ตอนหลี่เฟิงอายุสี่ขวบยืดขาดึงเส้นเอ็นกับพ่อ ตอนอายุหกขวบเริ่มฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่ถ่ายทอดจากตระกูล เพียงแต่ว่ามวยวูซูในปัจจุบันนค่อนข้างเสื่อมลง เขาใช้เวลานานมากเพื่อศึกษา
แต่ถึงอย่างนั้น ตลอดทั้งปีที่ฝึกฝนมวยวูซูก็ทำให้หลี่เฟิงมีความรู้แตกต่างจากคนธรรมดา เวลานี้เขาก็สังเกตได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคิตะทาโร่ดูเหมือนว่าภายในร่างกายจะมีสัตว์ที่ดุร้ายแฝงอยู่หนึ่งตัว ทำให้ภายในใจเขามีความรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวิกฤตกาลขึ้นมา
ดังนั้นหลี่เฟิงที่รู้สึกตัวจึงรีบดึงสวีเจิ้นหนานเอาไว้ เพราะเขารู้ว่า สวีเจิ้นหนานถ้าหากว่าขึ้นไปประลองแล้วอาจไม่ตาย แต่ว่าเขาต้องได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสแน่นอน เทียบเชิญประลองของฝั่งตรงข้ามได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามันคือกับดัก
ตกลง หลี่เฟิง ระวังตัวด้วย
ถึงแม้ว่าสวีเจิ้นหนานจะถูกกระตุ้นได้ง่าย แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่คนโง่ อีกทั้งเขายังรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของฝั่งตรงข้าม เพื่อตัวเอง ทันใดนั้นก็พูดกับคิตะทาโร่ว่า สามรอบชนะสอง ฝั่งของฉันขอส่งหลี่เฟิงขึ้นไปประลองก่อนในรอบแรก
เป็นไปตามแผน สวีเจิ้นหนานทำแบบนี้ก็ทำให้ไม่มีเหตุผลที่ต้องวิจารณ์ติเตียน ถึงแม้ว่าคิตะทาโร่ก็ไม่มีอะไรจะพูด
หลังจากที่จ้องสวีเจิ้นหนานอยู่ครู่หนึ่ง คาดไม่ถึงว่าคิตะทาโร่ก็จะถอยหลังมาหนึ่งก้าว แล้วพูดกับผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆว่า พี่พัคจุนฮี รอบแรกและรอบสอง คงต้องรบกวนพี่แล้วนะครับ
พัคจุนฮีมองไปที่คิตะทาโร่ ไม่ได้แสดงถึงความเลื่อมใสอะไรมากนัก พูดเป็นภาษาเกาหลีว่า คิตะทาโร่ แกต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ฉันติดตามสำนักดาบคิตะมิยะ ไม่ใช่คนรับใช้ที่บ้านของแก
พี่พัคจุนฮี ฉันว่าพี่เข้าใจผิดแล้ว คนจีนดูถูกวิชาคาราเต้และวิชาเทควันโดของคนเกาหลีอย่างพวกพี่ พวกเราก็แค่ทำเพื่อชื่อเสียงของตัวเองเท่านั้น
คิตะทาโร่โค้งคำนับให้พัคจุนฮี แล้วพูดต่อว่า พวกเราตระกูลคิตะที่กำลังจะซื้อบริษัท เจ็ดดาวอิเล็กทรอนิกส์จากประเทศเกาหลี อย่างไรก็ต้องฟังความคิดเห็นของตระกูลพัคก่อนค่อยตัดสินใจ พี่พัคจุนฮี ฝากด้วยนะครับ
กับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า จริง ๆ แล้วคิตะทาโร่ไม่กล้าใช้น้ำเสียงที่เหมือนกับออกคำสั่ง
ไม่ใช่เพราะว่าผู้หญิงคนนี้เป็นหลานสาวของปรมาจารย์พัคจองแทชมรมเทควันโด้ของเกาหลีเท่านั้น แต่ยังเป็นลูกศิษย์วิชาฟันดาบของคนในตระกูลคิตะมิยะที่มีชื่อเสียงคนนั้น คอยติดตามเขาโดยเฉพาะ
ตามคำพูดของคนที่มีชื่อเสียงในตระกูลคนนั้นกล่าวไว้ พัคจุนฮีมีพรสวรรค์มาก ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนญี่ปุ่น แต่ก็ได้รับการถ่ายทอดและสืบสานจากเขา คิตะทาโร่เองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ
เมื่อได้ยินคิตะทาโร่พูดถึงธุรกิจของตระกูล พัคจุนฮีใช้สายตาที่เลี่ยงไม่ได้จำใจพูดว่า “ตกลง ฉันจะประลองแค่รอบแรก ที่เหลือฉันก็ไม่สนใจละ”
วิกฤตการณ์ทางการเงินในปีนี้ของทวีปเอเชียส่งผลกระทบอย่างมากให้กับเกาหลี เนื่องจากปู่ของพัคจุนฮี พัคจองแทอยู่ที่ญี่ปุ่นมีเส้นสายเยอะมาก ดังนั้นธุรกิจของพัคจองแทกับญี่ปุ่นก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ตอนนี้ตระกูลพัคกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากจะควบคุม มีธุรกิจหลายประเภทที่ฝ่ายญี่ปุ่นต้องการถอนเงินทุนกลับไป ดังนั้นทั้ง ๆที่รู้ว่าคิตะทาโร่กำลังใช้อำนาจคุกคาม แต่ว่าพัคจุนฮีกก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องขัดขืน
“คิตะฮิโร ชิงหย่า เธอไม่ได้ยินมาผิดใช่ไหม จริง ๆแล้วว่าเป็นชื่อคิตะฮิโรจริง ๆ”
พัคจุนฮีและคิตะทาโร่ใช้ภาษาเกาหลีคุยกันตลอด แต่ว่าพวกเขาคิดไม่ถึงว่า อวี๋ชิงหย่าอยู่คณะวารสารศาสตร์ นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว วิชาเลือกของเธอก็คือภาษาเกาหลีกับภาษาญี่ปุ่น
ดังนั้นตอนที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน อวี๋ชิงหย่าก็ฟังแล้วก็แปลให้เยี่ยเทียนตลอด แต่พอได้ยินชื่อ คิตะทาโร่ ดวงตาของเยี่ยเทียนก็กลายเป็นสายตาดุดันขึ้นมาทันที
“เยี่ยเทียน เธอเป็นอะไร”
อวี๋ชิงหย่าที่นั่งข้าง ๆเยี่ยเทียน มีความรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาทันที หันกลับไปเห็นเยี่ยเทียนกำลังหัวเราะ ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจ
“ฉันไม่เป็นอะไร ก็แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับคนญี่ปุ่นเท่านั้นเอง” เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมา แต่กลับไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าสายตาจ้องมองคนที่เพิ่งออกมา
“ฉันชื่อพัคจุนฮี วิชาเอกคือศิลปะการใช้ดาบ เป็นนักเทควันโดสายดำห้าเส้น ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
หลังจากพัคจุนฮีตอบคิตะทาโร่ ก็ไม่ได้พูดอะไรไร้สาระ ถอดเสื้อคลุมและรองเท้าออก สวมใส่เสื้อสำหรับการประลองสีขาวทั้งตัว
สายดำห้าเส้น เมื่อได้ยินพัคจุนฮีแนะนำตัวเสร็จแล้ว หลี่เฟิงสูดหายใจเข้าหนึ่งที
สำหรับเทควันโด้ หลี่เฟิงก็มีความเข้าใจอยู่บ้าง แม้ว่าในสายตาคนภายนอก การเตะของเทควันโดนั้นมีลีลาที่สวยงาม มีเทคนิคที่แสดงมากมาย การเตะสูงจึงไม่เหมาะกับการต่อสู้จริงจริง ไม่มีการฝึกใช้กำปั้นและหมัด
แต่การได้สายดำห้าเส้นจากชมรมเทควันโด้ แล้วนำมาผสมเทคนิคคาราเต้ของญี่ปุ่น ก็ไม่ธรรมดาอย่างที่ทุกคนคิดแล้ว
ฝั่งตรงข้ามที่อายุยังน้อยแต่ก็สามารถบรรลุถึงสายดำห้าเส้นแล้ว หลี่เฟิงก็เลิกดูถูกเพราะว่าอีกฝั่งคือผู้หญิง พูดว่า
“หลี่เฟิงผู้ที่ได้รับการสืบถอดวิชามวยจากเหอเป่ย โปรดสั่งสอนด้วย”
เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้คู่ต่อสู้ทั้งสองฝั่งได้รับบาดเจ็บ ชมรมวูซูก็ได้ปูเบาะรองหนา ๆเอาไว้หนึ่งชั้น เพียงแต่ว่าท่าเตะ หยินพิฆาตของพี่ใหญ่สวีจะรุนแรงมาก เบาะรองนี้จึงไม่สามารถปกป้องหว่างขาของมิยาโมโตะเคนตะไว้ได้
หลังจากที่หลี่เฟิงและพัคจุนฮีเดินไปที่กลางสนาม ยกหมัดขึ้นทั้งสองฝั่ง แล้วถอยหลังกันไปคนละก้าว เท้าทั้งสองข้างของหลี่เฟิงแนบชิดไม่ขยับ
แต่ทว่าพัคจุนฮีสองเท้าขยับหน้าหลังไปมา ค่อย ๆเขยิบตัวเข้ามาข้างหน้า มือทั้งสองตั้งไว้ตรงอก นี่เป็นท่าป้องกันของเทควันโด้ที่สามารถเห็นได้บ่อยจากทีวี
เมื่อเยี่ยเทียนได้เห็นก็ได้ข้อสรุปออกมา ผงกหัวพูดว่า หลี่เฟิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้หญิงคนนี้
“เยี่ยเทียน ยังไม่เริ่มประลองเธอก็รู้แล้วหรือ แค่นี้ก็เดาออกแล้วหรือ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เว่ยหรงหรงก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ อย่างไรก็ตามหลี่เฟิงก็อยู่ในมหาวิทยาลัยนี้ เยี่ยเทียนจะไปรู้อะไรถึงจิตใจอันเด็ดเดี่ยวแนวแน่ของคนอื่น คิดว่าตัวเองน่าเกรงขามหรือไง
“มันไม่น่าอายหรอก ถ้าฝีมือสู้เขาไม่ได้ เธอดูแล้วก็จะรู้เอง”
เยี่ยเทียนไม่อยากที่จะโต้เถียงกับเว่ยหรงหรง ที่เขาพูดแบบนั้นออกไปก็มีเหตุผลของตัวเอง
คู่ต่อสู้ทั้งสองฝั่ง คนหนึ่งทำงานหนักที่บ้านตั้งแต่ยังเด็ก อีกคนฝึกฝนทุกวัน จุดประสงค์เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย อย่างนี้ก็เทียบกันไม่ได้แล้ว
หลังจากที่พัคจุนฮียืนนิ่ง เยี่ยเทียนสังเกตผ่านกล้ามเนื้อของแขนและต้นคอของพัคจุนฮี พบว่าเส้นลมปราณของเธอมีเส้นเอ็นใหญ่อันหนึ่งกำลังตึงขึ้นมา แต่กลับซ่อนอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง
คนข้าง ๆไม่มีใครดูออก แต่ว่าเยี่ยเทียนรู้ ว่านี่คือการกระจายเลือดลมภายในร่างกายไปเติมเต็มพลังให้มือและเท้าทั้งสี่หลัง
หลังจากที่เรียนกังฟูมาถึงขั้นนี้แล้ว เอ็นและกระดูกชองฝั่งตรงข้ามก็จะทั้งนิ่มและเหนียวเป็นพิเศษ ทั้งยืดทั้งรัด ในขณะที่ประลองอยู่นั้น ชั่วพริบตาเดียวเลือดลมก็จะปะทุ ประสิทธิภาพในการต่อสู้จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
อีกทั้งเมื่อพัคจุนฮีตั้งท่าของเทควันโด้ ข้างในยังแฝงไว้ด้วยท่าทางของคาราเต้ ขาทั้งสองของเธอไม่ได้กางออกอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ว่าเก็บหัวเข่า ขาทั้งสองที่ถอดรองเท้าออกไปแล้วนิ้วเท้าทั้งห้า วางนาบไว้บนเบาะรองอย่างแน่น
ท่าทางแบบนี้ดีต่อการส่งพลัง เพียงแค่ต้องพยายามออกแรงเท้า เท้าหลังก็จะดีดตัวออกเหมือนแส้ อีกทั้งอาศัยพละกำลังของช่วงเอวและสะโพก มันสามารถระเบิดพลังทั้งหมดออกมา
หลี่เฟิงแม้ว่าแหล่งที่มาของการฝึกก็คือครอบครัว ต่อจากนั้นก็มาฝึกวิชามวย จุดประสงค์ก็เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง จึงมีการวางท่าทางที่เรียบง่าย เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนนั้น กลับอ่อนแอกว่ามาก ไม่ต้องประลองเยี่ยเทียนก็รู้แล้วว่าใครแพ้ใครชนะ
“หื้อ”
เยี่ยเทียนเพิ่งพูดออกไป พัคจุนฮีก็เคลื่อนไหวขึ้นมาทันที เห็นแต่ว่าเธอใช้แรงเท้าหน้า สองมือดั่งสายฟ้าแลบคว้าไปที่คอเสื้อของหลี่เฟิง ทันใดนั้นก็เอียงตัวเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะใช้ไหล่เพื่อให้หลี่เฟิงเสียการทรงตัว
หลี่เฟิงไม่รู้จักกระบวนท่าของฝั่งตรงข้าม เมื่อถูกพัคจุนฮียจับมือขวาดึงเข้ามา แล้วดันฝ่ายตรงข้ามมาอยู่ทางด้านซ้าย ตัวเองก็ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว
“แย่แล้ว เจ้าหมอนี่ไม่รู้หรอว่าเทควันโด้ส่วนใหญ่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์จะใช้แต่เท้า”
พอได้เห็นหลี่เฟิงถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทำให้ทิ้งระยะห่างหนึ่งก้าวกับฝั่งตรงข้าม เยี่ยเทียนตะโกนออกมาด้วยความกลุ้มใจ ตอนแรกคิดว่าหลี่เฟิงจะไม่รู้เทคนิคในการจัดการผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่คิดเลยว่าถ้าเกิดพลาดไปแค่นิดเดียว ก็คาดเดาได้ว่าจะถูกน๊อคเอ้าท์ได้
การเปลี่ยนแปลงบนเวทีประลองเป็นไปตามที่เยี่ยเทียนคาดเดาไว้ หลังจากที่พัคจุนฮีกางมือทั้งสองข้างออก ดูเหมือนว่าสภาพร่างกายของเธอจะไม่ค่อยดีถือโอกาสหมุนตัวไปทางซ้ายมือหนึ่งรอบ
แต่ในขณะเดียวกันที่หมุนตัว เท้าซ้ายของพัคจุนฮีที่ประคองเอาไว้ ใช้ตัววาดลวดลายเส้นโค้งหนึ่งเส้น ขาขวาเตะกลับอย่างสวยงาม เตะเข้าไปที่แก้มของหลี่เฟิงเต็ม ๆ
การเตะครั้งนี้พัคจุนฮีอาศัยแรงช่วงเอวและสะโพก เมื่อเทียบกับหมัดของคนธรรมดาพลังก็ยังเหนือกว่า หลี่เฟิงถูกเตะจนหน้าหงาย ล้มลงนอนอยู่กลางเบาะรอง
“หลี่เฟิง เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ผลลัพธ์นี้มันกะทันหันเกินไป กระทันหันจนคนที่อยู่ในสนามร้อยกว่าคนก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร แม้ว่าพวกคิตะทาโร่ ก็ไม่ได้ส่งเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจ
ผ่านไปประมาณสี่ห้าวินาที หลี่เฟิงที่อยู่บนเบาะก็ขยับตัว สวีเจิ้นหนานเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน รีบพุ่งเข้าไป ประคองหลี่เฟิงขึ้นมา
แก้มซ้ายของหลี่เฟิงบวมมาก สายตาก็รู้สึกพร่ามัว พอถูกเตะแล้วทำให้เขาเกิดอาการวิงเวียน หลังจากที่สวีเจิ้นหนานประคองเขาแล้วเซไปเซมา หลี่เฟิงก็ได้สติกลับมา
“พี่ใหญ่สวี ฉัน ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ” หลี่เฟิงเอ่ยปาก ฟันซี่หนึ่งผสมกับเลือดก็หลุดออกมา เท้าที่เตะเมื่อกี้เห็นได้ว่าฝั่งนั้นเอาจริงแค่ไหน
แต่ว่าหลี่เฟิงก็รู้ ฝั่งตรงข้ามจริง ๆแล้วยังอ่อนแรงเท้าให้ ถ้าไม่อย่างนั้นโดนแรงเท้านี้ไปเขาอาจพูดไม่ได้เลย มันง่ายมากถ้าจะเตะให้หัวเขาสั่น
“ไม่เป็นไร หลี่เฟิง เธอพยายามเต็มที่แล้ว ไว้พี่น้องทุกคนจะช่วยเธอแก้แค้นเอง”
สวีเจิ้นหนานแม้ว่าจะพูดออกมาอย่างแข็งแกร่ง แต่ภายในใจนั้นกลับไม่มีอะไรเลย อาศัยสายตาของเขา กับเมื่อครู่ที่มองเท้าที่เตะออกมาก็ดูไม่ออก ถ้าหากขึ้นไปแล้วลงมาจากสนามอาจน่าเวทนายิ่งกว่าหลี่เฟิง
“ฉันประลองเสร็จแล้ว เรื่องของข้างล่างฉันก็ไม่สนใจแล้ว”
ในช่วงเวลาที่สวีเจิ้นหนานประคงหลี่เฟิงลงมาจากสนาม ไม่รู้ว่าควรจะเป็นตัวเองที่ขึ้นไปประลองหรือว่าอาเฟยดี พัคจุนฮีกลับทิ้งท้ายคำพูดไว้ หันหลังกลับไปใส่รองเท้าแล้วเดินออกไปจากสนาม
“ไม่ประลองแล้ว”
ชมรมวูซูกับผู้หญิงคนนี้ ท่าทางของเธอที่ทำให้พวกเขายังหาคำตอบไม่ได้ หลี่เฟิงมีฝีมือดีอันดับหนึ่งของชมรมวูซู แต่ว่าสู้ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ คนที่เหลือก็ทำได้เพียงยอมแพ้ แต่กลับไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงเดินออกไปจากสนาม
………..