“คุณนายกง กิโลเมตรที่สามสิบทิศตะวันออกเฉียงใต้จะถึงริมชายหาดแล้ว ดูเหมือนว่าวันนี้มีพายุไต้ฝุ่นเข้า จะ…ออกไปได้เหรอ?”
ภายใต้ความตั้งใจของกงเสียวเสี่ยว เยี่ยเทียนเดินทางมาถึงที่จอดรถชั้นใต้ดินของโรงแรมด้วยตัวคนเดียว เมื่อคนขับรถได้ยินว่าจะขับไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เขาตกใจจนหน้าซีดไปเลยทีเดียว
ชายฝั่งของไต้หวันมีอันตรายจากพายุไต้ฝุ่นมากกว่าแผ่นดินไหวเสียอีก ทุกๆ ปีจะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ผลผลิตจากอุตสาหกรรมและการเกษตรก็เสียหายมากเช่นกัน ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เกิดพายุไต้ฝุ่นก็ไม่ค่อยมีคนจะออกไปข้างนอก
“ไม่เป็นไร อากั่ว ขับช้าๆ หน่อยก็ได้แล้ว ยังไงวันนี้ก็จะต้องออกไป!”
กงเสียวเสี่ยวในเวลานี้เริ่มจะวิตกกังวล ความคิดถึงที่มีต่อสามีทำให้เธอลืมทุกอย่าง เธอเพียงแต่อยากจะรีบไปหาร่าง ของฝูอี้และนำกลับไปที่ฮ่องกงโดยเร็วที่สุดเท่านั้น
“คุณนายกง ที่จริงไม่ต้องภายในวันนี้ก็ได้” เยี่ยเทียนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง วันนี้เขารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ รู้สึกว่าถ้าออกไปข้างนอก จะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
กงเสียวเสี่ยวส่ายหัวปฏิเสธ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าสลดตอบกลับว่า”อาจารย์เยี่ย ฉันรอวันนี้มา 8 ปี รอต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉันขอร้อง ช่วยพาฉันไปเถอะนะ?”
เยี่ยเทียนยกมือขึ้นมาขัดระหว่างที่กงเสียวเสี่ยวกำลังพูดอยู่ และหันไปถามคนขับรถ “พี่ชาย กิโลเมตรที่สามสิบ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ คือสถานที่อะไรเหรอครับ?”
คนขับรถ อากั่ว ยิ้มอย่างเป็นกังวล ตอบกลับว่า “ที่นั่นคือท่าเรือกับหมู่บ้านชาวประมง ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลของเกาสงล้วนนำมาจากที่นั่น ปกติเดินทางไปที่นั่นไม่มีอะไรหรอก แต่ว่าอากาศแบบนี้…”
กงเสียวเสี่ยวขอร้องด้วยความน่าสงสารพูดว่า “อากั่ว วันนี้ไม่มีพยากรณ์พายุไต้ฝุ่นเข้า เพียงแค่ฝนตกหนักไปหน่อย คุณพาพวกเราไปเถอะนะ พวกคุณสบายใจได้ เสี่ยวเสี่ยวจะตอบแทนทุกคนให้ดีที่สุด”
“เอาเถอะ แต่ถ้ามีพายุไต้ฝุ่นเข้าจริงๆ พวกเราต้องรีบหันกลับทันทีนะ!”
คนขับรถครุ่นคิดไปสักครู่จึงตอบตกลง เพราะกงเสียวเสี่ยวเป็นเจ้านายใหญ่ของเขา ถ้าวันนี้ไม่ออกรถ เกรงว่าตนเองก็คงไม่สามารถทำงานต่อที่บริษัทของเธอได้อีก
“อืม ถ้างานนี้เสร็จแล้ว ทุกคนจะมีอั่งเปาคนละห้าแสน!”
หลังจากได้ยินคำพูดของคนขับรถ ใบหน้าของกงเสียวเสี่ยวก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น ตัวตนของเธอไม่ได้เป็นคนคิดอะไรตื้นๆ แบบนี้ แต่ในเวลานี้ดูเหมือนว่าจะมีเพียงเงินเท่านั้น ถึงจะแสดงการขอบคุณที่มาจากเธอได้จริงๆ
โบราณกล่าวไว้ว่าผู้กล้าย่อมพร้อมก้าวออกมาเมื่อได้รับข้อเสนอรางวัลที่งามพอ อั่งเปาห้าแสนที่กงเสียวเสี่ยว พูดออกมา ไม่เพียงแต่คนขับรถเท่านั้นที่แสดงความพึงพอใจ ใบหน้าของบอดี้การ์ดกลุ่มนั้นก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เพียงแค่ออกไปตากฝนข้างนอกหน่อยก็มีรายได้เข้ามาห้าแสน เงินก้อนนี้ถ้าไม่เอาก็เสียดายเปล่าๆ
รถยนต์ค่อยๆ ขับออกจากที่จอดรถชั้นใต้ดินของโรงแรม ทันทีที่มาถึงที่โล่ง น้ำฝนที่ตกลงมาเหมือนแม่น้ำเล็กๆ ไหลลงมาตามทางหน้าต่างรถ ทันใดนั้นกระจกที่ใสดูเหมือนจะมีฝ้าเพิ่มขึ้นมาหนึ่งชั้น ทิวทัศน์ด้านนอกที่เคยมองได้จากหน้าต่าง ก็เบลอจนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ฝนยิ่งตกยิ่งหนัก ราวกับมีม่านลูกปัดขนาดใหญ่ห้อยอยู่ระหว่างฟ้ากับดิน ขุ่นมัวไปหมด ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าและฝนที่ตกอย่างกระหน่ำ ราวกับว่าแม่น้ำของฟ้ามีรูและไหลลงสู่พื้นดินอย่างรุนแรง
ในเวลานี้มันเป็นเวลาเที่ยงเท่านั้นแต่ฟ้ามืดเหมือนกับเที่ยงคืน แม้จะเปิดไฟหน้าเอาไว้แต่ก็ไม่สามารถมองเห็น ในระยะสิบเมตรได้ ยังดีที่ประสบการณ์ของคนขับรถนั้นดีมาก รถยนต์สามารถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าการเดินเท้าไม่เท่าไหร่
ระยะทางสามสิบกิโลเมตร รถบัสขนาดกลางแล่นอยู่บนถนนแล้วกว่าสองชั่วโมง เมื่อเดินทางมาถึงริมชายหาด ฝนที่ตกหนักเมื่อสักครู่ก็ดูเหมือนจะเบาลง แต่คลื่นที่ซัดอย่างโหมกระหน่ำและเสียงคำรามของน้ำทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง ทำให้คนที่เห็นนั้นรู้สึกหวาดกลัว
“เอาเถอะ จอดตรงนี้แหละ”
มองดูคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งท่าเรืออย่างรุนแรง สีหน้าของเยี่ยเทียนก็เริ่มจะดูไม่ได้ ต่อให้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเข้าถึง ท้องฟ้า แต่ก็ไม่สามารถทนต่อแรงกระแทกของคลื่นขนาดใหญ่นี้ได้ กำลังของมนุษย์นั้นน้อยมาก เมื่อต้องอยู่ภายใต้ อำนาจของฟ้าดินเช่นนี้
“ปรมาจารย์เยี่ย สามี…ร่างของสามีอยู่ตรงไหน?”
กงเสียวเสี่ยงมองดูเยี่ยเทียนที่กำลังดูผิวน้ำทะเล ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันทีทันใด ถ้าหากร่างของฝูอี้อยู่ในทะเลละก็ ความหวังในการหาจนเจอริบหรี่อย่างมาก
“เดี๋ยวก่อน!”
เยี่ยเทียนยกมือขึ้นมา หยิบเข็มทิศออกมา หลังจากส่งพลังชี่แท้เข้าไปข้างในแล้ว เข็มแม่เหล็กที่อยู่ตรงกลางของเข็มทิศก็เริ่มหมุนไปรอบๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเข็มแม่เหล็กก็ชี้ไปที่ทิศทางหนึ่ง
เยี่ยเทียนตะโกนกับคนขับรถว่า “ขับไปทางนั้น ประมาณสองกิโลเมตร!”
“ได้ครับ”
หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูด คนขับรถก็ขับไปตามทิศทางที่เยี่ยเทียนชี้ นำรถจอดรถไว้ที่ท่าเรือและมองดู คลื่นขนาดใหญ่ที่ซัดอยู่ สร้างความกดดันภายในใจให้กับคนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ตอนที่ออกจากท่าเรือไปสามร้อยเมตร จู่ๆ พื้นถนนก็กลายเป็นโคลนตมและมีความลื่นมากกว่าเมื่อสักครู่ กระแทกโครงเครงไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็พบหมู่บ้านชาวประมงใกล้ริมทะเลอยู่หนึ่งหมู่บ้าน
อันตรายที่มากับฝนกระหน่ำเห็นได้ชัดจากหมู่บ้านชาวประมง ชายหนุ่มร่างใหญ่หลายคนกำลังตากฝน ซ่อนแซมหลังคาที่ถูกลมพัดจนเสียหาย ส่วนเด็กๆกำลังวิ่งร้องกันอยู่ท่ามกลางสายฝน ทั้งหมู่บ้านแสดงให้เห็นภาพที่วุ่นวาย
เมื่อมองเห็นรถยนต์หนึ่งคันกำลังจอดนิ่งอยู่ด้านหน้าของหมู่บ้าน คนแก่คนหนึ่งถือร่มที่กางเอาไว้เดินเข้ามา มีเด็กกลุ่มหนึ่งที่พกความสงสัยเดินตามหลังมาด้วย
“คุณครับ ขึ้นมาคุยในนี้กันสิครับ” เยี่ยเทียนบอกให้คนขับรถเปิดประตู และเรียกผู้ใหญ่ท่านนั้นขึ้นรถ
ฟังสำเนียงกลางของเยี่ยเทียนแล้ว คนแก่ถามด้วยความสงสัย “พวกเธอ…มาจากทางนั้น?”
ถึงแม้ว่าไต้หวันจะพูดสำเนียงกลางเช่นกัน แต่สำเนียงที่นิยมมากกว่าคือสำเนียงหมิ่นใต้กับสำเนียงไต้หวันในพื้นที่ เวลาคนในพื้นที่พูดคุยกันจะไม่ใช้สำเนียงกลาง พอเยี่ยเทียนเอ่ยปากพูดคนแก่ก็ฟังออกทันทีว่ามาจากไหน
“คุณตาครับ พวกเรามาจากฮ่องกงครับ”
เยี่ยเทียนหยิบขนมในรถขึ้นมาหนึ่งห่อและแจกจ่ายกับเด็กๆ เหล่านั้น คนแก่ก็รู้สึกดีขึ้นมาทันใด ยิ้มตอบว่า “ยินดีต้อนรับเพื่อนๆ ที่มาจากฮ่องกง ไม่ทราบว่าพวกคุณมาที่หมู่บ้านชาวประมงเก่าของพวกเรา มีธุระอะไรหรือเปล่า?”
เยี่ยเทียนไม่คิดว่าจะปิดบังจึงพูดออกไปตรงๆ ว่า “ท่านผู้เฒ่าครับ มีอยู่เรื่องหนึ่งอยากจะขอยืนยันกับท่านหน่อยครับ เมื่อหลายปีก่อน คนในหมู่บ้านของพวกท่านเคยเจอศพที่ลอยมาจากทะเลไหม?”
เข็มแม่เหล็กที่กำลังชี้อยู่ขณะนี้ ห่างจากหลุมฝังกระดูกของฝูอี้ไม่ถึงห้าร้อยเมตรแล้ว แต่ถ้าตนเองพาคนกลุ่มหนึ่ง ไปขุดสุสานที่อยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านของคนอื่น ไม่แน่ เขาอาจจะโดนคนตีและไล่ออกมาแน่นอน
“ศพเหรอ?” คนแก่ได้ยินก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง “พวกเราที่อยู่ที่นี่เคยจับคนตายขึ้นมาจากทะเลมานับไม่ถ้วน คุณหมายถึงปีไหนละ?”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปัญหาของเส้นทางการไหลของทะเลหรือไม่ ทุกๆ ปีบนชายหาดของหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้ จะพบศพจากเรืออับปางอยู่บ่อยครั้ง และมีญาติผู้ตายมาตามหาศพที่นี่อยู่เสมอ
คนแก่รู้จุดประสงค์ในการมาที่นี่ของพวกเขาแล้วรู้สึกโล่งใจ เพราะได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด “พ่อหนุ่มต้องพูดให้ละเอียดกว่านี้หน่อย ไม่อย่างนั้นฉันก็จำไม่ได้”
เยี่ยเทียนหันไปมองกงเสียวเสี่ยวหนึ่งครั้ง เปิดปากพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าครับ น่าจะเป็นช่วงปี 1990 ประมาณเดือน 4 เดือน 5 ครับ ผู้ประสบอุบัติเหตุเป็นผู้ชายอายุราว 50 กว่า ท่านผู้เฒ่าพอจะจำได้บ้างไหมครับ?”
คนแก่ขมวดคิ้วครุ่นคิดไปครู่นึง ส่ายหัวด้วยความรู้สึกผิด ตอบว่า “ปี 1990 นี่มันเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว ฉันจำไม่ได้แล้วจริงๆ ในทุกๆปีมีคนตายลอยขึ้นฝั่งเป็นสิบกว่าคน ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชายทั้งนั้น”
คนที่ตายแล้วเมื่อแช่อยู่ในน้ำทะเล ร่างกายจะบวมขึ้น จึงไม่สามารถตัดสินอายุจากหน้าตาได้เลย
เยี่ยเทียนพูดต่อเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม “ท่านผู้เฒ่าครับ คนตายที่พูดถึงน่าจะถูกใส่เอาไว้ในถุงกระสอบครับ คุณพอจะจำได้ไหมครับ?”
ถ้าเป็นไปตามที่เยี่ยเทียทำนายไว้ ฝูอี้น่าจะถูกฆ่าก่อนจากนั้นจึงยัดเข้าไปในกระสอบ หลังจากนั้นพอถึงน่านน้ำ ทะเลสาธารณะแล้วจึงโยนทิ้งลงสู่ทะเล ถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติศพของเขาน่าจะยังอยู่ในกระสอบ
คนแก่ส่ายหัวไปมา พูดแทรกว่า “ไม่มี ไม่มีคนตายที่ถูกใส่ไว้ในกระสอบแล้วลอยมาที่นี่แน่นอน เหล่าฮั่นอย่างฉันจำได้แน่นอน!”
“หืม?” เยี่ยเทียนขมวดคิ้วขึ้น “หรือกระสอบมัดไม่แน่น ศพถูกน้ำทะเลซัดจนลอยออกไปแล้ว?”
“ท่านผู้เฒ่าครับ แล้ว…แล้วผู้ประสบภัยเหล่านั้นถูกฝังไว้ที่ไหนเหรอครับ? คุณสามารถชี้ทางให้กับพวกเราได้ไหมครับ?”
ที่จริงการมาที่นี่ เยี่ยเทียนไม่มีความจำเป็นต้องให้คนช่วยชี้ทาง จุดประสงค์ที่เขาสอบถามคนแก่ ก็เพื่อต้องการไม่ให้เขามาขัดขวางการขุดสุสานนั่นเอง
หลังจากได้ยินคำของเยี่ยเทียนแล้ว คนแก่ก็ชี้ไปที่ข้างหลังของหมู่บ้าน พูดว่า”ด้านหลัง อยู่บนเขาลูกนั้นทั้งหมดเลย หลายปีที่ผ่านมานี้ น่าจะฝังไว้ 100 กว่าศพแล้วมั้ง?”
หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งนี้มีมาแล้ว ช่วงแรกๆ เวลาที่พวกเขาพบศพลอยมา พวกเขาจะรายงาน ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ แต่เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่พบเบาะแสใดๆ ของศพเลย
เวลานานเข้า ชาวบ้านก็เริ่มขี้เกียจไม่เข้าไปรายงาน และจัดการฝังศพเหล่านั้นไว้ที่ภูเขาข้างหลังหมู่บ้านด้วยตนเอง หลายปีมานี้เนินเขาลูกนั้นได้กลายเป็นหลุมฝังศพไร้ญาติไปเสียแล้ว
เยี่ยเทียนนำเข็มทิศออกมาพูดว่า”ท่านผู้เฒ่าครับ คุณผู้หญิงท่านนี้มีญาติถูกฝังไว้ที่นั่น ผมจึงอยากขุดเขาออกมา ไม่ทราบว่าทำได้ไหมครับ?”
“ที่แท้พ่อหนุ่มคนนี้เป็นอาจารย์ฮวงจุ้ยหรือนี่ ได้สิ ได้แน่นอนอยู่แล้ว ฉันให้คนพาพวกคุณไป!”
ที่ฮ่องกงกับไต้หวันสองแห่งนี้ ค่าตอบแทนของอาจารย์ฮวงจุ้ยในแผ่นดินใหญ่นั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่มหาเศรษฐีเจ้าหน้าที่ระดับสูง จนถึงพลเรือนต่างก็เคารพและนับถืออย่างสูงต่ออาชีพนี้
คนแก่ถือร่มไว้ และเรียกเด็กๆ เหล่านั้นลงจากรถไป ผ่านไปไม่นาน ชายวัยกลางคนอายุ 30 กว่าใส่เสื้อกันฝนเอาไว้วิ่งตรงมาพูดว่า “รถยนต์ไม่สามารถขับขึ้นไปได้ พวกคุณต้องเดินไปกับฉัน”
“ได้ครับ ลงรถกันทั้งหมดเลย!”
เยี่ยเทียนพยักหน้าตอบรับ หลังจากใส่เสื้อกันฝนเสร็จก็เดินออกจากรถไป ตอนนี้ความรุนแรงของฝน เบาลงกว่าเมื่อครู่อีก แต่ฝนตกครั้งนี้ทำให้พื้นดินกลายเป็นโคลนไปหมด เหยียบลงไปเท่านั้นน้ำโคลนก็สูงขึ้นจนถึงเท้า
ถนนเป็นโคลนและลื่น ตั้งแต่เดินตามชายวัยกลางคนมาตลอดทาง นอกจากเยี่ยเทียน แล้วบอดี้การ์ด คนอื่นๆ ต่างก็ลื่นล้มกันไปหลายครั้ง
ส่วนกงเสียวเสี่ยวยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง กระโปรงสีขาวที่เธอตั้งใจใส่มากลายเป็นสีเหลืองเทาไปตั้งนานแล้ว และยังเป็นรอยย่นยับติดกับตัวเธอ
ถึงแม้ระยะทางเพียง 3-4 ร้อยเมตรเท่านั้น แต่ทุกๆ คนก็ใช้เวลาเดินไปกว่าครึ่งชั่วโมง หลังจากที่มาถึงเนินเขาแล้ว เยี่ยเทียนสูดหายเฮือกใหญ่ เช็ดน้ำฝนที่อยู่บนหน้า และนำเข็มทิศพลิกมาไว้ที่ฝ่ามือ
…………
“เห้ ฉันคืออากั่ว ตอนนี้อยู่ที่หมู่บ้านชาวประมงเก่าแล้ว ที่นี่ห่างจากท่าเรือสองกิโลเมตร พวกเขาขึ้นเขาไปหมดแล้ว ใช่ ปรมาจารย์เยี่ยท่านนั้นก็ตามขึ้นไปด้วย!”
เยี่ยเทียนที่กำลังสำรวจร่างของฝูอี้อยู่บนเขายังไม่รู้ว่า คนขับรถที่รออยู่ในรถเพิ่งจะโทรศัพท์ออกไป
……