ความรู้สึกอันตรายที่รุนแรงเกิดขึ้นในใจของเยี่ยเทียน และความรู้สึกแบบนั้นก็เหมือนกับถูกงูพิษจ้องมองอยู่
ทว่าความจริงก็เป็นเช่นนั้น เมื่อสัญญาณเตือนเกิดขึ้นในหัวใจของเยี่ยเทียน จู่ๆ แขนข้างขวาของเขาที่ถือมีดสั้นอู๋เหินก็รู้สึกคันเล็กน้อย พอเหลือบตาขึ้นไปมอง ดวงตาของเยี่ยเทียนจึงแสดงความหวาดกลัวออกมา
งูเขียวตัวเล็กที่มีความยาวประมาณฝ่ามือและมีความหนาไม่เกินนิ้วโป้ง กำลังกัดแขนข้างขวาของเยี่ยเทียนอยู่ และสิ่งที่ทำให้เขาตื่นตระหนกตกใจก็คือ แขนข้างขวาของเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด
ดั่งคำสุภาษิตกล่าวไว้สุนัขที่กัดคนมักจะไม่เห่า งูพิษก็เช่นกัน และงูที่ยิ่งมีพิษร้ายแรง เวลาที่กัดคนก็ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด ในประเทศที่มีงูเยอะหน่อย มักจะมีคนมากมายที่ถูกงูพิษคร่าชีวิตไปขณะนอนหลับสนิท
“บ้าชะมัด!”
มือซ้ายของเยี่ยเทียนยื่นออกไปปานสายฟ้าแลบ แล้วจับงูเขียวตัวเล็กนั้นไว้แน่น พร้อมกับระเบิดพลังให้ปะทุออกมาแล้วบดขยี้งูตัวนั้นให้กลายเป็นเนื้อละเอียดทันที
ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกเหน็บชาที่แขนขวาของเยี่ยเทียนก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็สามารถมองเห็นเส้นสีดำที่กำลังขยายจากแขนส่วนบนขึ้นไปข้างบนด้วยตาเปล่า ถ้าหากไม่ใช่เพราะร่างกายของเยี่ยเทียนที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เกรงว่าอีกสักพักพิษงูนี้คงจะขยายไปทั่วทั้งตัวนานแล้ว
แต่ความรุนแรงของพิษงูนี้มีมากเกินกว่าที่เยี่ยเทียนคิดเอาไว้ เวลานี้แม้แต่มีดสั้นอู๋เหินที่อยู่ในมือของเขาก็จับไม่อยู่แล้ว อาการวิงเวียนศีรษะที่พุ่งเข้าไปในสมอง ทำให้ร่างกายของเยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ทามกลางสายฝนโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่
“ห้ามล้ม ห้ามล้มเด็ดขาด…” เยี่ยเทียนรู้ว่า ถ้าหากเขาล้มลงไป ชีวิตน้อยๆ ของเขาก็อาจจะสูญสิ้นอยู่ที่นี่จริงๆ
เขาสูดหายใจเข้าอย่างรุนแรง และน้ำฝนที่เย็นเยือกก็ไหลไปตามอากาศเข้าไปในช่องปากของเขา เดิมทีสมองของเยี่ยเทียนที่มีความเลือนรางอยู่ได้เปลี่ยนเป็นความสดใสและชัดเจนขึ้นมาอยู่บ้าง จากนั้นเขาจึงใช้มือซ้ายสกัดเส้นลมปราณสองสามจุดของไหล่ขวาติดต่อกัน ทำให้พิษงูไม่เคลื่อนไปจุดอื่นเร็วเกินไป
หลังจากหยุดการโคจรของเส้นเลือดแล้ว เยี่ยเทียนจึงใช้มือซ้ายจับมีดสั้นอู๋เหิน แล้วสลักรูปไม้กางเขนตรงจุดที่บวมแดงของแขนขวาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงใช้ปากแตะเข้าไปแล้วใช้แรงดูดขึ้นมา
“พรุ!!”
พอปล่อยเลือดสีดำออกมาจากปาก เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าลิ้นเริ่มชาขึ้นมาแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะพิษที่รุนแรงของงูตัวนี้ หลังจากดูดเลือดดำติดต่อกันสามครั้ง เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลของตัวไม้กางเขนจึงค่อยๆ กลายเป็นสีแดง
“ไม่ได้ ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด!”
เยี่ยเทียนรู้ดีว่า เขาไม่ได้กำจัดพิษงูออกมาทั้งหมด ถ้าหากโอ้เอ้อยู่นาน เกรงว่าพิษงูที่ล้นเข้าไปภายในร่างกายของเขาจะทำให้เขาอันตรายถึงชีวิต
เยี่ยเทียนฉีกเศษผ้าหนึ่งชิ้นออกมาจากเสื้อผ้าที่ขาดรุ่ย จากนั้นจึงนำไปมัดที่แขนขวาให้แน่นแล้วจึงมองไปรอบๆ นอกจากจะมองเห็นไฟที่ยังเปิดอยู่ในวัดบนภูเขาที่อยู่ไม่ไกลแล้ว ที่อื่นล้วนปกคลุมไปด้วยฝนที่ตกหนักท่ามกลางเงามืด
ตอนนี้ถ้าอยากจะกลับเข้าไปในเมืองคงจะไร้สาระเหมือนกับการเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนอย่างไม่ต้องสงสัย และระยะห่างมากกว่าสิบกิโลเมตรหากรอให้เยี่ยเทียนรีบไปให้ถึง เกรงว่าพิษคงจะกำเริบจนทำให้เสียชีวิต
และภายใต้ความจนใจ เยี่ยเทียนจึงได้แต่เดินขึ้นบันไดไปบนภูเขาลูกหนึ่ง การเคลื่อนไหวของเขาช้ามาก เพราะกลัวว่าจะเพิ่มความเร็วในการโคจรของเลือดในร่างกาย
ภูเขาฝ่อกงซานแบ่งเป็นทั้งหมดห้ายอดเขาด้วยกัน นอกจากภูเขาลูกนั้นที่เยี่ยเทียนขึ้นไปตอนแรกที่ยังคงรักษาระบบนิเวศธรรมชาติเอาไว้อยู่ ภูเขาที่เหลืออีกสี่ลูกส่วนใหญ่จะเป็นอารามและวิหารที่ทอดยาวเหยียด มีวิหารที่ใหญ่โต และยังคงสภาพความเป็นอยู่ของสำนักสงฆ์
“ซันซิงก่วน? เฮ้ย ไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหม?”
หลังจากสิบนาทีผ่านไป เยี่ยเทียนก็เดินมาถึงครึ่งทางของภูเขาแห่งนี้ จากนั้นเขาจึงขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาคือวิหารของลัทธิเต๋าแห่งหนึ่ง
“บ้าเอ้ย พิษ…พิษของมันกำเริบใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนรู้เพียงว่าภูเขาฝ่อกงซานแห่งนี้เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีวิหารของลัทธิเต๋าอยู่ที่นี่ด้วย? หรือว่าพระสงฆ์เหล่านั้นจะถือเอาเมตตาธรรมเป็นหลัก แม้แต่นักบวชในศาสนาเต๋ามาแย่งธุรกิจก็ยังยอมได้?
อารมณ์ของเยี่ยเทียนเปลี่ยนแปลงไป เดิมทีพิษร้ายที่ควบคุมด้วยชี่แท้นั้นได้กำเริบขึ้นมาอย่างฉับพลัน แล้วจึงรู้สึกมึนศีรษะอย่างเดียว จากนั้นศีรษะของเยี่ยเทียนก็ล้มลงที่หน้าประตูของวิหารของลัทธิเต๋า
…
การลอบฆ่าจากหมู่บ้านชาวประมงจนมาถึงป่าเขานั้น จากการบรรยายในระหว่างนี้ดูเหมือนจะช้ามาก แต่ความจริงแล้วทั้งหมดเพิ่งจะผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าเท่านั้น
และยังไม่ต้องพูดถึงเยี่ยเทียนที่สลบอยู่หน้าประตูวิหารลัทธิเต๋า ตอนนี้โลกภายนอกก็เกิดความโกลาหลกับการหายตัวไปของเยี่ยเทียนเช่นกัน ถังเหวินหย่วนกับกงเสียวเสี่ยวแล้วก็ยังมีจั่วเจียจวิ้นทั้งสามคน เกือบจะใช้ความสัมพันธ์ของตัวเองทั้งหมด และนำเรื่องนี้ส่งไปยังผู้บริหารระดับสูงสุดของไต้หวัน
หลังจากจั่วเจียจวิ้นได้รับข้อมูลแล้ว เขาจึงกระวนกระวายใจมาก จากนั้นจึงสั่งให้ถังเหวินหย่วนช่วยจัดเครื่องบินส่วนตัวให้เขาทันที แล้วรีบนั่งเครื่องบินมาที่ไต้หวันโดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้แก๊ง์ท้องถิ่นอย่างแก๊งค์ไต้หวันจู๋เหลียนและแก๊งค์ซื่อไห่ก็ยังได้รับคำสั่งจากพวกพี่ใหญ่ แล้วจึงทยอยกันออกตามหาเด็กหนุ่มเยี่ยเทียน และภายในระยะอันรวดเร็ว ทั้งเมืองไต้หวันและเมืองเกาสงก็เกิดลมพัดเมฆเคลื่อนกันยกใหญ่
อธิบดีโจวของสถานีตำรวจเมืองเกาสง กำลังนั่งปาดเหงื่ออยู่ในออฟฟิศ เขาเพิ่งจะรับสายของพี่ใหญ่สองสามคนติดต่อกัน และส่วนใหญ่สั่งให้เขาปกป้องความปลอดภัยของคนที่ชื่อเยี่ยเทียนให้ได้
“นำกำลังคนทั้งหมดย้ายไปที่ภูเขาฝ่อกงซาน แล้วล้อมที่นั่นไว้ทั้งหมด แม้แต่หนูสักตัวก็ห้ามให้หนีไปได้”
หลังจากสั่งการกับผู้ใต้บังคับบัญชาเรียบร้อยแล้ว ท่านอธิบดีจึงยกโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง เพื่อติดต่อกับกองทหารรักษาการณ์ท้องถิ่น หากอาศัยตำรวจที่ปกติรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมเพียงอย่างเดียว คงไม่มีทางทำภารกิจล้อมภูเขาฝ่อกงซานได้สำเร็จโดยสิ้นเชิง
หนำซ้ำภูเขาฝ่อกงซานที่มีตำแหน่งพิเศษจำเพาะ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น เขาคงต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาเพียงคนเดียว เมื่อนึกถึงคำสั่งของพี่ใหญ่แล้ว ไม่แน่อาจจะต้องดึงกองกำลังทหารเข้ามารับผิดชอบด้วย
หลังจากโทรออกไปแล้วอธิบดีโจวจึงรู้ว่า มีคนออกคำสั่งไปทางกองทัพบกเรียบร้อยแล้ว และเวลานี้กองกำลังทหารกลุ่มหนึ่งก็เข้าไปยังภูเขาฝ่อกงซานแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะฝนที่ตกหนักเกินไป คาดว่าคงจะมีคำสั่งให้นำเฮลิคอปเตอร์ออกไปด้วย
หลังจากได้รับข้อมูลแล้ว อธิบดีโจวจึงโล่งอก พลางคิดว่าในที่สุดเขาก็ไม่ต้องเป็นแพะรับบาปคนเดียว จากนั้นเขาจึงหยิบหมวกแล้วพาลูกน้องสองสามคนขึ้นไปบนรถ และท่านอธิบดีก็รีบฝ่าฝนมุ่งไปยังภูเขาฝ่อกงซานทันที
ในคืนฝนตกตามปกติธรรมดา กลับทำให้เมืองเกาสงทั้งเมืองต้องสั่นสะเทือนขึ้นมา และท่ามกลางฝนที่ตกหนัก จึงทำให้รถของทหารและรถของตำรวจต่างวิ่งกันให้ควักไปทุกที่ ทำให้ชาวบ้านมากมายต่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และพวกเขายังคิดว่าสงครามกำลังจะใกล้เข้ามา
ไม่เพียงเท่านี้ เหล่านักเรียนระดับมัธยมต้นและมัธยมปลายที่กำลังหลบฟ้าฝนและลมที่โหมกระหน่ำอยู่ในบ้านอีกหลายคน ก็ออกจากบ้านโดยฝ่าลมฝนที่ตกหนักและจุดมุ่งหมายก็คือภูเขาฝ่อกงซาน โดยคนที่นำหน้าก็คือนักเลงที่ย้อมผมสีเหลืองและใส่ตุ้มหูนั่นเอง
คนพวกนี้คือแก๊งนักเลงของไต้หวัน เนื่องจากในปีหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบเจ็ดผู้บริการระดับสูงของไต้หวันได้ทำการโจมตีแก๊งค์มาเฟียอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง เดิมทีคนที่เป็นพี่ใหญ่ของแก๊งมาเฟีย ต่างก็หลบหนีช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานไปอยู่ต่างประเทศกันเป็นส่วนใหญ่
เมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กหนุ่มพวกนี้จึงถือโอกาสขึ้นตำแหน่งและรวบรวมลูกน้องภายในโรงเรียนอย่างกำเริบเสิบสาน ถึงแม้ความน่าเกรงขามจะเทียบกับพี่ใหญ่แก๊งมาเฟียแต่ก่อนไม่ได้ แต่หากด้านกำลังและความสามารถกับเมื่อก่อนก็ถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน
“เอ๊ะ ให้พวกเราผ่านไปหน่อย”
“พวกเราชอบขึ้นไปเที่ยวบนภูเขาตอนกลางคืน พวกคุณจะควบคุมอะไรได้?”
“เป็นทหารแล้วใหญ่นักเหรอ ผมเองก็เคยรับราชการทหารมาก่อน!”
“ถ้าไม่หลีกทางให้อีกพวกเราจะบุกเข้าไปแล้วนะ พวกนายจะหลีกหรือไม่หลีก?!”
ตอนที่รอให้อธิบดีโจวมาถึงตีนเขาของภูเขาฝ่อกงซาน ตรงนั้นกลับกลายเป็นความวุ่นวายไปแล้ว กองกำลังทหารที่รุดหน้ามาถึงก่อนได้ทำการปิดเส้นทางทั้งหมดในการเข้าไปยังภูเขาฝ่อกงซาน ทำให้ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่กับกลุ่มนักเลงต้องเผชิญหน้ากัน
เวลานี้ฝนกระหน่ำที่ตกมาทั้งวันค่อยๆ หยุดลง แสงไฟฉายแรงสูงหลายดวงส่องสว่างจ้าอยู่ที่ตีนเขา รถทหารจำนวนสิบกว่าคันกับรถเก๋งส่วนตัวกำลังปิดทางของภูเขาอย่างแน่นหนา
เหล่านักเรียนอายุประมาณสิบกว่าปีก็ไม่ได้เห็นปืนและหัวกระสุนของทหารอยู่ในสายตาเลย ทว่ามัวแต่ถกเถียงและผลักกันเพื่อจะบุกขึ้นไปบนภูเขา ทำให้สถานการณ์วุ่นวายมาก
“เร็วเข้า รีบไปช่วยกองกำลังทหารแยกพวกเขาออกไป!” อธิบดีโจวเพิ่งจะออกคำสั่ง ทว่าเมื่อมองเห็นคนรู้จัก เขาจึงตะโกนทันที “อาเหลียง เกิดอะไรขึ้น? มานี่!”
“อธิบดีโจวครับ ท่านมาได้ยังไงครับ?”
หลังจากชายวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบเจ็ดถึงสามสิบแปดปีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในกลุ่มนั้นได้ยินเสียงของอธิบดีโจว จึงตกตะลึงเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงเดินยิ้มเข้าไป แต่สีหน้าของเขากลับไม่ได้แสดงถึงความหวาดกลัว
“อย่าพูดมาก ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?” สีหน้าของอธิบดีโจวดูไม่ได้เป็นอย่างมาก “ผมจะบอกคุณให้ นี่คือคำสั่งจากเบื้องบน พวกคุณอย่ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่จะดีกว่า!”
อาเหลียงคนที่อธิบดีโจวพูดถึง เดิมทีเขาเคยเป็นลูกน้องที่ติดตามเฉินเซี่ยวหลี่หัวหน้าแก๊งค์จู๋เหลียน เมื่อปีที่แล้วเฉินเซี่ยวหลี่ถูกอธิบดีของสถานีตำรวจในตอนนั้นออกหมายจับแล้วจึงหลบหนีไปอยู่ที่ประเทศเขมร จากนั้นอาเหลียงจึงได้ขึ้นแท่นเป็นหัวหน้าแก๊งค์จู๋เหลียนคนใหม่แทน
ถึงแม้สังคมมาเฟียในไต้หวันจะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าพวกเขามีตัวตน และทางตำรวจก็ไม่สามารถทำอะไรคนพวกนี้ได้ กระทั่งในบางสถานการณ์ต่างคนต่างก็รักษาสัญญาอันเป็นที่เข้าใจกันทั่งสองฝ่ายอีกด้วย
แต่เวลานี้อธิบดีโจวดูร้อนใจมาก ถ้าหากอาเหลียงไม่ยอมถอย เขาจะไม่ถือสาที่จะกวาดล้างแก๊งค์มาเฟียในเมืองเกาสงสักครั้งอย่างแน่นอน
“อธิบดีโจวครับ ผมก็ไม่อยากเหมือนกัน…”
อาเหลียงทำน้ำเสียงขมขื่น แล้วจึงยื่นมือออกไปสัมผัสถึงสายฝนที่อยู่นอกร่ม จากนั้นจึงหยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นให้อธิบดีโจวหนึ่งมวนพลางพูด “พี่หลี่โทรมาจากเขมร สั่งให้พวกเราต้องปกป้องคนที่ชื่อเยี่ยเทียนให้ได้ คุณคิดว่า…ผมจะกล้าขัดคำสั่งของพี่หลี่ไหมครับ?”
ใครๆ ก็รู้เรื่องที่เฉินเซี่ยวหลี่หนีไปเขมร และอาเหลียงก็ไม่กลัวที่จะพูดต่อหน้าอธิบดีโจว และการที่เขาสามารถขึ้นตำแหน่งได้ก็เพราะการจัดการของเฉินเซี่ยวหลี่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นเขาไม่กล้าที่จะไม่ฟังคำพูดของอดีตหัวหน้า
“พวกคุณมาปกป้องเยี่ยเทียน?”
หลังจากได้ยินคำพูดของอาเหลียงแล้ว สีหน้าที่แปลกประหลาดก็เผยออกมาบนใบหน้าของอธิบดีโจว พลางคิดว่าแต่ก่อนคนพวกนี้รู้จักแต่การรีดไถ แบล็คเมล์แล้วก็ฆ่าคนเป็นประจำ แล้วพวกเขามาเปลี่ยนนิสัยกันตั้งแต่เมื่อไร?
ความวุ่นวายที่อยู่เบื้องหน้าเป็นเรื่องที่พูดยากจริงๆ จากนั้นอธิบดีโจวจึงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปาก “เป้าหมายของพวกเราเหมือนกัน คุณไปควบคุมลูกน้องคุณให้ดีก่อน แล้วอีกสักพัก คุณก็เข้าไปกับผม!”
“ครับ!”
อาเหลียงเพิ่งจะขึ้นตำแหน่ง ดังนั้นจึงไม่อยากผิดใจกับตำรวจระดับสูง จึงรีบรับปากทันที จากนั้นจึงหมุนตัวไปอบรมลูกน้องเหล่านั้นแล้วสถานการณ์จึงกลายเป็นความมีระเบียบขึ้นมาทันที
“หัวหน้าสวี๋ ครั้งนี้คุณเป็นคนนำทีมเหรอครับ?”
หลังจากแสดงบัตรประจำตัวของตัวเองแล้ว อธิบดีโจวจึงพาอาเหลียงมาถึงด่านที่คุมโดยทหาร แล้วจึงทักทายนายทหารระดับผู้พันด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย
“เอ๊ะ พวก…พวกเขาเป็นอะไรครับ?”
หลังจากเดินเข้าไปใกล้ จึงพบว่าอธิบดีโจวและคนอื่นๆ รวมทั้งผู้พันคนนั้นกับทหารอีกเจ็ดแปดนายมีสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก เพราะบนพื้นยังมีของสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนหลงเหลืออยู่
เวลานี้ฝนที่ตกหนักได้หยุดลงแล้ว ทำให้กองที่น่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้ส่งกลิ่นฉุนจนแสบจมูก กระทั่งอธิบดีโจวต้องหยิบกระดาษทิชชูออกมาอุดจมูกด้วยความทนไม่ไหว
………