“ใช่ นายน้อย นี่ นี่น่าจะใช่แดนสวรรค์แล้ว” อาติงที่เดินเข้ามาในเรือนสี่ประสาน ปกติจะมีอาการซบเซา เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนจึงมีปฎิกริยาโต้ตอบ
ในตอนนั้นที่อาติงยืนอยู่ในลาน มันรู้สึกแตกต่างกันเพียงแค่หายใจ เมื่อหายใจเข้าไปในท้อง ดูเหมือนว่าร่างกายจะสดชื่นขึ้น สมองโล่งมากขึ้นกว่าที่เคย
อาติงรู้ว่าแต่ก่อนตอนที่ถังเหวินหย่วนอยู่ที่นี่ ต้องจ่ายค่าเช่าหนึ่งล้านทุกเดือน
แต่ว่าครั้งก่อนเขาถูกเยี่ยเทียนไม่อนุญาตให้เข้ามาที่นี่ ตอนนั้นคิดว่ามันไม่คุ้มค่าเลย แต่ตอนนี้ต่อให้ต้องควักเงินหนึ่งล้านค่าเข้ามาหนึ่งวัน อาติงก็สมัครใจ
“ดินแดนสวรรค์อะไรกัน มันก็คืออากาศที่บริสุทธิ์เท่านั้นเอง อาติง เรื่องภายในนี้อย่าได้เอาออกไปเล่าให้ใครฟังละ”
เยี่ยเทียนรู้ว่าอาติงมีนิสัยที่ชอบออกกำลังกายในตอนเช้า มองที่เขาแล้วกำชับว่า “แกมาพักที่นี่ได้วันเว้นวัน จะได้ไม่ต้องไปแต่เช้า อยู่ในลานนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำกิจกรรมอะไรที่รุนแรง”
ฝึกทักษะในการต่อสู้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารทำได้ การกระทำที่ก่อให้เกิดการเพิ่มความเร็วในการดูดซึมของพลังจิต ถ้าในมุมมองจั่วเจียจวิ้นกับโก่วซินเจีย ก็คือสมบัติของการนั่งสมาธิเดินลมปราณอย่างแน่นอน
แต่ว่าสำหรับอาติง ร่างกายของเขายังไม่แข็งแรงพอที่จะฝึกนั่งสมาธิเดินลมปราณ จึงไม่มีวิธีที่จะแบกรับน้ำหนักของพลังเหนือธรรมชาติรักษาสมดุลภายในร่างกาย เวลาเดียวกันที่ปราณพิฆาตได้ถูกสลายออกจากตัวเขาอาจจะทำให้ร่างกายเขาได้รับบาดเจ็บได้ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงถ่ายทอดเคล็ดลับเฉพาะด้านให้กับเขา
“ใด้ นายน้อย ผมรู้แล้ว”
แม้ว่าอาติงจะไม่เข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน แต่ว่าเขาก็ให้ความเคารพเยี่ยเทียนตั้งนานแล้ว ดังนั้นเคล็ดลับที่ เยี่ยเทียนถ่ายทอดให้ จึงไม่กล้าที่จะฝ่าฝืนแม้แต่นิดเดียว
“คุณอา แล้วฉันละ”
หลิวติงติงทำท่าทางน่าสงสารมองไปที่เยี่ยเทียน คนที่เข้ามาในลานนี้ ไม่มีใตไม่อยากอยู่ที่นี่ ในสายตาของหลิวติงติง เธอก็อยากใช้เวลาอยู่ที่นี่เหมือนกัน
“เธอยังเข้าไม่ถึงพลังแฝง ใช้เวลาอยู่ที่นี้นานเกินไป จะเป็นผลเสีย”
เยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “เธอสามารถอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝน แต่เหมือนกันกับอาติง ก็คือมาพักอยู่ที่นี้วันเว้น ติงติง อย่าใจร้อน อยากเข้าถึงเร็วก็ต้องสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งขึ้นก่อน”
แม้ว่าอายุจะเยอะไม่เท่ากับหลิวติงติง แต่ว่าคำพูดของเยี่ยเทียนเหมือนว่าเขาเป็นผู้อาวุโส มีวางมาดเคร่งของตัวเอง โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นที่ฟังอยู่ข้าง ๆก็ค่อย ๆพยักหน้า ต้องขอแสดงความชื่นชมแววตาอาจารย์ที่ยอมรับลูกศิษย์คนสุดท้ายนี้
“ใช่ คุณอา ฉันรู้แล้ว เมื่อเห็นว่าคุณปู่ไม่ได้พูดอะไร หลิวติงติงรู้ว่าเยี่ยเทียนหวังดีกับเธอ ก็ผงกหัวเห็นด้วยทันที”
เยี่ยเทียนมองดูนาฬิกา ก็เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว พูดว่า “พอได้แล้ว อาติง เธอพักที่ด้านหน้า ศิษย์พี่และหลิวติงติงทั้งสองพักตรงกลาง ชุดเครื่องนอนและเครื่องใช้ในห้องน้ำเป็นของใหม่ทั้งหมด ขาดเหลืออะไรบอกฉันได้เลยนะ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน อาติงรีบพูดออกไปว่า “นายน้อย ถ้ามีของอะไรขาดให้ผมเป็นคนจัดการ เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ไม่ต้องรบกวนท่านแล้ว”
มันแตกต่างกันมากที่มีคนคอยช่วย เมื่อมีอาติงเช่นนี้ เยี่ยเทียนก็อยากจะขออาติงมาจากถังเหวินหย่วนเลย
“ศิษย์น้องเล็ก พลังเหนือธรรมชาติในลานของเธอนี้ยิ่งน้อยลงทุกวัน ฉันว่าพักอยู่ที่นี้ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องนอนแล้ว”
โก่วซินเจียหัวเราะ เดินมุ่งหน้าไปยังห้องสำคัญห้องหนึ่งแล้วก็นั่งลง เขาไม่ได้คาดหวังที่จะบรรลุถึงการฝึกพลังกำเนิดเซียน แต่ว่าเมื่อหลายปีก่อนแขนถูกหักเป็นสองท่อน และชีพจรโดยรอบ ๆก็ได้รับความเสียหายไม่น้อย นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะรักษามัน
หลังจากที่จัดการที่พักให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนไปห้องตัวเองที่หลังบ้าน โจวเซ่าเทียนทุกวันจะมาทำความสะอาดที่เรือนสี่ประสานหนึ่งครั้ง แม้ว่าจะเดินทางออกไปได้เดือนกว่าแล้ว ภายในห้องก็ยังคงสะอาดมาก ๆ
เมื่อถึงห้องก็อาบน้ำสักหน่อย เยี่ยเทียนมาถึงห้องสมุด เปิดประตูลับในชั้นหนังสือ เปิดตู้เซฟที่ติดอยู่กับผนัง
หลังจากที่เปิดตูเซฟแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบคู่มือตำราหนา ๆ เคล็ดวิชาที่อาจารย์เป็นคนเขียนเองออกมา
ตามที่เยี่ยเทียนและหลี่ซั่นหยวนปรึกษากันในตอนแรก เคล็ดวิชาในการต่อสู้พวกนี้บางทีไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดให้ศิษย์พี่ทั้งสอง แต่ว่าเมื่อเยี่ยเทียนพบเหตุการณ์ที่ฮ่องกง ก็รู้ว่าความจริงแล้วศัตรูของสำนักเสื้อป่านมีไม่น้อยเลย
สำหรับศิษย์พี่ทั้งสองหลังจากที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันพักหนึ่ง เยี่ยเทียนก็เรียนรู้นิสัยของพวกเขา ศิษย์พี่ใหญ่โก่วซินเจียเป็นคนที่เดาใจได้ยากมาก แต่ว่าเมื่อหลายปีที่ผ่านมาประสบกับเคราะห์ร้ายจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
สำหรับจั่วเจียจวิ้นศิษย์พี่รองก็ไม่มีความมุ่งมั่นอะไร ให้ความสนใจเพียงแค่หลานสาว และพยายามอย่างสุดกำลังอยากให้มีการถ่ายทอดผ่านสายเลือดนี้ ยังเป็นคนที่ไว้ใจได้
ดังนั้นเยี่ยเทียนก็เตรียมที่จะคัดเลือกเคล็ดวิชาบางส่วนส่งมอบให้ทั้งสองได้ฝึกฝน แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลัง ถ้าไม่ใช่ศัตรู ก็ยังสามารถปกป้องตัวเองได้
ในสมองของเยี่ยเทียนมีเคล็ดวิชามากมายพร้อมจะถ่ายทอด เขาและหลี่ซั่นหยวนจัดการให้เป็นระเบียบมาแล้วสองปี ทั้งหมดถูกจัดออกมาได้สิบแปดบทและมากกว่าร้อยวิธีในการต่อสู้ หลังจากที่เยี่ยเทียนคิดมาแล้ว ก็ได้เลือกออกมาสามเล่มเพื่อส่งให้โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้น ศึกษาและฝึกฝน
“ศิษย์พี่ ยังไม่นอนอีก ผมเข้าไปได้ไหม?” หยิบหนังสือเคล็ดวิชาสามเล่มมายังกลางห้อง เยี่ยเทียนเคาะประตูห้องของโก่วซินเจีย
“ศิษย์น้องเล็ก ฉันกำลังคุยกับจั่วเจียจวิ้นอยู่พอดี รีบเข้ามาสิ” เสียงของโก่วซินเจียดังออกมา เยี่ยเทียนผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
พอเห็นเยี่ยเทียนเดินเข้ามา โก่วซินเจียก็ลุกขึ้นเทน้ำให้เขา พูดว่า “บาดแผลจากอาวุธปืนของเธอยังไม่หายดี ทำไมไม่รีบพักผ่อน”
“ศิษย์พี่ นี้คือหนังสือที่ล้ำค่าที่ผมกับอาจารย์จัดเก็บเคล็ดวิชาเอาไว้ ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รอง ลองศึกษาและฝึกฝนด้วยกันสิ” เยี่ยเทียนก็ไม่ได้พูดอะไรไร้สาระ วางหนังสือเคล็ดวิชาสามเล่มไว้บนโต๊ะ
“ถ่ายทอดเคล็ดวิชา” โก่วซินเจียไม่รอช้าเดินเข้าไปหยิบเคล็ดวิชามาหนึ่งเล่ม เปิดดูสักหน่อย ร้องเสียงหลงออกมาว่า “อาจารย์ นี่่คือลายมือของอาจารย”
“ไม่ผิด คือลายมือของอาจารย์” จั่วเจียจวิ้นที่อยู่ข้างๆพูด เขาและโก่วซินเจียต่างก็เคยคิดติดตามหลี่ซั่นหยวนเป็นเวลานานมาก กับลายมือของอาจารย์แค่เห็นก็จำได้ขึ้นใจ
โก่วซินเจียที่กำลังมองดูหนังสือที่ล้ำค่าอยู่ หลังจากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “มองไปหาเยี่ยเทียนแล้วถามว่า เยี่ยเทียน นี้คืออาจารย์สั่งให้เธอส่งต่อมันให้พวกฉันหรือเปล่า”
แปลกประหลาด ปกติอาจารย์จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้กับลูกศิษย์โดยตรงเท่านั้น นั่นก็หมายความว่า นอกจากเยี่ยเทียนแล้ว เขาและจั่วเจียจวิ้นต่างก็ไม่มีคุณสมบัติในการฝึกฝนเคล็ดวิชาพวกนี้
“อาจารย์ให้ผมพิจารณาเรื่องราวตามเหตุการณ์”
เยี่ยเทียนผงกหัว พูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเรามีกันอยู่แค่นี้ ก็ไม่ต้องพูดอะไรให้มากมายแล้ว ศิษย์น้องตอนนี้ก็กลายเป็นหัวหน้าของสำนักเสื้อป่าน ก็ยังมีสิทธินี้”
“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่ได้รับและเข้าใจความหวังดีในครั้งนี้ของเธอแล้ว”
โก่วซินเจียพยักหน้า หันไปมองจั่วเจียจวิ้นแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องรอง พวกหนังสือเคล็ดวิชานี้ก็คือสำนักเสื้อป่านของพวกเราที่เป็นตัวกลางสำคัญในการถ่ายทอดและสืบสาน เธอต้องไม่ถ่ายทอดให้คนอื่นง่าย ๆ”
โก่วซินเจียเป็นคนรุ่นก่อนยุคปลดปล่อย จึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับแบบแผนการถ่ายทอดและสืบสานวิชาของสำนัก ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าแล้วว่า การรักษาระเบียบแบบแผนอย่างนี้จะไม่เกิดผลดีและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาวิชาที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน แต่ช่วงเวลานี้ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้ได้
“ศิษย์พี่ ฉันรู้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากศิษย์น้องเยี่ย เคล็ดวิชาพวกนี้ฉันก็จะไม่เปิดเผยออกไปอย่างแน่นอน” จั่วเจียจวิ้นผงกหัว
โก่วซินเจียวางหนังสือเคล็ดวิชาทั้งสามเล่มบนโต๊ะ หันไปถามเยี่ยเทียนว่า “ศิษย์น้องเล็ก เธอมีธูปเทียนไหม”
“มี ศิษย์พี่รอสักครู่” เยี่ยเทียนเข้าใจความหมายของศิษย์พี่ใหญ่ กลับไปทีห้องของตัวเองไปหยิบธูปเทียนมา หลังจากนั้นก็หยิบรูปวาดของหลี่ซั่นหยวนมาด้วย
“อาจารย์!”
หลังจากที่ได้เห็นรูปวาดของหลี่ซั่นหยวน โก่วซินเจียสั่นไปทั้งตัว ใช้มือเดียวรองรับรูปวาดนั้นมาด้วยความเคารพ หลังจากนั้นก็แขวนมันไว้บนกำแพง
หลังจากที่จุดธูปเทียน โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นคุกเข่าลงกับพื้น โค้งคำนับสามทีให้กับหนังสือล้ำค่าสามเล่มและรูปวาดของหลี่ซั่นหยวน เพื่อที่จะสำนึกบุญคุณและแสดงความขอบคุณอาจารย์ที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้
หลังจากเสร็จพิธีกราบอาจารย์ เยี่ยเทียนพูดว่า “ศิษย์พี่ ยังมีเวลาอีกนาน วันนี้พวกพี่รีบพักผ่อนกันเถอะ”
“รู้แล้ว ศิษย์น้องเล็กอาการบาดเจ็บของเธอยังไม่หายดี กลับห้องเถอะ” โก่วซินเจียพยักหน้า แต่ว่าสายตายังคงมองดูพวกหนังสือเคล็ดวิชา ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่มีความคิดที่จะนอนแล้ว
เยี่ยเทียนก็ไม่ได้พูดโน้มน้าวใจ บอกศิษย์พี่ทั้งสองว่าง่วงนอนแล้วก็กลับเข้าห้องนอนของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าวันนี้จะนอน เพราะว่ายังมีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้จัดการ
หลังจากกลับมาถึงห้อง เยี่ยเทียนเปิดกระเป๋าเป้ของตัวเอง หยิบเอาวัตถุสีเขียวเล็ก ๆเจ็ดแปดชิ้นมาวางไว้กลางฝ่ามือ แสงไฟสีขาวในห้องส่องแสงลงมา ทั้งมือขวาของเยี่ยเทียนก็กลายเป็นสีเขียว
นี่คือหยกจักพรรดิที่เยี่ยเทียนได้มาจากการเดิมพันที่ฮ่องกง ตอนนี้อยู่ที่ในฮ่องกงเพื่อให้บริษัทเครื่องประดับของจั่วเจียจวิ้นทำเป็นสร้อยข้อมือที่สมบูรณ์สวยงาม ซึ่งน่าจะทำได้สองเส้น
ส่วนหยกเหล่านี้ที่อยู่บนฝ่ามือของเยี่ยเทียน คือส่วนเหลือที่ถูกควักออกมา อย่ามองสิ่งเหล่านี้เป็นเศษของสร้อยข้อมือนั้นและไม่มีค่า มูลค่าของมันมากกว่าทองคำ หมื่นแท่งเสียอีก
เยี่ยเทียนพร้อมที่จะแกะสลักพวกมันเป็นจี้เล็ก ๆ หลังจากนั้นเก็บไว้ที่เรือนสี่ประสาน หยกที่ดีที่สุดเหล่านี้มีความจุสูงสำหรับจิตเก็บพลังงาน ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปีมันก็อาจกลายเครื่องราง
มีโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นทั้งสองที่อาศัยอยู่ในนี้ น่าจะทำให้พลังเหนือธรรมชาติที่อยู่ในเรือนสี่ประสานนี้กระจัดกระจายและค่อย ๆหายไป เพราะฉะนั้นเยี่ยเทียนต้องแกะสลักให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อใส่เข้าไปในดวงตาค่ายกล
พวกหยกเหล่านี้ถูกตัดตามคำแนะนำของเยี่ยเทียน ทั้งหมดมีแปดแผ่น สามารถแกะสลักออกมาได้แปดชิ้น เยี่ยเทียนเปิดโคมไฟ แกะสลักอยู่บนโต๊ะ
หลังจากที่เข้าถึงการฝึกพลังกำเนิดเซียน เยี่ยเทียนสามารถควบคุมร่างกายได้ถึงขั้นตอนที่ละเอียดอ่อน ทุกครั้งที่กรีดมีดลงไป จะใช้แรงทั้งหมดที่พอดีไม่มากไม่น้อยเกินไป
การแกะสลักของเยี่ยเทียนรวดเร็วมาก ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง หยกกวนอิมสีสันสดใสหนึ่งชิ้นอยู่บนฝ่ามือของเขาแล้ว
เยี่ยเทียนชอบแกะสลักหยกที่บ้าน จึงซื้อเครื่องเจียรไนยขนาดเล็กมาวางไว้ที่บ้าน จึงทำให้ค่อนข้างง่ายและสะดวกมาก
เขาเปิดเครื่องเจียรไนยที่อยู่ด้านข้างของเขา เยี่ยเทียนโยนหยกกวนอิมลงไป หลังจากสิบกว่านาทีก็ขัดเงาเสร็จแล้ว มีแสงสีเขียวสะท้อนออกมาที่ดูแล้วเงียบสงบและสวยงาม
กวนอิมและรูปพระพุทธรูปสี่รูป เยี่ยเทียนยุ่งทั้งคืน หลังจากเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งหมด ก็ได้ยินเสียงไก่ขันขึ้นมา
ลุกขึ้นและเดินไปที่สวนหลังบ้าน เยี่ยเทียนยกอิฐออกมาจากพื้น เอาหินอ่อนสีขาวออกมา หลังจากที่งัดหินอ่อนสีขาวออกมาหนึ่งชิ้น เยี่ยเทียนก็เอาหยกทั้งแปดวางลงไปแทนที่
………