“พี่หลาง รอบนี้เรามาลอบฆ่าใครกัน ถึงได้ให้พวกเราลงมือกันทั้งหมดนี่”
กลุ่มอาหลางเป็นพวกลอบยิงจากระยะไกล ปกติเวลาปฏิบัติงานจะเป็นกลุ่มที่มีความปลอดภัยที่สุด ดังนั้นอีกสองคนถึงได้ทำตัวค่อนข้างสบายๆ ตอนนี้ยังมีฝนที่ตกหนักและลมพัดกรรโชก จึงไม่กลัวว่าเสียงจะลอยขึ้นไปบนเขา
“คนที่พี่หลงไม่กล้าสู้ตัวต่อตัว ทำให้เราต้องออกหน้ามานี่”
อาหลางหันกลับไปจ้องที่ทั้งสองคนนั้นเขม็ง กล่าวว่า “รีบตั้งสติกระฉับกระเฉงกันหน่อย พี่หลงบอกไว้ว่า นี่จะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด!”
อาหลางติดตามเทียนหลงมาหลายสิบปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นขาดความมั่นใจ ในคราวที่รบกันในสมรภูมิอิรัก เขาก็ไม่เคยเห็นเทียนหลงจะพะว้าพะวงขนาดนี้
ทำให้ระดับการระวังภัยของอาหลางเพิ่มมากขึ้น ชีวิตที่เพนจรไปมาระหว่างความเป็นความตายหลายปีมานี้สอนให้เขาไม่ประมาทเลินเล่อในตอนปฏิบัติการ ซึ่งแสดงว่าไม่รับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง
ถึงแม้ว่าอาหลางจะระมัดระวังเพียงใด ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าที่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ห่างออกไปสิบกว่าเมตรนั้น มีนักฆ่าขั้นเทพคนหนึ่งแอบเร้นกายอยู่
เยี่ยเทียนไม่ได้จงใจจะหลบซ่อน แม้แต่ร่างกายส่วนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากกิ่งไม้ แต่เขาในเวลานี้กลับทำตัวเหมือนผีไม่มีการขยับเยื้อน ไม่หายใจ ถ้ามองด้วยตาเปล่าก็จะไม่รู้เลยว่าคนอยู่ตรงนี้
นี่ก็ถือเป็นวิชาบังตาแขนงหนึ่ง เยี่ยเทียนปิดผนึกลมปราณทั่วร่าง ตัวเขาหลอมรวมเข้ากับค่ำคืนที่ฝนกระหน่ำหนัก เม็ดฝนใหญ่ที่ตกลงบนพื้นมองเห็นเป็นหมอกหนา ทำให้ร่างกายของเขาราวกับมีกำแพงกั้นอีกชั้นหนึ่งเป็นอย่างดี
“เทียนหลง เทียนหลง คือใคร”
ถึงแม้จะห่างกันกว่าสิบเมตร เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงลมเสียงฝน แต่บทสนทนาของหลายคนนั้น ก็ไม่อาจเล็ดลอดการได้ยินของเยี่ยเทียนไปได้ ที่เขาอดกลั้นไม่ออกไปก็เพราะอยากจะทำความรู้จักอีกฝ่ายให้กระจ่างชัด
แต่ชื่อเทียนหลงนี้เยี่ยเทียนกลับไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาคิดไม่ออกว่าไปทำอย่างไร ถึงได้สร้างความแค้น กับศัตรูคู่แค้นคนนี้จนต้องส่งกองกำลังทหารออกมาสังหารตัวเอง
“แม่เอ้ย ไม่สนละว่าแกเป็นใคร อยากจะเอาชีวิตฉัน ก็ต้องดูก่อนว่าชีวิตตัวเองมีพอเหรอเปล่า”
สายตาของเยี่ยเทียนเป็นประกายปราบ ตั้งแต่ที่เขามาที่ฮ่องกงก็ใช้ชีวิตอยู่กับการฆ่าฟัน ประลองวิชากับชาญ ทองทวน มองทะลุแผนฆ่าของนักฆ่า ทำให้ฝึกจิตใจของเยี่ยเทียนให้ระแวงระวังภัยมากขึ้น
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะสามารถหนีไปได้ แต่เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว เขาไม่มีทางจะให้ตัวเองถูก “กลุ่มทหาร” ที่ติดอาวุธเต็มกำลังตามฆ่า ไม่ว่าเป็นใคร เยี่ยเทียนจะต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวดถึงจะพอใจ!
ลองสัมผัสตำแหน่งของอีกหลายทีม เยี่ยเทียนก็พบว่ามีกลุ่มหนึ่งที่ใช้เวลาแค่ห้านาทีก็ขึ้นมาบนเขานี้แล้ว เยี่ยเทียนเลิกสงสัย พลิกขยับข้อมือขวา หยิบมีดสั้น “อู่เหิน” มาวางไว้กลางฝ่ามือ
ในตอนเดียวกันนั้นเอง มือซ้ายของเยี่ยเทียนก็ทำสัญลักษณ์ วาดครึ่งวงกลมรอบตัว ตลอดทั้งร่างเต็มไปด้วยไอพลัง แต่กลับต้องอาศัยไอพลังธรรมชาติรอบกายในการโจมตี!
“ฮือโถ่เว้ย นี่… นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ในตอนที่เยี่ยเทียนกำลังรวบรวมกระแสไอพลังอยู่นั้น เขาพลันพบว่า พลังที่รวบรวมมาได้อ่อนแรงเหลือคณา อย่าว่าแต่โจมตีศัตรูให้มีชัยเลย กลัวว่าแม้แต่จะป้องกันไม่ให้ศัตรูรับรู้ก็ยังทำไม่ได้
“ฝอกว่างซาน ฝอกว่างซานแม่เอ้ย ไม่ใช่ว่าไอพลังทั้งภูเขานี้ถูกพวกนั้นสูบจนไม่มีเหลือแล้วหรอกนะ”
เยี่ยเทียนพลันคิดถึงชื่อของภูเขาลูกนี้ที่ตัวเองเหยียบอยู่ พลันตาค้าง หากไม่ใช่กลัวว่าจะเผยตัวเองออกไป เยี่ยเทียนก็จะร้องแรกแหกกระเชิงด่าทอ ตัวเองหาสมรภูมิรบอย่างยากลำบาก แต่กลับเป็นที่ที่กดวิชาของตัวเอง
ในลัทธิเต๋า “คัมภีร์ฝึกตน” สามารถทำลายไอพลังหยินได้ ก็เช่นเดียวกัน ศาสนาพุทธก็มีหลายคัมภีร์ที่สามารถต่อกร กับวิญญาณแค้นได้ ทำลายไอพลังหยินระหว่างฟ้าดิน คุณสมบัติไม่ได้แย่ไปกว่า “คัมภีร์ฝึกตน” เลยแม้แต่น้อย
วิชาฆ่าคน ต้องหยิบยืมไอพลังหยินจากฟ้าดิน แต่ภูเขาฝอกว่างซานนี้ดูดพลังไปจนหมดสิ้นแล้ว ก่อนหน้านั้นเยี่ยเทียนไม่ได้คิดถึงจุดนี้ มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่เลือกสถานที่นี้หรอก
“ใคร!” การกระทำของเยี่ยเทียนครั้งนี้ ทำให้กลุ่มของพวกอาหลางสามทั้งสามคนตื่นตัว พร้อมกับหันหน้าไปมองจุดที่เยี่ยเทียนอยู่
โดยเฉพาะอาหลาง ในใจพลันขมวดเป็นเกลียว มือขวาขยับเคลื่อนอยู่บนปืนซุ่มยิงระยะไกล อีกคนที่อยู่ใกล้เขาก้ฬช้ปืนกลมือ AK47 SMG ยิงไปทางต้นไม้ที่เยี่ยเทียนแอบซ่อนตัวอยู่
“ปังปังปัง…ปังปังปัง…”
เสียงปืนที่ดังขึ้นผ่านม่านฝนที่โหมกระหน่ำ ทีมทั้งเจ็ดที่อยู่บนภูเขาพร้อมใจกันหันมาทางตำแหน่งที่อาหลางอยู่
“อาหลาง เป็นอะไรเกิดอะไรขึ้น”
เสียงสอบถามของเทียนหลงดังลอยออกมาจากวิทยุสื่อสาร หากมองด้วยตาคล้ายกับว่าจะล้อม เยี่ยเทียนอยู่บนเขาแล้ว อาหลางยิงปืน จะทำให้เยี่ยเทียนหลบหนีไปจากตำแหน่งนั้น
“พี่หลาง ที่ผมอยู่ตอนนี้ดูเหมือน…เหมือนมี อ๊าาา! ! !”
เสียงของอาหลางที่ลอยออกมาจากวิทยุสื่อสารนั้นขาดขาดหายหาย เพียงแต่ยังกล่าวไม่จบ พลันเสียงร้องอย่างเจ็บปวดก็ดังออกมา เสียงของวิทยุสื่อสารขาดหายไปเหลือแต่เสียงน้ำฝนที่ตกรดบนวิทยุเท่านั้น
ขึ้นไปดูบนภูเขา ตำแหน่งของเยี่ยเทียนไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในใจของเทียนหลงก็หนักอึ้งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ รีบเปิดวิทยุสื่อสาร ตะโกนเรียกว่า “ทุกกลุ่มรีบไปยังตำแหน่งของอาหลาง ย้ำอีกครั้ง ทุกกลุ่มรีบไปยังตำแหน่งเก้านาฬิกา…”
ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ทำสงครามในทะเลทรายหรือว่ากลางสายฝน ประสบการณ์ของเทียนหลงนั้นมีมากมาย เมื่อก่อนเขาหลงตัวเองว่าเคล็ดวิชาติดตามของเขานั้นแน่นอน แต่หลังจากทางอาหลางเกิดเรื่องนั้น เทียนหลงก็รีบเปลี่ยนแผนทันที
“กลุ่มเจ็ดรับทราบ”
“กลุ่มหกรับทราบ!”
กลุ่มห้ารับทราบ จะรีบไปเดี๋ยวนี้!
“กลุ่มสี่รับทราบ กำลังรีบไป!”
กลุ่มสามรับทราบ อีกประมาณสามนาทีถึงจุดหมาย!”
แต่ละกลุ่มตอบรับกลับมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เพียงแต่ว่ากลุ่มของอาหลางกลุ่มสองนั้นกลับไม่มี สัญญาณตอบรับอะไรเลย ในใจของเทียนหลงคิดว่า ทีมของอาหลางได้เจอกับอุบัตุเหตุแล้ว
เทียนหลงคาดเดาไม่ผิด มนุษย์สามคนที่เมื่อซักครู่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บัดนี้ได้กลายเป็นศพเย็นชืดแล้ว รอบศพทั้งสามที่นอนอยู่มีเลือดกระจายเป็นวงกว้าง
แต่เยี่ยเทียนที่เคยยืนอยู่ข้างอาหลางและคนทั้งสามนั้น ในตอนนี้สภาพค่อนข้างย่ำแย่ กำลังพิงต้นไม้โก่งคออาเจียน การฆ่าเมื่อซักครู่ ทำให้เขาได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ไม่เคยได้พบมาก่อน
เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงว่าอาหลางจะเปลี่ยนแผนได้เร็วขนาดนี้ ตัวเขาเองเพียงส่งเสียงแค่นเบาๆ แต่กลับส่งกระสุนปืนมาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ในตอนที่อาหลางกำลังยิง SMG อยู่นั้น เยี่ยเทียนรู้สึกเพียงว่าหนังหัวกำลังจะแยกจากกัน ร่างกายที่ฝึกปรือมาหลายปีทำให้กระโดดหลบไปทางด้านซ้าย ลูกกระสุนที่กระทบเปลือกไม้ บนต้นไม้กลับพุ่งมาทางตำแหน่งหน้าของเยี่ยเทียน
ตั้งแต่ออกบำเพ็ญเพียรเป็นต้นมา เยี่ยเทียนไม่เคยอยู่ระหว่างความเป็นความตายได้ใกล้อย่างนี้มาก่อน ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อหลังจากมีปืนแล้ว เคล็ดวิชาต่อสู้จึงได้ตกต่ำลง ทั้งสองอย่างนี้ไม่สามารถ เปรียบเทียบกันได้เลย
ต่อให้ตอนนี้ฝึกวิชาได้ขั้นหลอมปราณสู่จิต แต่เขาก็เป็นคนมีเลือดเนื้อ หากลูกกระสุนยิงมาโดนก็ได้รับบาดเจ็บ ตัวเขาเองก็ไม่มีชีวิตให้เอามาเล่นได้อีกต่อไป
แต่เยี่ยเทียนนั้นไม่ใช่พวกไก่อ่อนที่ไม่เคยเห็นคาวเลือดมาก่อน ในเส้นระหว่างความเป็นความตาย ทำให้ไปกระตุ้นความป่าเถื่อนในตัวเขาออกมา ในเวลานั้นหากหมุนกายวิ่งหนี จะต้องถูกอีกฝ่ายตามล่าและยิงตายแน่นอน
เขาจึงถลาออก ขาขวาของเยี่ยเทียนออกแรงถีบต้นไม้อย่างแรง ร่างกายราวกับปลาที่ว่ายทวนน้ำ มีหญ้าวัชชพืชและดินโคลนบนพื้นติดเต็มไปหมด ท่าทางราวภูติผีพลันก็ไปปรากฏกายต่อหน้าพวกอาหลาง
ถึงแม้ไม่เคยได้ฝึกพิเศษใดใดมาก่อน แต่เยี่ยเทียนตั้งแต่ห้าขวบก็นำหุ่นไม้จำลองมาศึกษาทวารต่างๆ ความรู้ที่เขามีต่อร่างกายของมนุษย์นั้น เรียกได้ว่าเกือบจะเท่ากับแพทย์อายุรกรรมเลยทีเดียว
ในตอนที่อาหลางทั้งสามคนยังไม่รับรู้ว่าบนพื้นนั้นมีคนเพิ่มมาอีกคน ร่างกายของเยี่ยเทียนเหมือนกับผีดิบ ลุกขึ้นยืนอย่างทื่อๆ จากพื้นดิน มือเร็วราวกับสายแล่บ ปาดคอยหอยของสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของอาหลาง
เยี่ยเทียนในตอนนี้เต็มไปด้วยแรงกกระตุ้นในการฆ่า เมื่อลงมือจึงเด็ดขาดไม่ลังเล กระบวนท่านี้แม้แต่แผ่นเหล็กก็สามารถเจาะทลวงได้ ยื่งไม่ต้องพูดถึงคอหอยของมนุษย์ผู้อ่อนแอ
มีดปาดเข้าไป คอทั้งสองคนก็ถูกเชือดจนเปิดออก เลือดสาดกระจายออกมาราวน้ำพุ รวมผสมกับน้ำฝนสาดรดหัวและหน้าของเยี่ยเทียน
เลือดข้นกระเด็นใส่หน้า จมูกก็ได้กลิ่นคาวเต็มไปหมด สีหน้าของเยี่ยเทียนนั้นก็แปรเปลี่ยนไปราวกับภูติผี ปล่อยกระแสเข่นฆ่าออกมาใส่ศัตรู
นับตั้งแต่อาหลางลั่นไกจนถึงเยี่ยเทียนที่ทำการเข่นฆ่า ระยะเวลาแค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ในวันที่พายุโหมกระหน่ำ วิสัยทัศน์ของคนก็ถูกผลกระทบ
ผนวกกับเสียงปืนที่ดังกลบเสียงคลานมาบนพื้นของเยี่ยเทียน จนกระทั่งในตอนที่คอหอยของเพื่อนร่วมทีมทั้งสองคนถูกเชือด “ฟู่ ฟู่” เกิดเสียงขึ้นมา อาหลางถึงเพิ่งพบว่าเยี่ยเทียนมาอยู่ต่อหน้าตัวเองแล้ว
“แก..แก!”
เห็นว่าตรงหน้าของตัวเองปรากฏภาพราวกับภูติผีที่เลือดท่วมกายก็ไม่ปาน ลูกตาของอาหลางเกือบถลนออกจากเบ้า แต่ในชีวิตการเป็นทหารมาหลายปีไม่ได้เป็นเปล่าๆ อาหลางรีบยกปืน SMG ของตัวเองขึ้นอย่างว่องไว
เพียงแต่ว่าหลังจากที่นิ้วชี้ของอาหลางกำลังสอดเข้าไปที่ไกปืนนั้น กลับไม่พบว่าตนเองได้ยินเสียงปืนที่คุ้นเคย ดังออกมา ก้มหน้าลงไปลำคอของอาหลางพลันเกิดเสียงโหยหวน เพราะเขาพบว่า มีอขวาและปืน SMG ของเขาตกอยู่บนพื้นโคลนด้านล่าง ความเจ็บปวดนี้ส่งผ่านจากลำแขนขึ้นมาถึงเส้นประสาทในสมอง นับตั้งแต่วันที่เริ่มรับราชการทหาร อาหลางก็เตรียมตัวเตรียมใจตายเอาไว้แล้ว ความเจ็บปวดที่แขนข้างขวาของเขาไม่ได้ทำให้เขาตระหนกเสียขวัญ ในขณะที่เงยหน้ามามองเยี่ยเทียนนั้น มือซ้ายของอาหลางก็กุมอยู่ที่ปืนพกที่เอวแล้ว
ในตอนนี้เอง อาหลางเห็นแสงสีขาวพุ่งเข้ามาราวกับสายฟ้าแลบท่ามกลางพายุฝน เสียงร้องในลำคอพลันเงียบลง ภาพตรงหน้าก็พลันพร่างพรายเลือนลาง
“ตายหมดแล้วเหรอ!”
หลังจากที่ร่างของอาหลางล้มลงบนพื้นอย่างแรง เยี่ยเทียนถึงเพิ่งหลุดออกจากภวังค์ของความสามารถบางอย่าง กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นบนปลายจมูกทำให้เขากลั้นต่อไปไม่ไหวเปิดปาก แต่ก็ถูกน้ำฝนที่ชะเลือดบนศรีษะลงมา ไหลเข้าไปในปาก
“อุ๊บ! ” ต่อให้จิตใจของเยี่ยเทียนหยาบกระด้างซักแค่ไหน ก็อดไม่ได้ที่จะพิงต้นไม้อาเจียนออกมา
คนที่ตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเทียนมีไม่น้อยนี่ไม่ใช่เรื่องโกหก เขาเคยประมือกับชาญ ทองทวน แต่ใช้วิธีนี้ต่อสู้กับศัตรู สำหรับเยี่ยเทียนแล้วเป็นการทดสอบที่น่าเอน็จอนาถเป็นอย่างมาก
…………