หลังจากวางเครื่องหยกเสร็จเรียบร้อย เยี่ยเทียนได้ยินเสียงเปิดประตูจากกลางบ้าน พอเดินไปดูก็เห็นว่าศิษย์พี่ทั้งสองแยกกันออกมาจากห้อง ทั้งสามมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ
ทั้งสามคนยึดตำแหน่งในเรือนสี่ประสานที่แตกต่างกันไป ทันใดนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามคนก็ยืนสมาธิเดินลมปราณทันที ในลานก็มีการเปลี่ยนแปลงพลังเหนือธรรมชาติที่มากมายสมบูรณ์ในทันทีทันใด พลังก็ถูกดูดจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“เอ๋ ว่าแต่เจ้าของเล็ก ๆ แบบนี้มันจะสามารถนั่งสมาธิเดินลมปราณได้จริงหรือ” ในขณะที่เยี่ยเทียนมีปฏิกิริยาโต้ตอบของพลัง เพิ่งสังเกตว่าภายในเรือนสี่ประสานแห่งนี้นอกจากสามตำแหน่งที่มีการดูดซึมพลังนั้น ในบ่อน้ำที่สวนก็มีพลังงานที่ไม่สลายหายไปอย่างต่อเนื่อง
เยี่ยเทียนรู้ว่านั้นคือที่ที่เหมาโถวอาศัยอยู่ พอนึกได้ครู่หนึ่งก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมาก เหมาโถวเกิดมาพร้อมกับไหวพริบที่ดีวันหน้าจะกลายเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความโชคดีของตัวมันเอง
สำเร็จเรียบร้อยในการฝึกสองชั่วโมง พลังเหนือธรรมชาติในลานนี้อ่อนลงมาเยอะมาก เพียงแต่ว่ายังหมุนอยู่รอบ ๆค่ายกล ระยะเวลาไม่นานก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
หลังจากที่ออกกำลังกายตอนเช้าเสร็จแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องรวมตัวอยู่ด้วยกัน โก่วซินเจียรู้สึกได้ถึงพลังที่อยู่รอบตัว พูดว่า “ค่ายกลนี้ถึงแม้ว่ามันจะดี แต่ชีพจรของพระราชวังคือไม่มีรากฐานแก่นแท้ถึงที่สุด อีกทั้งพลังภูตผีปีศาจก็มีจำกัด ศิษย์น้อง อย่างมากสุดก็สองปี ดวงชะตาของพระราชวังก็กำลังจะหมดลง”
เยี่ยเทียนผงกหัว พูดว่า “ผมรู้ ถ้าสามารถรักษาให้คงอยู่ต่อไปได้ถึงสองปีก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก รอให้บ้านที่ฮ่องกงจัดการเสร็จเรียบร้อยก่อนผมก็จะแวะไปดูสักหน่อย ถ้าเกิดว่าพื้นที่เหมาะสมแล้วก็ ก็สามารถวางค่ายกลสักอันไว้ที่นั้นได้”
“ศิษย์น้องเล็ก ที่นี่แม้ว่าจะดี แต่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องไปกราบไหว้อาจารย์ก่อน เธอคิดว่าไปกันเมื่อไหร่ดี”
โก่วซินเจียและโจ่วเจียจวิ้นแม้ว่าจะชมเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนไม่ขาดปาก แต่ว่าพวกเขาทั้งสองสิ่งที่สำคัญที่สุดในการมาประเทศจีนนี้ ก็คือมากราบไหว้อาจารย์ที่จากไปหลี่ซั่นหยวน ก็คือสิ่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
เยียเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “ศิษย์พี่ ผมยังมีบางเรื่องที่ต้องจัดการที่ปักกิ่ง ถ้ารออีกอาทิตย์ถัดไปก็จะครบรอบสามปีพิธีบวงสรวงอาจารย์ เอาเป็นว่า หลังจากนั้นสามวันพวกเราไปเหมาซัน พวกพี่คิดว่าไง”
รู้ว่าเยี่ยเทียนกลับมาเมื่อวาน เว่ยหงจวิน ก็โทรศัพท์มา เพื่อที่จะนัดเยี่ยเทียนกินข้าว แต่ว่าเยี่ยเทียนไม่ว่าง จึงบอกปัดทั้งหมด
เยี่ยเทียนไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ปักกิ่งคนเดียว ยังมีครอบครัวใหญ่อีก มีเพื่อนทุกหนทุกแห่ง เยี่ยเทียนคิดว่าพรุ่งนี้จะไปเจอพวกเขา อย่างน้อยถ้าวันหลังตัวเองไม่อยู่แล้ว ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรก็ยังมีคนคอยให้ความช่วยเหลือ
สำหรับวันนี้ เยี่ยเทียนกลับต้องไปเดินที่มหาวิทยาลัยหวาชิง อวี๋ชิงหย่าก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว แถมยังมีของในหอพักที่ต้องย้ายกลับมา เป็นคู่หมั้น เยี่ยเทียนก็ถือว่ามันคือหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง
โก่วซินเจียคิดแล้วคิดอีก พูดว่า “ได้ ไม่ต้องรีบหรอก ฉันก็ออกมาจากเมืองปักกิ่งห้าสิบปีกว่าแล้ว ได้โอกาสไปเดินเล่นสักหน่อย”
เยี่ยเทียนผงกหัวพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้อาติงไปเป็นเพื่อนสิ รถคันนั้นผมทิ้งไว้ให้อาติง”
เพราะว่าเมื่อวานเยี่ยเทียนได้สั่งไว้แล้วว่าจะไม่ตื่นเช้า อาติงก็ใช้จังหวะนี้นอนหลับสบายอยู่ในห้อง เยี่ยเทียนออกไปซื้ออาหารเช้าแล้วก็ไปปลุกอาติง บอกแผนการของทั้งสองวันนี้ให้เขาฟัง
เยี่ยเทียนบอกให้เขาพาโก่วซินเจียไปเที่ยวชมรอบ ๆปักกิ่ง อาติงยิ้มแล้วพูดว่า “นายน้อย ไม่ต้องใช้รถของท่านก็ได้ ลุงถังเขามีหน่วยงานอยู่ที่นี่ ผมไปที่นั่นไปเอารถมาก็ได้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ระวังตัวปลอดภัยไว้ก่อน” เยี่ยเทียนผงกหัว วันนี้เขาก็ไปย้ายของ ถ้าไม่มีรถก็จะไม่สะดวก
หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จ เยี่ยเทียนขับรถออกไปจากเรือนสี่ประสาน แต่ว่าแค่เลี้ยวออกมาจากหน้าทางเข้าของเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนก็เหยียบเบรก เอารถจอดไว้ข้าง ๆถนนหลังจากนั้นก็เปิดประตูเดินออกมา
“สวัสดี พวกคุณทั้งหลาย กำลังวางแผนอะไรกันอยู่” เดินไปถึงปากซอย เยี่ยเทียนเอาตบเบา ๆไปที่รถคันหนึ่ง
“คุณ คุณชายเยี่ย ทำไมคุณหาพวกเราเจอ”
ลดกระจกรถลงมา ในที่นั่งคนขับใบหน้าขมขื่นของมาราไกย์ปรากฏออกมาให้เห็น พวกเขาคิดว่าตัวเองระวังตัวดีแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกเยี่ยเทียนจับได้ ทำให้พวกทหารรับจ้างพวกนี้มีความรู้สึกพ่ายแพ้
เยี่ยเทียนหยิบโทรศัพท์ที่สามารถค้นหาตำแหน่งได้แกว่งไปมา พูดว่า “พวกแกสามารถหาฉันเจอได้ ฉันยังหาพวกแกไม่ได้เลยหรอ”
พูดความจริง เยี่ยเทียนก็ค่อนข้างที่จะให้เคารพนับถือคนพวกนี้ เมื่อวานเพิ่งมาถึงปักกิ่ง วันนี้พวกเขาก็รออยู่หน้าปากซอยตั้งแต่เช้าตรู่ อย่างน้อยที่สุดก็ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่
มาราไกย์รู้ว่าวัยรุ่นที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นไม่สามารถคาดเดาได้ ไม่กล้าปิดบังทันที พูดว่า “คุณชายเยี่ย พวกเราก็แค่พักอยู่โรงแรมข้าง ๆ นี้เอง คุณไม่ต้องกังวล พวกเราจะไม่รบกวนกิจวัตรประจำวันของคุณแน่นอน
เยี่ยเทียนหัวเราะ พูดว่า “ดี แต่ว่าต่างชาติในปักกิ่งนั้นมีไม่ค่อยเยอะ พวกแกช่วยอยู่ให้ห่างจากฉันอีกหน่อย ประมาณห้าสิบเมตรขึ้นไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน มาราไกย์และคนทั้งหมดก็ต่างยิ้มออกมา นี้คือหน้าที่ของบอดี้การ์ด ระยะห่างกับนายจ้างกลับยิ่งอยู่ยิ่งไกล ระยะห่างห้าสิบเมตร ถ้าเกิดว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาแล้วก็ แม้ว่าพวกเขาจะบินไปก็คงไม่ทันอยู่ดี
“ตกลง คุณชายเยี่ย พวกเราจะรักษาระยะห่างกับคุณอย่างแน่นอน”
นึกถึงวันนั้นที่เจอศพกว่ายี่สิบร่าง มาราไกย์ไม่ยอมตัดสินใจเอง เกิดความรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเยี่ยเทียน ทำได้เพียงแค่รับปาก
จากนั้นก็กลับไปนั่งรถแลนด์โรเวอร์ของตัวเองที่เคยขับไม่กี่ครั้ง เยี่ยเทียนมาถึงบริเวณมหาวิทยาลัยหวาชิง หลังจากลงทะเบียน เยี่ยเทียนก็ขับรถตรงไปยังหอพักของอวี๋ชิงหย่า
ในปีเก้าแปดนี้ ทั้งเมืองปักกิ่งมีรถแลนด์โรเวอร์ไม่กี่คัน เยี่ยเทียนจอดรถไว้หน้าทางเข้าหอพัก ทันใดนั้นก็ดึงดูดสายตาคนที่เดินเข้าออกไปมา สายตาของหญิงสาวคืออิจฉาชื่นชม ชายหนุ่มก็ต่างอิจฉาริษยาไม่แพ้กัน
“เยี่ยเทียน รอฉันแปปหนึ่ง ใกล้จะเก็บของเสร็จแล้ว” หลังจากที่รับโทรศัพท์ เสียงของอวี๋ชิงหย่าก็ดังออกมา
เยี่ยเทียนถือสายอยู่ก็หัวเราะ พูดว่า “ต้องการให้ฉันขึ้นไปช่วยไหม จะว่าไปฉันก็ยังไม่เคยเข้าไปในหอพักของผู้หญิงเลย”
“อยากมาก็มาสิ สาว ๆในนี้ก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าด้วยนะ”
“อวี๋ชิงหย่า เธอยังไม่ใส่เสื้อผ้าอีกหรือ พอมีแฟนแล้ว ก็ไม่สนใจพวกเราเลยนะ”
“หรือว่า จะถอดเสื้อผ้าของอวี๋ชิงหย่าออกหลังจากนั้นก็ค่อยให้เขาขึ้นมา”
“ว้าว เหมียว ๆของอวี๋คนสวยใหญ่มากเลย พวกเราพี่สาวน้องสาว สู้ ๆ”
ถือสายอยู่ก็ได้ยินพวกผู้หญิงกำลังล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะถูจมูก ถูแล้วถูอีก ว่ากันว่าคณะวารสารศาสตร์มีแต่ผู้หญิงสวย ๆ มีทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยแสงฤดูใบไม้ผลิ ดูสวยงามที่สุด
“ไม่คุยแล้ว ฉันกำลังจะลงไป” อวี๋ชิงหย่ารีบพูดแล้วก็รีบตัดสายไป
แต่ว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยก็ถือว่าเรียบง่าย
มองเห็นว่าข้างหน้ารถมีซองบุหรี่ที่พ่อทิ้งไว้ เยี่ยเทียนก็หยิบมาคาบไว้ในปากหนึ่งมวน ใช้ไฟแช็กจุดบุหรี่ สูดเข้าไปลึก ๆ ภายในใจรู้สึกคิดถึงชีวิตสมัยเรียน
เยี่ยเทียนหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วหาเบอร์ของสวีเจิ้นหนาน แม้ว่าจะออกรั้วหวาชิงสามปีแล้ว แต่ว่าความสัมพันธ์กับสวีเจิ้นหนานยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ว่าคนอื่น ๆก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันสักเท่าไหร่
“เยี่ยเทียน เจ้าหมอนี่ทำไมถึงสูบบุหรี่อีกแล้ว” กำลังโทรหาสวีจวิ้นหนาน ท้ายรถก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
“อัยยะ พี่ใหญ่ ฉันเพิ่งโทรหาพี่เมื่อกี้แล้วพี่ก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว นี้บินมาหรือเปล่า เยี่ยเทียนได้ยินก็ยิ้มออกมา เยี่ยเทียนไม่ได้วางสาย แต่ฟังเสียงโทรศัพท์ที่ดังมาจากท้ายรถ
“หรงหรงเพิ่งโทรมาบอกว่าเธออยู่นี้ น้องชายที่แสนดีมาแล้ว ฉันจะไม่มาได้เหรอ”
สวีเจิ้นหนานหัวเราะแล้วก็แย่งบุหรี่ที่อยู่ในปากของเยี่ยเทียน สูดเข้าไปหนึ่งทีแล้วก็รีบคืนกลับไป มองขึ้นไปหน้าต่างของหอพัก พูดว่า “วันหลังต่อหน้าฉันสูบบุหรี่ให้น้อยลงหน่อย พวกพี่ต่างเลิกกันหมดแล้ว”
เยี่ยเทียนหัวเราะพร้อมเปิดประตูรถ ต่อยไปที่อกของสวีเจิ้นหนาน หัวเราะแล้วพูดว่า “ให้ตายเหอะพี่ใหญ่ ความตั้งใจไม่เด็ดเดี่ยวแม้แต่นิดเดียว ถ้าพี่เลิกมันพี่ก็กลายเป็นคนทรยศแล้ว”
ภายในเดือนเดียวเยี่ยเทียนเฉียดตายมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง เส้นประสาทมีแต่ความตรึงเครียด คุยเล่นกับสวีเจิ้นหนาน กลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากกว่าที่เคย
“น้องชาย ฉันซื่อสัตย์ขนาดนี้ จะเป็นคนทรยศได้ไง เฮ เยี่ยเทียนฉันว่านะ รถคันนี้ของแกก็ไม่เลวนะ เมื่อเทียบกับรถฮัมเมอร์ของเถ้าแก่เหมยของพวกเราแล้วนั้นของแกยังดูสง่าน่าเกรงขามกว่าเยอะ”
มาถึงด้านหน้ารถ สวีเจิ้นหนานก็เห็นถึงความแตกต่างระหว่างรถแลนด์โรเวอร์และเยี่ยเทียน มีผู้ชายคนไหนที่จะไม่ชอบรถ ในตอนนั้นก็เดินสำรวจดูทั้งหน้าและหลังรถ
“พอแล้ว พี่ไม่มีปัญญาซื้อมันหรอก”
เยี่ยเทียนดึงสวีเจิ้นหนานออกมา พูดว่า “เดี๋ยวพี่และเว่ยหรงหรงไปกินข้าวที่บ้านฉันเถอะ พวกเราสองพี่น้องนานแล้วนะไม่ได้ดื่มสักแก้วเลย อัยยะ หน้าพี่ไปโดนอะไรมา หรือว่าโดนบอลเตะอัดหน้า”
เมื่อจะต่อยหน้าสวีจิ้นหนานเยี่ยเทียนก็เห็นว่า “เบ้าตาขวาของเขาเป็นสีดำ ๆ แก้มซ้ายก็บวมขึ้นมา บุคลิกภายนอกกับที่เขาพูดออกมาเมื่อกี้ทั้งหมดมันไม่สอดคล้องกัน”
แต่ว่าเยี่ยเทียนรู้ สวิจิ้นหนานชอบเล่นบาส แต่ก่อนสมัยที่ยังเรียนอยู่พวกนี้ก็มักจะถูกปะทะหน้าตาฟกช้ำดำเขียวเป็นประจำ แต่นั้นก็ไม่ได้สำคัญอะไร
“ไม่ใช่เตะบอล ฉันซ้อมคาราเต้กับพวกอ่อนหัดที่ชมรม”
เมื่อได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มไม่ค่อยดีของเยี่ยเทียน สวีเจิ้นหนานตะโกนออกมา “เฮ้ เยี่ยเทียน ฉันไม่เคยทำให้ชาวจีนอย่าง่พวกเราขายหน้า เจ้าลูกเต่าคนนั้นก็ถูกฉันถีบไปอยู่หลายที ฉันว่าเจ้านั่นคงช้ำในไปแล้ว”
เยี่ยเทียนกลั้นขำ ถามว่า “ฉันบอกว่าพี่เล่นบาสเก่งมาก ๆ ทำไมถึงไปอัดคนที่ฝึกคาราเต้แล้วละ”
ในมหาวิทยาลัยนี้มีสมาคมจำนวนมาก ทั้งหมดก็คือนักเรียนด้วยกันเองนั้นแหละที่เป็นคนก่อตั้งหลัง จัดให้มีการสมัครและลงทะเบียน ถ้าเกิดว่ามีคนลงชื่อกันเยอะ ทางมหาวิทยาลัยก็จัดหาสถานที่ให้เพื่ออำนวยความสะดวก
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะพอรู้จักพวกสมาคมพวกนี้ แต่เขาไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยเป็นเวลาครึ่งปี เพราะฉะนั้นเลยไม่ได้คลุกคลีอยู่กับสมาคมพวกนั้น
สวีเจิ้นหนานมองไปที่เยี่ยเทียน พูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจว่า “หรงหรงบอกว่าฉันนะตัวใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์ สมัยนี้ผู้ชายต้องฝึกวิชากังฟูด้วยถึงจะรู้สึกปลอดภัย”
“ฉันบอกว่างั้นพี่ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้หรอก” เมื่อได้ยินเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ของสวีเจิ้นหนาน เยี่ยเทียนไม่มีอะไรจะพูดเลย ดูเหมือนว่าชีวิตของพี่ใหญ่ถูกทำลายด้วยมือของแม่พริกขี้หนูแล้ว
“รอแปป ฉันรับสายนี้ก่อน” คือสมาคมมวยวูซูของพวกเราโทรมา ในขณะที่พูดคุยกันอยู่ เสียงโทรศัพท์ของสวีเจิ้นหนานก็ดังขึ้นมา
“ฮัลโหล ฉันอยู่แถวหอพักหญิง มีเรื่องอะไร อะไรนะ เจ้าอ่อนหัดคนนั้นมันเชิญอาจารย์มาแล้ว อย่าไปกลัว พวกแกรอฉันก่อนเดี๋ยวฉันจะรีบไป บ้าเอ้ย จะฆ่าพวกมันให้หมด”
……..