“ฉันไม่เคยพูดนา เฮ้ย จวินจื่อ ฉันบอกแกแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าน้องเยี่ยน่ะเป็นยอดฝีมือเหมือนกัน…”
เกาเฉียนจิ้นถูกหูจวินมองอย่างกล่าวหาจนเลิกลั่กทำอะไรไม่ถูก เดินเข้าโรงแรมไปแล้วนึกได้ว่าการพูดเรื่องส่วนตัว ของคนอื่นถือเป็นข้อห้ามหลักของพวกเขา ถึงแม้ความสัมพันธ์กับหูจวินจะแน่นแฟ้น เกาเฉียนจิ้นยังต้องรีบอธิบายให้ฟัง
“อ้อ น้องเยี่ยต้องเป็นยอดฝีมือจริงๆ เดี๋ยวพอว่างแล้วพวกเราคุยกันหน่อย…” หูจวินเคยอยู่แถวตะวันออกเฉียงเหนือ ของจีนมาพักหนึ่ง เวลาพูดจึงมีสำเนียงของทางนั้นอยู่บ้าง
“ได้สิ พี่หู มีเรื่องบางเรื่องที่พี่ต้องระวัง…”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เรื่องค้าขายที่มาถึงหน้าประตู เขาไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธคนที่ชื่อหูจวินคนนี้ถึงแม้วัยเยาว์จะลำ บากยากเข็ญ แต่ตอนนี้กลับมีการเปลี่ยนแปลง มีโชคลาภวาสนาดียิ่งกว่าเกาเฉียนจิ้นเสียอีก
“ดี ดี ครั้งนี้ถ้าไม่ได้พบอาจารย์หลัว แต่ยังได้รู้จักน้องเยี่ย ก็ถือว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว!”
หลังจากฟังคำของเยี่ยเทียนจบ หูจวินจึงหัวเราะเสียงฮ่าๆ ประสบการณ์ชีวิตของเขานั้นโชกโชนกว่าเกาเฉียนจิ้น เพียง การพูดจาไม่กี่ประโยค ก็รับรู้ได้ถึงความไม่ธรรมดาของเยี่ยเทียน
“พี่เกา พี่กับคุณหลง ใกล้จะมีข่าวดีใช่ไหม?”
เมื่อเข้าไปในลิฟท์ เยี่ยเทียนสังเกตุว่าคิ้วที่เคยขมวดกันแน่นของหลงเสวี่ยเหลียนตอนนี้คลายออกแล้ว บวกกับ ความสิเน่หาที่เห็นได้จากหว่างคิ้ว ทำให้รู้ว่าได้เกิดความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแนบแน่นกับเกาเฉียนจิ้นแล้ว
“ฮ่าๆ น้องเยี่ย นายก็มองออกด้วยเหรอ?”
เรื่องแบบนี้สำหรับผู้ชายไม่ค่อยจะปิดบังกันเท่าไร เกาเฉียนจิ้นโอบหลงเสวี่ยเหลียนแล้วพูดว่า “เดือนหน้าแต่งงาน ถึงเวลาฉันจะส่งบัตรเชิญไปให้ นายต้องมาให้ได้นะ!”
“แน่นอน แน่นอน…” เยี่ยเทียนยิ้มรับปาก ในใจกลับกังวลถึงการสร้างเรือนสี่ประสานมากขึ้น
วิชาสำนักเสื้อป่านที่เยี่ยเทียนฝึกอยู่นั้น เพราะการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถฝึกไปถึงขั้นสูงสุดได้ ทำให้เขายังต้องรัก ษาพรหมจรรย์เอาไว้อยู่
ช่วงนี้เยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่ายิ่งได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นทุกวัน ต้องมีจับมือโอบกอดกันบ้าง มีหลายครั้งที่อวี๋ชิงหย่าให้ สัญญาณลับให้เขาเดินหน้าได้
แต่ด้วยเพราะเหตุผลนี้ เยี่ยเทียนจึงอดกลั้นไว้ได้ในที่สุด แต่รสชาติของการอดกลั้นนั้นก็ยากจะรับมือได้
ระหว่างที่พูด ลิฟท์ก็มาถึงชั้นหก หลังจากกดกริ่งที่ประตู เกาเฉียนจิ้นก็ยืดหลังยืนตัวตรงขึ้นทันที แม้แต่มือที่กุมมือ หลงเสวี่ยเหลียนอยู่ก็ยังรีบปล่อย
ประตูเปิดออก ชายวังกลางคนอายุประมาณสี่สิบห้าสี่สิบหกปีโผล่ออกมา เมื่อมองดูเยี่ยเทียนและหูจวินพักหนึ่งแล้ว จึงถามเกาเฉียนจิ้นว่า “คุณชายเกา สองท่านนี้คือ?”
“ลุงติง คนนี้เป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกันกับผม มาคารวะอาจารย์หลัว อีกคนคือเยี่ยเทียน คนที่คุณปู่ถังต้องกาารพบ!”
ต่อหน้าชายวัยกลางคน เกาเฉียนจิ้นได้เก็บงำความขี้เล่นเอาไว้จนมิด กิริยาท่าทางมีความระมัดระวังรอบคอบ
“เหรอครับ? งั้นเข้ามาเลย?” หลังจากกวาดตามองเยี่ยเทียนรวดหนึ่งแล้วจึงยอมให้พวกเขาผ่านประตูเข้าไป
“ลุงติงท่านนี้ไม่ธรรมดานะ…”
ตอนที่เดินผ่านชายกลางคนผู้นี้ จมูกของเยี่ยเทียนได้กลิ่นคาวเลือดโชยมา เขารู้ได้ทันทีว่า ลุงติงคนนี้คงเคยฆ่าคนอื่นมาเป็นจำนวนมาก
โลกใบนี้ ผู้ที่มีอำนาจสูงส่ง ในร่างกายจะมีไอมังกร คนที่ร่ำรวยมหาศาล จะมีไอของความสูงส่ง แต่คนที่เป็นฆาตกรใจโฉดฆ่าคนเป็นผักปลา ในร่างกายก็จะมีพลังการฆ่าล้างแฝงอยู่
พลังการฆ่าล้างนี้เรียกอีกอย่างว่าพลังพิฆาต เมื่อได้ฆ่าคนคราวหนึ่งจะได้ซึมซับเอาพลังพิฆาตของคนตายเข้าไป ครั้งหนึ่ง พอสะสมนานวันเข้า จะทำให้พลังพิฆาตของตัวเองไปกระทบกับผู้อื่น
แต่พลังพิฆาตจากคนตายกับพลังพิฆาตจากฟ้าดินนั้นแตกต่างกัน พลังจากคนตายไม่ได้ส่งผลถึงร่างกายมากนัก แต่กลับสร้างความน่ากรงขามให้กับคนที่อยู่ตรงนั้นได้ เช่นเดียวกับแม่ทัพร้อยสมรภูมิในสมัยโบราณที่แค่ถลึงตาทีเดียว ก็ทำให้ เด็กน้อยร้องไห้จ้าได้
แน่นอนว่า วิธีการของเยี่ยเทียนไม่ใช่ความกลัวต่อคนๆนี้ ถึงเทคนิคการฆ่าของเยี่ยเทียนจะสู้คนผู้นี้ไม่ได้ แต่ปรมา จารย์ด้านวิชาอาคมอย่างเขามีหลายวิธีที่จะทำให้ลุงติงคนนี้ไม่อาจต้านทาน
ห้องนี้น่าจะเป็นห้องชุดประธานาธิบดี เมื่อผ่านประตูเข้าไปแล้ว มีห้องรับแขกโอ่โถงอยู่เบื้องหน้า โต๊ะชงชารูปเรือที่พบ เห็นได้แต่ในกวางตุ้งเท่านั้นวางอยู่ตรงกลางห้องรับแขก
ในห้องรับแขกอันกว้างขวางนี้ มีเพียงคนสามคนเท่านั้น นอกจากผู้เฒ่าถังที่เยี่ยเทียนรู้จักแล้ว ยังมีเด็กสาวอายุประ มาณสิบเจ็ดสิบแปดปีอีกคนหนึ่ง
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังมองไปที่อีกคนหนึ่งอยู่ ก็นิ่งค้างไปชั่วครู่ เขาถึงได้รู้ว่าทำไมเมื่อเกาเฉียนจิ้นเห็นตัวเองใส่ชุดแบบนี้แล้วจึงมีปฏิกิริยามากมายนัก เพราะฝ่ายตรงข้ามก็สวมชุดฝึกวิชาที่พริ้วไหวอยู่เหมือนกัน
“เสี่ยวเยี่ย นาย…ผมของนายไปทำอะไรมา?”
เยี่ยเทียนเพิ่งเข้าประตูห้องรับแขกมา ยังไม่ทันพิจารณาดูอาจารย์หลัวเลย คุณปู่ถึงก็ทักขึ้น มองผมขาวเต็มศีรษะของของเยี่ยด้วยสีหน้าตกตะลึงมาก
“เหอะๆ ผู้ใหญ่ที่บ้านเสียน่ะครับ ผมเสียใจเกินเหตุ ต้องทำให้คุณปู่กังวลแทน…”
เยี่ยเทียนเอ่ยตามตรงอย่างไม่ได้ปิดบัง ไม่ใช่เพราะเขาอยากอวดความดีของตัวเอง แต่ไม่อยากพูดโกหกในที่นี้เท่านั้น
“เป็นฉันที่พูดผิดไปเอง…”
ถังเหวินหย่วนผ่านโลกมามาก กล่าวขออภัยแล้วจึงพูดต่อ “เสี่ยวเยี่ย มา ฉันจะแนะนำให้นายรู้จัก ท่านนี้เป็นผู้มีชื่อ เสียงทั้งในอเมริกาใต้ ยุโรปและเอเชียอาคเนย์ อาจารย์หลัว พวกเธอน่าจะเป็นคนในแวดวงเดียวกัน?”
เนื่องจากครั้งนั้นเยี่ยเทียนปิดบังฐานะได้อย่างแนบเนียน ถังเหวินหย่วนหลังจากซื้อเครื่องรางหยกน้ำเต้า
จากเยี่ยเทียนไปแล้ว ก็ไม่เคยรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของเยี่ยเทียน แต่ช่วงก่อนหลังจากที่เยี่ยเทียนรู้จักกับเกาเฉียนจิ้น สถานะ ของเขาจึงไม่สามารถปิดบังได้อีก
“ผู้น้อย คารวะอาจารย์หลัว…”
เยี่ยเทียนฟังถังเหวินหย่วนแนะนำแล้ว จึงรวบมือเป็นหมัดคารวะต่อชายมีอายุประมาณห้าสิบกว่าเบื้องหน้า เพื่อเป็น การแสดงความเคารพตามแบบยุทธภพ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่ต้องมากพิธี ตอนแรกผมแซ่หลัวไม่อยากจะพบคนนอก ในเมื่อคุณกับพี่ถังมีวาสนาต่อกัน ก็ถือว่ามีวาสนากับผมด้วยเช่นกัน นั่งลงก่อนเถอะ!”
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงคือ อาจารย์หลัวท่านนี้มีความเย่อหยิ่งมากอยู่ เมื่อตนได้แสดงความเคารพ เขาไม่มีแม้ แต่จะยืนขึ้นด้วยซ้ำ ทำให้เยี่ยเทียนไม่พอใจเล็กน้อย
ในวงการหมอดูฮวงจุ้ย การสืบทอดวิชาแต่ละสำนักจะเทียบกันด้วยฝีมือ ส่วนสิ่งที่เรียกว่าความอาวุโสกลับไม่ค่อย ให้ความสำคัญ เยี่ยเทียนทำความเคารพก่อน เพราะฝ่ายนั้นเป็นผู้อายุมากกว่าเฉยๆ
อีกอย่าง ถึงเทียบตามอาวุโสแล้วด้วยอายุของหลี่ซั่นหยวนนั้นเป็นผู้อาวุโสกว่าสี่นักทำนายผู้มีชื่อเสียงที่สุด
ในยุคสาธารณรัฐประชาชนจีนเสียอีก ตอนนี้ทั้งในและนอกประเทศจะหาคนที่ระดับอาวุโสสูงเท่าเยี่ยเทียนนั้นยากเต็มที
“อาจารย์หลัว น้องชายของผมคนนี้ที่วันก่อนเคยพูดให้ท่านฟัง ครั้งนี้ผมจึงพาเขามาคารวะท่าน…”
เกาเฉียนจิ้นก้าวออกมาจากหลังเยี่ยเทียน แนะนำหูจวินให้อาจารย์รู้จัก ท่าทางของเขานอบน้อมกว่าเยี่ยเทียนมาก
จนเกือบจะเรียกฝ่ายตรงข้ามว่าท่านเทพหลัวแล้ว
อาจารย์หลัวยังคงไม่ลุกขึ้น แค่พยักหน้าให้หูจวิน พูดว่า “เสี่ยวเกา เธอรู้อยู่ว่าวันหนึ่งฉันทำนายดวงชะตาแค่วันละครั้งเท่านั้น ถ้ามากเกินจะแพร่งพรายลิขิตสวรรค์และโดนกรรมตามสนอง เสี่ยวเกา วันนี้เธอพาคุณหลัวมา เพื่ออะไรหรือ?”
ได้ฟังอาจารย์หลัวพูดอย่างนี้ เกาเฉียนจิ้นรู้สึกลำบากใจ “คือ…คือ อาจารย์หลัว ขอสักครั้งไม่ได้เหรอ?”
อาจารย์หลัวส่ายหน้า “เสี่ยวเกา ถึงแม้ว่าพวกเราจะได้ล่วงรู้ถึงบัญญัติแห่งสวรรค์ แต่ก็มีความเสี่ยงและอันตรายที่สุด เรื่องนี้…ไม่ต้องพูดต่อแล้ว!”
เกาเฉียนจิ้นคิดสักครู่แล้วกล่าวต่อ “งั้น…ถ้างั้นอาจารย์หลัว ท่านว่าอย่างนี้ดีไหม ท่านกลับช้าไปอีกวันหนึ่ง พรุ่งนี้ท่านช่วยทำนายให้เพื่อนผมอีกที ส่วนค่าตอบแทนท่านสบายใจได้ ตามกฎของท่านผมเพิ่มให้อีกเท่านึง เป็นไง?”
“อย่างนี้เหรอ? ใช่ว่าจะไม่ได้!”
ข้อเสนอของเกาเฉียนจิ้น อาจารย์หลัวเงียบไปพักหนึ่งแล้วตอบว่า “ถ้างั้นกลับช้าไปวันหนึ่งแล้วกัน พี่ถัง ท่านต้องรอ อีหนึ่งวันแล้ว”
“ไม่เป็นไร ผมมีเรื่องจะคุยกับเยี่ยเทียนอยู่พอดี อาจารย์หลัวตัดสินใจได้เลย…” ท่าทีของถังเหวินหย่วนต่ออาจารย์หลัว ถึงจะไม่ได้เคารพนบนอบเท่าเกาเฉียนจิ้น แต่ก็ยังรักษามารยาทอยู่เสมอ การพูดจาก็ไว้หน้าอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
“ขอบคุณพี่ถังที่อะลุ่มอล่วย เรื่องที่คุณขอ ผมจะช่วยอย่างสุดความสามารถ!”
ถังเหวินหยวนพูดจบ อาจารย์หลัวก็ยืนขึ้นมา แล้วกวักมือเรียกเกาเฉียนจิ้น “เสี่ยวเกา ห้องรับแขกคนเยอะ ตั้งสมาธิทำนายไม่ได้ เธอเข้าไปในห้องกับฉันเถอะ…”
ตั้งแต่เยี่ยเทียนได้นั่งลงบนโซฟา เขาก็ถูกทุกคนมองเป็นอากาศ มองตามเกาเฉียนจิ้นกับอาจารย์หลัวเดินเข้าห้องไป จู่ๆ ก็โพล่งออกมาว่า “พี่เกา ผมมีเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะถามดีไหม?”
“หืม? น้องเยี่ย เรื่องอะไรล่ะ? วันนี้ฉันมาหาอาจารย์หลัวเพื่อทำนายดวงชะตา เรื่องของนายถ้าไม่สำคัญ ไว้รอฉันกลับออกมาค่อยคุย?”
เกาเฉียนจิ้นได้ยินเสียงเรียกของเยี่ยเทียนจึงหยุดชะงัก เห็นได้ว่าเขาไม่พอใจที่เยี่ยเทียนตะโกนห้ามเขาไว้
“สำหรับผมมันสำคัญมาก…”
เยี่ยเทียนทำให้ทุกคนในห้องหันมามองเป็นตาเดียว “ผมอยากจะถามว่า อาจารย์หลัวทำนายดวงชะตาวันละครั้งต้องการเงินค่าทำนายเท่าไหร่? ทำนายดวงชะตาชีวิตได้อย่างไร? ทำนายเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายเท่าไร? แก้ลิขิตพลิกชะตาคิดเท่าไร?
“นี่…นี่ น้องเยี่ย อันนี้ ฉันเองก็ไม่เข้าใจ…”
เยี่ยเทียนยิงคำถามรัวๆ ใส่เกาเฉียนจิ้น จนเขางุนงงตาค้าง เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าการทำนายดวงชะตาผูกดวงยังแบ่งได้อีกหลายชนิด? เหมือนว่าครั้งก่อนที่ให้อาจารย์หลัวดูดวงให้ แค่โยนเหรียญทองแดงไม่กี่อันเท่านั้น
“เหอะๆ ดูไม่ออกเลยว่า น้องเทียนจะเป็นคนในวงการนี้ด้วย?”
เกาเฉียนจิ้นส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่อาจารย์หลัว อาจารย์หัวเราะออกมา กล่าวว่า “ตอนที่ผมอยู่เมืองนอกก็ เคยได้ยินมาว่า ในประเทศมีคนใช้วิชาอาคมหลอกลวงคนมากมาย เสี่ยวเยี่ยอายุแค่นี้มีรู้มากขนาดนี้ หายาก หายาก!”
คำพูดของอาจารย์หลัวทำให้สายตาของคนอื่นในห้องที่มองเยี่ยเทียนแปลกไป ถ้าบอกว่าอาจารย์หลัวกำลังชมเยี่ย เทียน ไม่สู้บอกว่าอาจารย์กำลังตำหนิเยี่ยเทียนว่าเป็นคนหลอกลวง