ฟังคำของโก่วซินเจียพูดจบ เยี่ยเทียนรู้สึกขัดเขินยิ้มออกมา “ไม่ต้องรบกวนพวกศิษย์พี่ออกโรงหรอก ถ้าได้มีโอกาสศิษย์น้องคนนี้จะต้องเรียกร้องความเป็นธรรมแทนศิษย์พี่ใหญ่ให้จนได้!”
เยี่ยเทียนเป็นคนเห็นแก่พวกพ้องแต่ไม่ค่อยฟังเหตุผลเท่าไหร่ ทั้งยังได้รับอิทธิพลจากนักพรตเฒ่ามามาก จึงรู้สึกไม่ชอบคนญี่ปุ่นเท่าใดนัก
เยี่ยเทียนไม่ได้พูดส่งเดช หากมีวันหนึ่งที่เขาได้มีโอกาสไปพบกับตระกูลคิตะมิยะ เยี่ยเทียนอาจจะใช้วิชาสายมืดทำลายคนพวกนั้น
“ศิษย์น้องเล็ก คิดไม่ถึงว่านายจะมีจิตสังหารรุนแรงถึงเพียงนี้ ฝึกยังไงถึงทำได้ขนาดนี้?”
โก่วซินเจียฟังเยี่ยเทียนจบ ก็ยิ้มขื่นพลางส่ายหัว “ถึงฉันจะเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยด้อยไปกว่าใครเลย เรื่องมันก็ผ่านไปนานมากแล้ว ช่างมันเถอะ”
เพราะต่างฝ่ายต่างก็โลภอยากได้ทองคำพวกนั้น ไม่มีใครผิดใครถูก อีกทั้งโก่วซินเจียก็สู้ตาย ทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นบาดเจ็บสูญเสียไปไม่น้อย
โดยเฉพาะผู้กล้าที่ตัดแขนของโก่วซินเจีย เป็นถึงนักสู้ที่แข็งแกร่งคนหนึ่งของตระกูลคิตะมิยะ แต่พอถูกโก่วซินเจียซัดฝ่ามือเข้าที่หน้าอกทีหนึ่ง ก็ถึงกับหลบซ่อนตัว หมดชื่อเสียงไปเลย
การที่โก่วซินเจียเสียแขนไปข้างหนึ่งนั้น นับว่าไม่ได้สูญเสียมากเท่าฝ่ายตรงข้ามที่ถูกช่วงชิง “ดาบมารมุรามาสะ” แล้วยังทำให้ชื่อเสียงตระกูลคิตะมิยะเสียหาย กลายเป็นตระกูลชั้นสองสถานะรองลงมาในสังคม
“ศิษย์พี่สั่งสอนได้ถูกแล้ว”
ฟังโก่วซินเจียกล่าวจบ เยี่ยเทียนรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมา นั่นสิระยะนี้จิตสังหารของเขารุนแรงเหลือเกิน นิสัยก็เปลี่ยนไปเป็นพาลมากขึ้น ชอบหาเรื่องคนอื่นออกบ่อย
จะโทษเยี่ยเทียนก็ไม่ได้ ในจิตใจของเราทุกคนต่างมีมารร้ายซ่อนอยู่ เยี่ยเทียนอายุน้อยแต่ฉลาดหลักแหลม การฝึกวิชาก็ก้าวล้ำ แต่นิสัยของเขากลับสู้จั่วเจียจวิ้นไม่ได้ ความเป็นอัตตาตัวตนยิ่งใหญ่ค่อยปรากฏชัดยิ่งขึ้นในใจของเยี่ยเทียน
แต่ครั้งนี้เหมือนได้ตายแล้วฟื้นคืนชีพใหม่ เยี่ยเทียนกลับเปลี่ยนเป็นสุขุมเยือกเย็นขึ้น ยิ่งพอเห็นว่าโก่วซินเจียผู้ซึ่งไม่เคยได้รับโอกาสใดแต่กลับสามารถฝึกตนได้ถึงเพียงนี้ นี่แหละที่เขาเรียกว่าฟ้าเหนือฟ้า คนเหนือคน
อยู่ๆจั่วเจียจวิ้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ใช่ละ ศิษย์พี่ เมื่อก่อนพี่เคยได้ติดตามท่านเจียงด้วย ทำไม…ทำไมถึงมาออกบวชเล่า?”
จั่วเจียจวิ้นอึดอัดใจ เขามาเมืองเกาสงนี้หลายครั้ง ลัทธิเต๋ากับศาสนาพุทธแม้ไม่ถึงขั้นเข้ากันไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ไม่ได้ปรองดองกันนัก คนที่ศรัทธาแน่นแฟ้นในลัทธิเต๋าอย่างจั่วเจียจวิ้นแน่นอนว่าไม่เคยมาถึงที่เขาฝ่อกงซานนี้แน่
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์พี่ใหญ่จะมาออกบวชซ่อนตัวอยู่ในสถานที่แห่งนี้ เมื่อก่อนโก่วซินเจียน่าจะเป็นคนมีอำนาจบารมีไม่น้อย ทำไมถึงตกอยู่ในสภาพอย่างทุกวันนี้ได้?
ฟังคำถามของจั่วเจียจวิ้นแล้วโก่วซินเจียสีหน้าว่างเปล่า ถอนใจแล้วตอบว่า “อยู่ข้างกายคนมีอำนาจเหมือนอยู่กับเสือ ท่านเจียงแม้จะมีปณิทานยิ่งใหญ่ มีความทะเยอทะยานสูง แต่จิตใจคับแคบ ทั้งหูเบาเชื่อคนง่าย ถ้าฉันไม่มาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ป่านนี้คงไม่มีชีวิตรอดแล้ว…”
ตอนนั้นโก่วซินเจียหนีกลับมาไต้หวันอย่างยากลำบาก กลับมาถึงต้องรีบไปรายงานตัวถึงสาเหตุที่ภารกิจของเขาล้มเหลว เขายังได้รับการต้อนรับและการปลอบโยนจากท่านเจียง
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาสังเกตว่าในห้องพักผู้ป่วยของเขามีสายสืบเพิ่มมาอีกหลายคน ลูกน้องเก่าของเขาจากค่ายทหารคนหนึ่งยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อมาบอกข่าวเขาว่า
ความจริงแล้วมีคู่อริของเขาในค่ายทหารได้ไปพูดเป่าหูท่านเจียงว่า โก่วซินเจียวางแผนแกล้งทำเป็นบาดเจ็บเพื่อยักยอกทองคำที่ได้มาทั้งหมดไว้เป็นของตัวเอง
ท่านเจียงปกติแล้วเป็นคนช่างระแวงไม่ไว้ใจใครง่ายๆ บวกกับตัวโก่วซินเจียเองก็เสียแขนไปข้างหนึ่ง หมดประโยชน์สำหรับเขาแล้ว ท่านเจียงจึงคิดจะฆ่าปิดปากโก่วซินเจียเพื่อปิดบังเรื่องขุมทรัพย์ทองคำ
โก่วซินเจียตอนนั้นเป็นตัวแทนสมาชิกขององค์กรทหารหนุ่มในแผนกพิเศษ จึงไม่ได้ถูกจัดการง่ายนัก แม้ลูกน้องคนสนิทส่วนใหญ่ยี่สิบกว่าคนจะตายในพม่าเกือบหมด แต่ยังเหลือลูกน้องที่ภักดีอยู่คอยช่วยเหลือเขาต่อกรกับท่านเจียง
เมื่อคิดพิจารณาเหตุการณ์ดีแล้ว โก่วซินเจียอาศัยความสัมพันธ์ก่อนเก่า แกล้งก่อเหตุไฟไหม้ในโรงพยาบาล แล้วไปขโมยศพๆหนึ่งมาตัดแขนแสร้งให้เหมือนตน แล้วหนีออกไป
ตอนแรกโก่วซินเจียคิดจะไปจากไต้หวัน แต่จะไปจีนแผ่นดินใหญ่ก็ไม่ได้ จะไปต่างประเทศเขาก็ไม่มีทุนทรัพย์มากพอ ตอนหลังได้ไปพบกับเพื่อนเก่าที่รู้จักตอนอยู่ประเทศจีน คือหลวงจีนซิงอวิ๋น กำลังก่อสร้างวัดฝ่อกงซาน หลังจากนั้นจึงหลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหมู่คณะสงฆ์มาตลอด
ตั้งแต่เด็กเขาได้เรียนแต่หลักการของลัทธิเต๋า พอมาอยู่ในวัดพุทธ กับหลวงจีนซิงอวิ๋นแม้จะเป็นเพื่อนสนิทคุ้นเคย แต่มักจะเกิดเรื่องถกเถียงกันบ่อยครั้ง พอช่วงปี 70 ท่านเจียงสิ้นชีวิตลง โก่วซินเจียยังพูดล้อเล่นกับหลวงจีนซิงอวิ๋น ว่าชนะจนได้อารามเต๋านี้มา
ภรรยาของโก่วซินเจียจากโลกนี้ไปในช่วงปี 60 เขาไม่มีบุตรธิดา จึงไม่มีห่วงในโลกแล้ว เอาแต่มุ่งมั่นคิดค้นพัฒนาวิชาของอาจารย์ ส่วนเรื่องบุญคุณความแค้นก็ค่อยเจือจางลงตามกาลเวลา
“การที่หนีเอาชีวิตรอดมาได้ ถือว่าเป็นโชคดีสุดในความโชคร้ายแล้ว”
ฟังจบทั้งเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นต่างถอนใจโล่งอก ท่านเจียงนั้นเป็นผู้มีอิทธิพลล้นฟ้าที่สุดในประเทศจีนคนหนึ่งในรอบร้อยปีนี้ หนีเอาตัวรอดจากเขามาได้นั้นถือว่าเก่งมากแล้ว
“เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล เป็นวิถีของท่านเจียงมาแต่ไหนแต่ไร ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่น่าบอกตำแหน่งที่ซ่อนขุมทองให้เขารู้เลย”
เยี่ยเทียนเติบโตในจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่ได้รู้สึกชื่นชมคนๆนั้นเท่าไหร่ ยังคงรู้สึกแค้นเคืองแทนโก่วซินเจีย
ได้ยินที่เยี่ยเทียนพูด โก่วซินเจียแสดงสีหน้าทะเล้นเหมือนเด็กตอบว่า “บอกน่ะบอกไปแล้ว แต่สิ่งที่ฉันพูดอาจไม่เป็นความจริงก็ได้?”
“อะไรนะ?”
คราวนี้ทั้งเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นยิ่งตะลึง ขุมทองที่ทั้งฝ่ายไต้หวันและญี่ปุ่นต่างต้องการนั้นต้องไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยแน่
“ในโลกนี้ มีแค่นายสองคนที่รู้ความจริงละ”
โก่วซินเจียเผยยิ้มอย่างได้ใจ “หากตอนนั้นท่านเจียงมาถามที่ตั้งขุมทองจากฉันด้วยตัวท่านเองละก็ ฉันคงบอกความจริงไม่ปิดบัง แต่เขาให้คนอื่นมาถามแทน ฉันจะเสียมืออีกข้างไปไม่ได้…”
โก่วซินเจียในตอนนั้นไม่ได้มีใจละโมบ แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เขาจึงรายงานเท็จถึงที่ตั้งขุมทองที่ถูกฝังซ่อนไว้ คิดว่าในวันหน้าเขาจะบอกความจริงกับท่านเจียงอีกครั้ง
แต่ยังไม่มีโอกาสได้บอก เขากลับได้ข่าวว่าท่านเจียงต้องการฆ่าเขาปิดปากเสียก่อน แน่นอนว่าเขาจะไม่มีทางบอกความจริงแก่ท่านเจียงอีก
หลังจากข่าวการเสียชีวิตของโก่วซินเจียไปแล้วปีหนึ่ง ภรรยาของเขาก็ถูกส่วนที่เกี่ยวข้องจับตามอง
จนถึงช่วงปี 60 ที่ภรรยาของเขาเสียชีวิต การสอดแนมยังไม่ยุติลง น่าจะเป็นเพราะท่านเจียงรู้ว่าตัวเองหลงกลเข้าแล้ว แต่โก่วซินเจียเสียชีวิตลง เขาจึงได้แต่ไปสืบจากบุคคลในครอบครัวของโก่วซินเจีย
โก่วซินเจียกลัวว่าจะทำให้ภรรยาเดือดร้อน ตั้งแต่ข่าวการตายปลอมนั้นแพร่ออกไป เขาก็ไม่กล้าติดต่อครอบครัวอีกเลย การสอดแนมของท่านเจียงจึงไร้ผล ตำแหน่งขุมทรัพย์ทองคำยังคงเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้
“ศิษย์พี่ ทองคำพวกนั้นมีเท่าไหร่กันแน่?”
เยี่ยเทียนอยากรู้อยากเห็น เรื่องราวขุมทรัพย์ทองคำแบบนี้ ทุกทีเคยได้ยินแต่เป็นตำนานเรื่องเล่า ตอนนี้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริงนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว เยี่ยเทียนก็อดถามไม่ได้
“ทำไมเหรอ? ศิษย์น้องเริ่มหวั่นไหวแล้วล่ะสิ?”
สีหน้าหยอกเย้าของของโก่วซินเจียช่างขัดกับแววตาที่จ้องเยี่ยเทียนเขม็ง แม้ว่าโก่วซินเจียจะเชื่อใจศิษย์น้องทั้งสอง แต่ใครจะไปรู้ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ถ้าหากเยี่ยเยียนมีจิตใจละโมบ ศิษย์น้องแบบนี้ไม่มีก็ดีเหมือนกัน
คนถูกถามหน้าแดงขี้นมา รีบบ่ายเบี่ยง “ศิษย์พี่ใหญ่ ผม…ผมก็แค่สงสัยเท่านั้น ผมไม่ได้คิดจะไปเอามาหรอก ถือว่าผมไม่ได้ถามแล้วกัน”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ครั้งนี้เยี่ยเทียนมาตามหาร่างของสามีของกงเสียวเสี่ยว ค่าตอบแทนที่กงเสียวเสี่ยวให้ก็เกินสิบล้านแล้ว ศิษย์น้องเล็กไม่อยากได้ขุมทองนั่นหรอก””
จั่วเจียจวิ้นคลุกคลีกับเยี่ยเทียนมานานพอสมควรจึงรู้ว่าเยี่ยเทียนไม่ใช่คนโลภ จึงเอ่ยปากช่วยพูดอีกแรง
โก่วซินเจียจ้องพิจารณาเยี่ยเทียนอยู่ครู่ใหญ่ เห็นว่าแววตาของเยี่ยเทียนใสซื่อจริงใจ ค่อยพยักหน้า แล้วตอบว่า “ขุมทองนั่นมียี่สิบตัน ทั้งหมดถูกหลอมเป็นทองคำแท่ง ตอนที่ขนย้ายพวกเราใช้ล่อเทียมรถหลายสิบคันกว่าจะขนหมด พวกนายคิดดูละกันว่ามันมีมูลค่าเท่าไหร่!”
จั่วเจียจวิ้นทำธุรกิจเกี่ยวกับทองคำและอัญมณี ราคาทองคำเขาย่อมรู้ดีที่สุด หลังจากแอบคำนวณในใจ จั่วเจียจวิ้นโพล่งออกมา
“ยี่สิบตัน? สวรรค์ นั่นมันมูลค่าหลายพันล้านเชียวนะ?”
ช่างเป็นจำนวนมหาศาลที่ทำให้คนดีๆกลายเป็นคนชั่วขึ้นมาได้เลย แม้แต่เยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นได้ฟังยังอ้าปากค้าง ต้องรออีกพักใหญ่ถึงจะดึงสติกลับมาได้
เมื่อครู่เพิ่งถูกโก่วซินเจียสงสัยไป เยี่ยเทียนไม่อยากพูดเรื่องเงินๆทองๆอีก จึงยกถ้วยสุราขึ้นมา “เอาเถอะ เราไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ไม่แน่ว่าขุมทองอาจจะถูกคนอื่นพบเข้าเอาไปหมดแล้ว มา ศิษย์น้องขอดื่มคารวะศิษย์พี่ทั้งสองแก้วหนึ่ง”
สุราตกถึงท้องแล้ว เยี่ยเทียนพูดต่อ “ศิษย์พี่ใหญ่ พี่ไม่มีห่วงภาระอะไรแล้ว ทั้งไม่มีครอบครัว ผมว่าพี่กลับเมืองจีนไปพร้อมกับผมเถอะ จะได้ไปกราบหลุมศพอาจารย์ด้วย!”
เห็นโก่วซินเจียอยู่อย่างอดยาก เยี่ยเทียนก็มีความคิดนี้เกิดขึ้น เขามีความตั้งใจจริง ไม่กลัวว่าโก่วซินเจียจะสงสัยในตัวเขาอีก จึงได้พูดออกมาตรงๆ
จั่วเจียจวิ้นได้ฟังก็ไม่ชอบใจ พูดขัดเยี่ยเทียนว่า “ศิษย์น้อง ให้ศิษย์ใหญ่อยู่กับฉันที่ฮ่องกงดีกว่า ฉันอยู่คนเดียวไม่มีใคร เวลาว่างจะได้ถกปัญหากับศิษย์พี่ใหญ่ได้”
โบราณว่าไว้ พี่ชายก็เหมือนพ่อ แม้จะรู้จักกันได้เพียงวันเดียว แต่ด้วยความเป็นศิษย์ร่วมสำนักสามารถทำให้พวกเขารู้สึกผูกพัน ไม่มีสิ่งใดมากั้นขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะท่าทางของโก่วซินเจียคล้ายกับหลี่ซั่นหยวนมาก ทำให้ทั้งจั่วเจียจวิ้นและเยี่ยเทียนยิ่งรู้สึกอยากใกล้ชิดด้วย
“ไปกราบหลุมศพอาจารย์ก่อนแล้วกัน ส่วนที่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนนั้น ก็ค่อยว่ากัน”
เห็นศิษย์น้องทั้งสองคนถกเถียงกัน ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ โก่วซินเจียสัมผัสได้ว่าทั้งสองมีความจริงใจที่อยากจะให้ตนเองไปอยู่ด้วย รู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด
……….