“เยี่ยเทียน ถ้าผู้หญิงคนนั้นเก่งขนาดนี้ แล้วคนญี่ปุ่นคนนั้นจะไม่เก่งกว่าอีกหรือ”
เมื่อครู่ที่การประลองของหลี่เฟิงออกมาอย่างอย่างใสสะอาด ทำให้ใจของเว่ยรงหรงเกิดความกังวลขึ้นมาแล้ว เธอกลัวว่าแปรงสีฟันทั้งสองอันของแฟนเธอนั้นไม่น่าจะเพียงพอแล้ว
แต่ก่อนสวีเจิ้นหนานไม่เคยเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือมากเท่านี้ อาจเป็นเพราะว่านี้คือมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีอันดับหนึ่งของประเทศ ผู้มีฝีมือสูงของยุทธภพไม่มีทางที่จะมาทำอะไรในที่แบบนี้แน่นอน
“คนญี่ปุ่นนั้นสู้สาวเกาหลีไม่ได้” เยี่ยเทียนผงกหัว
“แต่ถ้าสู้กับพี่ใหญ่ สามหรือห้ารอบก็พอไหว” หลังจากที่เยี่ยเทียนพูดออกมาแบบนั้นก็ทำให้สีหน้าของเว่ยรงหรงเปลี่ยนไป
“เธอไม่ประลองต่อแล้วหรือ ทำไมลงมาแล้วละ”
“ลงมาก็ดีแล้ว อย่างไรหลี่เฟิงก็สู้เธอไม่ได้ ”
“ผู้หญิงคนนั้นสุดยอดมาก แค่เตะทีเดียวก็ทำให้หลี่เฟิงล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว ฉันว่าอาเฟยก็สู้เธอไม่ได้”
หลังจากที่บรรยากาศเงียบสงัดในตอนแรก คนในชมรมวูซูเริ่มที่จะส่งเสียงถกเถียงกันขึ้นมา เมื่อมองไปที่สาวเกาหลีที่สวยและเยือกเย็นและมีสายตาที่น่ากลัวคนนั้น
ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะเป็นคิตะทาโร่เองที่จะขึ้นประลองเอง ทำให้คนในชมรมวูซูเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาแล้วว่า การะประลองครั้งนี้จะไม่มีจุดสิ้นสุด เพียงแต่ว่าฝั่งตรงข้ามจะเปลี่ยนคนไปเรื่อย ๆก็เท่านั้นเอง
“ฉัน ฉันจะประลองกับแก”
คิตะทาโร่ยืนอยู่ตรงกลางสนาม ใช้นิ้ว ชี้มาที่สวีเจิ้นหนาน จากนั้นค่อย ๆ งอนิ้วมือของเขา
หลีเฟิงที่เมื่อครู่ที่โดนพัคจุนฮีเตะน็อคคว่ำด้วยเท้าเดียว เมื่อได้ยินคำพูดของคิตะทาโร่ก็รีบดึงสวีเจิ้นหนานเอาไว้ พูดว่า
“พี่ใหญ่สวี อย่าไปสู้กับเขา ให้อาเฟยไปเถอะ”
“ไม่ได้ เขาต้องการสู้กับฉัน ฉันจะไป”
สวีเจิ้นหนานถูกคิตะทาโร่ยั่วโมโห ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าเกิดว่าตัวเองไม่ขึ้นไปประลอง วันหลังก็จะไม่มีหน้าอยู่ในชมรมวูซูอีกแล้ว
“แย่แล้ว พี่ใหญ่จะขึ้นไปประลองจริง ๆหรือ”
เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ข้างสนามส่ายหัวไปมาแล้วลุกขึ้นยืน
ถือว่าผู้ที่โง่เขลาคือผู้ที่ไม่หวาดหวั่นใด ๆ ทั้งสิ้นจริง ๆ แม้ว่าวิชาการต่อสู้ของคนญี่ปุ่นนั้นจะด้อยกว่าสาวเกาหลี แต่ว่าสวีเจิ้นหนาน ไม่จำเป็นต้องไปประลองให้เสียแรงเปล่า
คาราเต้แต่เดิมมีชื่อเรียกจริง ๆว่ายูโด มีการรวมเทคนิคต่าง ๆในวิทยายุทธ์ของจีนไว้ด้วย เช่น การเตะ การตี การทุ่ม การโถมตัวเข้าใส่ การล็อก การบิด การเตะกลับ การจี้จุด บางสำนักยังฝึกการใช้อาวุธอีกด้วย
เหมือนกับวิชาการต่อสู้ของตระกูลคิตะ ให้ความสำคัญมากกับฝีมือในการใช้ดาบและเคนโด สำหรับคาราเต้ เป็นเพียงแค่ความรู้พื้นฐานของลูกหลานเท่านั้นเอง ถ้าหากว่าลูกหลานเหล่านี้มีพรสวรรค์แล้ว ก็จะถูกถ่ายทอดเคล็ดวิชาประจำตระกูลให้
แม้ว่าคิตะทาโร่จะเป็นสายเลือดของตระกูล ตั้งแต่เด็กแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยม นั้นเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงได้เรียนแต่คาราเต้ ไม่ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาประจำตระกูล
เมื่อเทียบกับวิชาวูซูของจีน คาราเต้จะใช้หมัดต่อยและเท้าเตะ ควบคู่กับเทคนิคมวยปล้ำ มีการเคลื่อนไหวที่เรียบง่าย เน้นฝึกฝนในการต่อสู้เพื่อให้ใช้ได้จริง
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะเข้าใจและรู้ว่ามวยวูซูของจีนยังเทียบไม่ได้กับศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นและเกาหลี แต่ว่าที่จริงแล้วมวยวูซูของจีนยังมีอะไรซ่อนอยู่ หากต้องการเรียนรู้และประสบความสำเร็จจริง ๆ จำเป็นต้องตามหาคนเก่งที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองและกราบไหว้ขอเรียนรู้เคล็ดวิชานั้น
อีกทั้งมวยวูซูของจีนมีวิธีการเรียนที่ไม่เหมือนกับเทควันโด้หรือคาราเต้ ในแต่ละระดับต้องใช้ระยะเวลาการฝึกนานมาก จำเป็นต้องมีความมุ่งมั่น ทุ่มเทในการฝึกและไม่ย่อท้อ ใช้เวลาฝึกห้าถึงสิบปีจึงจะสำเร็จ
ดังนั้น เทควันโด้และคาราเต้รวมถึงมวยที่สามารถใช้เท้าได้(ซ่านโฉ่ว) ในปัจจุบันจึงเป็นที่นิยมมากกว่ามวยวูซูของจีน ในสายตาของหลาย ๆคนที่ไม่รู้ศิลปการต่อสู้ จะคิดว่าคาราเต้หรือเทควันโด้จะมีพลังมากกว่าด้วยซ้ำ
ยิ่งกว่านั้นถ้าเป็นคนที่ตั้งใจฝึกฝน ฝึกวิชามาเพื่อฆ่าคน พวกเขาจะมีความุ่งมั่นและความศรัทธาของตัวเองมากกว่าคนอื่น
ตั้งแต่ไหนแต่ไร พวกที่มีฝีมือทั้งหลายจะไม่ประลองฝีมือกับพวกต่างชาติ เหมือนกับเยี่ยเทียน ถ้าให้พวกเขาเข้าร่วมการประลอง ก็เหมือนเป็นการดูถูกพวกเขาอย่างหนึ่ง
แต่ว่าตอนนี้เยี่ยเทียไม่ออกไปก็ไม่ได้แล้ว ก่อนหน้านี้ที่พัคจุนฮีประลองกับหลี่เฟิง ถึงแม้ว่าจะไม่มีการฆ่าฟันกันเกิดขึ้นและไม่มีการประลองต่อ เยี่ยเทียนก็รู้อยู่แล้วว่าหลี่เฟิงต้องแพ้และเขาก็ไม่ได้รับอันตรายอะไร
แต่กับคิตะทาโร่ในตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เขาแสดงความอาฆาตแค้นออกมาโดยไม่ปิดบัง อีกทั้งยังเรียกให้สวีเจิ้นหนานออกไป
เยี่ยเทียนเชื่อว่าถ้าเกิดสวีเจิ้นหนานออกไปแล้ว อาจไม่ถึงกับเสียชีวิตแต่ตอนจบน่าจะบาดเจ็บมากกว่ามิยาโมโตะเคนตะ
“พี่ใหญ่ รอก่อน”
ตอนที่เยี่ยเทียนเดินไปกลางสนาม สวีเจิ้นหนานที่กำลังถอดเสื้อคลุมออก และกำลังเตรียมตัวที่จะเข้าไปในเวทีประลอง เยี่ยเทียนก็ดึงเขาไว้
“อะไร เยี่ยเทียน” สวีเจิ้นหนานกำลังดึงข้อมือ เสียงดัง กรอบแกรบ เขากำลังปลุกกำลังใจให้ตัวเอง
“พี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถ้าขึ้นไปแล้ว เดาว่าสภาพพี่จะดูยิ่งกว่าเจ้าคนนั้นเสียอีก” เยี่ยเทียนใช้ปากบุ้ยไปทางมิยาโมโตะเคนตะ ทำปากไปมาเพื่อส่งสัญญาณ
“เฮ้ย แกอย่ามาขู่ฉันนะ”
เมื่อเปรียบเทียบกับหลี่เฟิง สวีเจิ้นหนานดีกว่า อย่างมากก็แค่ถูกตี เนื้อหนังของเขายังหนาและทนได้ แต่เกรงว่าในชาตินี้เขาคงไม่สามารถแสดงความเป็นชายได้อีกเลยไปตลอดชีวิต
เยี่ยเทียนจ้องไปที่ตาของสวีเจิ้นหนานพูดว่า
“ฉันพูดเรื่องจริง เพียงแค่พี่กล้าขึ้นไป เขาก็กล้าที่จะฆ่าพี่อย่างแน่นอน”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน สีหน้าของสวีเจิ้นหนานก็ซีดขึ้นมาทันที เขาเป็นเพียงแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยเท่านั้น ถึงแม้ว่าเอาชนะมิยาโมโตะเคนตะได้ ก็เพราะทำไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว และภายในใจก็ยังรู้สึกผิดอยู่
ตอนนี้เหตุการณ์เดียวกันกำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง ถ้าจะบอกว่าไม่กลัวนั้นคือโกหกทั้งเพ หน้าผากสวีเจิ้นหนานมีเหงื่อไหลออกมา
“แก ขึ้นมา หรือว่าแกกลัวแล้วหรือ”
เห็นสวีเจิ้นหนานที่กำลังยืนคุยกับอีกคนหนึ่งอยู่ข้างล่าง คิตะทาโร่ที่ยืนอยู่กลางสนามประลองก็มีความรู้สึกทนไมไหวอีกต่อไป
“ระยำ ถ้าจะแพ้ก็ให้มันแพ้ ฉันจะสู้กับมัน” แรงฮึดในใจของสวีเจิ้นหนานถูกคิตะทาโร่ปลุกเร้าออกมา ผลักเยี่ยเทียนออก เตรียมตัวขึ้นเวทีประลอง
แต่ว่าที่สวีเจิ้นหนานผลักออกไปเมื่อกี้นี่ ไม่ได้สะทกสะเทือนต่อเยี่ยเทียนเลย ตัวเองกลับถอยหลังไปสองก้าว
“ให้ฉันขึ้นประลองเอง เฮ้ พี่ใหญ่ ครั้งนี้ถือว่ายอมให้แต่คราวหน้าห้ามผลักฉันอย่างนี้อีก”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ หันหลังขึ้นไปบนเวทีประลองที่มีเบาะรองหนา ๆ ปูอยู่ พูดว่า
“คิตะทาโร่ น้องชายของแกมิยาโมโตะเคนตะก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมาย เลือดคั่งไม่กี่วันเดี๋ยวก็สลายไปไม่มีผลกระทบอะไรกับการใช้ชีวิตในวันหน้า ฉันว่า การประลองครั้งนี้ก็ให้มันจบลงด้วยดีเถอะ”
มิยาโมโตะเคนตะแม้ว่าจะไม่เคยได้ฝึกวิชา “ภูษาเหล็ก” และสวีเจิ้นหนานก็ไม่ใช่ ”เท้าไร้เงา” ของหวงเฟยหง ตอนที่ยังไม่ได้เตะเขา เขาเองก็ไม่ได้เป็นหมัน เพียงแต่ตรงหว่างขามีความรู้สึกเปราะบาง พวกคุณหมอจึงได้พูดเกินความจริงไปบ้าง
เยี่ยเทียนรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือคนของตระกูลคิตะ แต่ว่าเขาอ่อนแอเกินไป อ่อนแอจนทำให้เยี่ยเทียนไม่อยากลงมือ ถ้าเกิดไปทำให้ศิษย์น้องของคิตะฮีโร่บาดเจ็บ มันก็จะเหมือนกับว่าตัวเองแกล้งรุ่นน้องและก็ไม่ได้มีผลดีอะไรกับตัวเองเลย
“อะไร อาการบาดเจ็บของฉันไม่เป็นไรอย่างงั้นหรือ” เมื่อเยี่ยเทียนพูดออกไป และคิตะทาโร่เองก็ยังพูดไม่จบ มิยาโมโตะเคนตะก็ตะโกนเสียงดังแทรกขึ้นมา
“ใช่ สวีเจิ้นหนานก็ไม่ได้ตั้งใจจะเตะแกสักหน่อย ฉันว่า เรื่องนี้ก็ให้มันจบ ๆกันไปเถอะ” เยี่ยเทียนผงกหัว ภายในใจของเขา จริง ๆแล้วไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับนักศึกษาพวกนี้
“นี่ แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าที่แกพูดมา ว่ามันเป็นความจริง” มิยาโมโตะเคนตะถาม ถึงแม้ว่าภายในใจของเขาก็รู้สึกได้ว่าที่เยี่ยเทียนพูดไม่ได้โกหก
เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมา พูดว่า “รอผ่านไปสองวันหลังจากนี้ แกก็ไปตรวจเช็คอีกที แล้วค่อยว่ากัน พวกแกยังต้องเรียนรู้อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยหวาชิงนี้ เชิญคนนอกเข้ามาถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แกที่เป็นแค่นักศึกษาคนเดียวจะแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหว”
“นี่ นี่” เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนครั้งนี้ มิยาโมโตะเคนตะก็รู้สึกลังเลใจ เพราะเขารู้ว่า ถ้าคิตะทาโร่ลงมือแล้ว ก็จะไม่มีทางควบคุมได้
เนื่องจากที่อายุใกล้เคียงกัน ตอนเด็กมิยาโมโตเคนตะกับคิตะทาโร่จะอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ พูดถึงนิสัยของพี่ชาย เขารู้ดียิ่งกว่าใคร
ตอนที่พวกเขาอยู่ชั้นมัธยมต้น เคยถูกพวกนักเลงจากนอกโรงเรียนมาขู่กรรโชก ถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกคนในครอบครัว ก็จะมีคนไปตามเก็บและจัดการกับเด็กพวกนั้น
แต่คิตะทาโร่เมื่อกลับบ้านก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้เลยแม้แต่ประโยคเดียว วันที่สองเมื่อเดินออกไปจากบ้าน เขากลับพกมีดสั้นติดไปในกระเป๋าด้วย หลังเลิกเรียนก็เจอกับพวกนักเลงกลุ่มนั้นอีก คิตะทาโร่ใช้มีดสั้นแทงพวกนั้นได้รับบาดเจ็บถึงสามคน
ตอนนั้นมิยาโมโตะเคนตะที่ยืนอยู่ด้านหลังคิตะทาโร่ถึงกับยืนตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งต้องถูกคิตะทาโร่ดึงออกมา แล้วรีบวิ่งพากันกลับบ้านโดยไม่หันหลังกลับ หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่าสมาชิกในกลุ่มนักเลงสามคนนั้นมีสองคนที่เสียชีวิต
อิทธพลของตระกูลคิตะอยู่ในเมืองนั้นค่อนข้างมาก พยายามจัดการปิดเรื่องนี้ให้มันจบลง หลังจากนั้นมา มิยาโมโตะเคนตะกับพี่ชายที่โหดเหี้ยมคนนี้ ก็ได้รับการยอมรับนับถือและยำเกรง
ก่อนหน้านี่มิยาโมโตะเคนตะโมโหที่ถูกทำร้าย “น้องชาย” ก็เลยเรียกให้พี่ชายมาช่วย แต่หลังจากที่ได้ยินเยี่ยเทียนบอกว่าตัวเองจะไม่เป็นอะไร มิยาโมโตะเคนตะในเวลานั้นก็ส่ายหัวไปมา
ต้องรู้ว่า ที่นึ้คือมหาวิทยาลัยหวาชิงเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของจีน ถ้าเกิดว่าพี่ชายทำร้ายฝั่งตรงข้ามให้ถึงตายที่นี่ นั้นก็เท่ากับว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น การประลองก็จะไม่มีประโยชน์อะไร
มิยาโมโตะเคนตะที่คิดได้แล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจแล้วพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นกับคิตะทาโร่ว่า
“ พี่ทาโร่ เรื่องนี้ ก็ช่างมันเถอะขอให้จบลงด้วยดี”
แต่ทาโร่ที่ยืนอยู่ตรงกลางสนามประลองก็ส่ายหัวไปมา พูดว่า
“ เฮ้ ไม่นะ เคนตะ แกไม่ต้องกลัว แกคงลืมไปแล้วว่าใช่มั้บ ว่าญาติของฉันเป็นใคร ถ้าเขายังอยู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามฉันก็จะไม่มีทางถูกลงโทษ”
ญาติของคิตะทาโร่เป็นทูตทหารที่ทำงานอยู่ในสถานกงสุลญี่ปุ่นในจีน ไม่ว่าเกิดปัญหาอะไร กลังจากนี้เพียงแค่คิตะทาโร่ไปซ่อนตัวในกงสุล เขาเชื่อว่าจะไม่ใครทำอะไรเขาได้
อีกทั้งเมื่อครู่ที่พัคจุนฮีแสดงฝีมือขั้นสูงในศิลปะการต่อสู้ ก็เป็นการกระตุ้นอย่างหนึ่งให้กับคิตะทาโร่ เขาอยากได้ชัยชนะในการประลองครั้งนี้มา เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเขาคือลูกหลาสายตรงของตระกูลคิตะ
เมื่อได้ยินคำพูดของพี่ชาย ตั้งแต่เด็กที่มิยาโมโตะเคนตะก็กลัวคิตะทาโร่มาตลอด จึงไม่กล้าที่จะโต้แย้งอะไรอีก
“อะไร ยังไม่จบอีกหรือ”
ในสนามก็มีคนเข้าใจภาษาญี่ปุ่นอยู่ไม่น้อย ตอนที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ข้าง ๆก็มีคนคอยแปล เยี่ยเทียนขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
………