิแน่นอน…”
ฉีเหล่าผู้มีผมขาวโพลนใช้แว่นขยายส่องดูหยกนานถึงครึ่งชั่วโมง กล่าวต่ออย่างตื่นเต้นว่า “เนื้อผลึกแก้ว สีเขียวมรกต ตั้งแต่ผมเกิดมาเคยเห็นแค่เพียงสองครั้งเท่านั้น!”
ฉีเหล่าแตกต่างจากคนค้าขายอัญมณีอื่นทั่วไป เพราะเขาคร่ำหวอดอยู่ในวงการมาทั้งชีวิต เป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านหยกตัวจริง
ปลายยุคปี 40 เพิ่งได้มาถึงฮ่องกงไม่นาน หลายสิบปีที่ผ่านมา ฉีเหล่าไปมาฮ่องกงพม่าบ่อยครั้ง เพื่อส่งเสริมการค้าเครื่องประดับหยก การที่เครื่องประดับหยกได้รับความนิยมในฮ่องกงเป็นผลงานของฉีเหล่าไม่น้อย
ดังนั้นเมื่อฉีเหล่าประกาศออกมาว่าหยกนี้เป็นหยกจักรพรรดิ ซึ่งเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว คนที่อยู่ในที่นั้นต่างมอง ด้วยความอิจฉา
ส่วนเจ้าของคนเก่าอย่างเหวินหลวนสงตอนนี้สีหน้า น่าดูทีเดียว
ถ้าเยี่ยเทียนตัดออกมาเป็นแค่หยกทั่วไปเหวินหลวนสงจะไม่สนใจเลย แต่นี่เป็นถึงหยกจักรพรรดิ ซึ่งมีเงินมากแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้ ถ้าได้หยกมามอบให้คนรู้ใจแล้วละก็ คงจะเป็นที่ถูกใจคนที่รักใคร่ชอบพอเป็นที่สุด
แต่ต่อหน้าคนมากมาย เถ้าแก่เหวินได้แต่กัดฟันทน คำพูดที่พูดไปแล้วไม่อาจกลับคำ ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่มีหน้าจะไปขอหยกคืนมา
เห็นสายตาหลงใหลจากผู้คนที่รายล้อมอยู่นั้น เยี่ยเทียนหันไปถามจั่วเจียจวิ้นว่า “ศิษย์พี่ หยกจักรพรรดินี่มันเป็นยังไง อธิบายให้ผมฟังหน่อย!”
หยกชิ้นนี้สำหรับเยี่ยเทียนถือว่าใช้ได้ แต่ก็แค่ใช้ได้เท่านั้น เพราะมันไม่ได้ถูกบ่มเพาะด้วยพลังหยินหยางมงคล แม้จะสวยงามแต่ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ นำมาติดตัวไว้ก็ไม่สามารถป้องกันภัยหรือเรียกโชคลาภได้
หยกเฝยชุ่ยเป็นหยกที่ดูดซับพลังธรรมชาติได้มากกว่าหยกทั่วไป เยี่ยเทียนจะแกะสลักมันทำเป็นเครื่องเรือน ประดับแขวนไว้ในเรือนสี่ประสานของตัวเอง ดูซิว่าจะต้องใช้เวลากี่ปีจึงจะกลายเป็นเครื่องรางได้?
“เยี่ยเทียน หยกจักพรรดิ ความหมายตรงตัวเลย แปลว่าหยกของพระราชาไง หยกจักรพรรดิเป็นสีที่ดีที่สุด ราคาสูงที่สุดในบรรดาหยกทั้งหมด…”
จั่วเจียจวิ้นยิ้มอธิบายให้เยี่ยเทียนฟัง “หยกจักรพรรกิคือหยกที่มีสีเขียวสดแบบพิเศษ นายดูสิ สีเขียวของมันเหมือนจะหยดออกมาเป็นหยดน้ำเลย…”
“งั้นมันก็มีค่ามากน่ะสิ?!”
เยี่ยเทียนฟังที่จั่วเจียจวิ้นพูดจบถึงเข้าใจว่าหยกจักรพรรดินั้นหมายถึงหยกที่มีสีเขียวมรกต แต่หยกเฝยชุ่ยที่มีสีเขียวทั่วไปนั้น ไม่ใช่หยกจักรพรรดิ
ต้องเป็นหยกเนื้อแก้วเท่านั้น และจะต้องมีสีเขียวแบบเขียวมรกตจึงจะเรียกว่าหยกจักรพรรดิได้
แต่ด้วยสองเงื่อนไขนี้ การจะหาหยกจักรพพรดิได้นั้นยากมาก แม้แต่ชุดเครื่องประดับหยกของ คุณนายสามพี่น้องตระกูลซ่ง ยังไม่ใช่หยกจักรพรรดิเลย
หยกเฝยชุ่ยนั้นได้รับความนิยมมาเป็นร้อยปี แต่การปรากฎของหยกจักรพรรดินั้นมีเพียงไม่กี่ครั้ง ทุกครั้งที่ปรากฎขึ้นต้องเกิดการต่อสู้แย่งชิงอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งผู้ที่ได้ครอบครองก็จะเก็บรักษาไว้อย่างดี ไปหาตามท้องตลาดไม่มีแน่นอน ไม่อย่างนั้นคนอย่างเหวินหลวนสงคงไม่เสียใจภายหลังขนาดนี้
เยี่ยเทียนดูจะยังไม่ค่อยเข้าใจ จั่วเจียจวิ้นจึงพูดต่อว่า “เยี่ยเทียน หยกชิ้นนี้จะเจียระไนเป็นเม็ดหรือจะแกะสลัก เป็นของประดับก็เป็นของหายาก เป็นสมบัติตกทอดในวงตระกูลก็ว่าได้!”
จั่วเจียจวิ้นพูดยังไม่ทันขาดคำ ผู้เฒ่าฉีเหล่าเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า “น้องชาย หยกชิ้นนี้ นายพอจะขายต่อได้ไหม?”
“ใช่ ใช่ น้องชาย ฉันให้ยี่สิบล้านแลกกับหยกชิ้นนี้ นายว่ายังไง?”
“ยี่สิบล้าน อย่าเอาเปรียบคนอื่นสิ? น้องชาย ฉันให้สามสิบห้าล้าน ยกให้ฉันเถอะ?”
“ฉันให้ห้าสิบล้าน ขายให้ฉัน!”
ผู้ที่ล้อมรอบอยู่ต่างหมายปองหยกในมือของเยี่ยเทียน เมื่อมีคนเสนอราคาขึ้น คนอื่นๆเริ่มต่อรองให้ราคาสูงกว่า ชั่วพริบตาเดียวก็มีคนให้ราคาสูงถึงห้าสิบล้าน
ความจริงแล้วเครื่องประดับหยกจักรพรรดิเวลาขายทอดตลาด ราคาไม่ได้สูงขนาดนี้
แต่เพราะไม่ค่อยมีหยกจักรพรรดิในท้องตลาดมากนัก อีกทั้งหยกชิ้นนี้ของเยี่ยเทียนเป็นหยกดิบ ซึ่งผู้ที่ได้ไปจะนำไปแกะสลักเป็นอะไรก็ได้ ดังนั้นราคาจะถูกประมูลให้สูงขึ้นๆ
“อะแฮ่ม เยี่ยเทียน ไม่อย่างนั้น…ฉันให้แปดสิบล้านเลย นายยกหยกชิ้นนี้ให้ฉันเถอะ”
เหวินหลวนสงที่เงียบมานานกระแอมขึ้น ราคาที่เขาเสนอทำให้คนอื่นหุบปากลงทันที
……