เยี่ยเทียนได้ยินจึงยืนนิ่ง ตาจ้องมองไปที่ผู้จัดการคนนั้น ถามว่า “เมื่อครู่ไม่ได้พูดเหรอครับว่าลูกค้าที่จองไว้ได้ยกเลิก
ไปแล้ว? นี่มันเรื่องอะไรกันครับ?”
เยี่ยเทียนมีความรู้สึกโดยตรงว่า ลูกค้าที่จองห้องส่วนตัวห้องนี้น่าจะทำเรื่องยกเลิกไปแล้ว เพียงแต่ว่าผู้จัดการที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ที่ทำเป็นเห็นอกเห็นใจ กำลังจะส่งมอบห้องไปให้คนอื่นแล้ว
“ขอโทษทุกคนด้วยค่ะ มันเป็นความผิดพลาดในการทำงานของพวกเราเอง ที่สร้างความไม่สะดวกให้กับพวกคุณ”
ผู้จัดการสาวคนนั้นกำลังพูดอยู่ หยิบคูปองไม่กี่ใบออกจากกระเป๋าเสื้อผ้า พูดว่า“นี่คือคูปองส่วนลดจากทางร้านอาหารของพวกเรา เพียงนำคูปองมาแสดงสามารถรับสิทธิพิเศษลด 20 เปอร์เซ็น ถือว่าเป็นการขอโทษพวกคุณจากทางร้านของเราด้วยค่ะ ”
เยี่ยเทียนเดาไว้ไม่มีผิด ห้องส่วนตัวห้องนั้นถูกคนยกเลิกไปเรียบร้อย แต่เมื่อสักครู่นี้เองมีลูกค้าประจำท่านหนึ่งโทรศัพท์เข้ามาบอกว่าอยากได้ห้องส่วนตัว และกำลังจะมาถึงแล้ว
ใครจะไปคิดว่าร้านอาหารที่คนไม่เยอะตอนแรก วันนี้กลับเต็มจนล้น ดังนั้นผู้จัดการคนนี้จึงได้แก้ปัญหาโดยมาลงที่กลุ่มหนุ่สาวอย่างเยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมา พูดว่า “เรื่องเงินสำหรับฉันไม่มีปัญหาหรอกก แต่วิธีการบริการของร้านอาหารต้นตำรับขุนนางที่แพงขนาดนี้ ต้องเลือกคนที่จะเข้ามาทานด้วยหรือ ”
“เออ ขอประทานโทษจริงๆค่ะ” ผู้จัดการสาวคนนั้นถูกพูดแทงใจจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
“ไปเถอะ มากินข้าวที่แบบนี้ สูญเสียตัวตนไปอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่มีที่มาที่ไป”
เยี่ยเทียนไม่ได้ยื่นมือไปรับคูปองส่วนลดที่ผู้จัดการคนนั้นยื่นมาให้ หันหลังและเดินออกไปทันที อวี๋ชิงหย่าและคนอื่นก็รู้สึกโกรธอยู่ในใจเหมือนกัน และเดินตามหลังเยี่ยเทียนออกไป
“เห้ พวกนาย ไม่ได้มาปักกิ่งสิบกว่าปีแล้วมั้ง?”
“เหล่าม่อ? คุณหมายถึงร้านอาหารในมอสโคว? ชิ นั่นมันเรื่องของปีไหนกันแล้ว ”
“ตอนนี้ร้านอาหารที่ดีที่สุดก็คือร้านอาหารต้นตำรับขุนนางของร้านปักกิ่งเนี่ยแหละ ผมจะบอกพวกนายนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนของในนี้มีแต่ฮ่องเต้เท่านั้นถึงจะได้กิน”
เยี่ยเทียนและคนอื่นๆตอนที่จะเดินออกไปข้างนอก มีเสียงคุยและเสียงหัวเราะของผู้ชายหลายคนดังเข้ามาประจันหน้า และเสียงดังมากๆ เสียงของกู่เจิงที่เหมือนดั่งสายน้ำที่ไหลจากภูเขาสูงยังถูกกลบไปเลย
“ที่นี่คือชั้นเจ็ด จะพูดให้ฟัง ชั้นแปดนั่นคือ……มาเพื่อกิน พวกเรายังไม่เคยขึ้นไปเลย”
“ห้องส่วนตัวจองยาก? จองยากแน่นอนแหละ แต่พวกเราคือใคร? ปักกิ่งถิ่นชาววังนี้มีร้านไหนไม่ให้เกียรติหน้าฉันบ้าง?”
เสียงพูดคุยพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งเดินประจันหน้ากับกลุ่มเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดสบตากับหัวหน้าของฝั่งนั้น ทั้งสองคนจึงหยุดก้าวขา
“คุณเอง? เหอะเหอะ ภูเขาไม่หมุนน้ำหมุน พวกเราเจอกันจนได้สินะ?” ฝั่งตรงข้ามมองเห็นหน้าเยี่ยเทียนอย่างชัดเจน ใบหน้าแสดงรอยยิ้มออกมาในทันใด เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนั้นแอบแฝงไปด้วยความร้ายกาจ
“จะเอายังไง จะเล่นปืนเหรอ? ระวังพลาดโดนตัวเองนะ?”
พอเห็นคนๆนี้ ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ถ้าหากไม่ฟังบทสนทนาของพวกเขาแล้วดูแค่สีหน้าละก็ อาจจะคิดว่าความสัมพันธ์นี้คล้ายกับคนรู้จักกัน
ที่จริงแล้วคนที่มาคนนี้ไม่สามารถนับได้ว่าเป็นคนรู้จักของเยี่ยเทียนหรอก ดังนั้นความสัมพันธ์ที่ไม่เลวก็ไม่น่าจะใช่ รถแลนด์โรเวอร์ที่จอดอยู่ในลานจอดรถ ก็เป็นเพราะบุญของคนนี้ถึงซื้อมาได้นั่นเอง
“ไอ้หนุ่ม พูดอะไรอย่างั้น?”
ได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงเรื่องปืน หวงซือจื้อนึกถึงวันที่ได้รับความอัปยศที่ร้าน 4S ในทันใด เขาก็มีนิสัยของคนเกิดปีหมา พอแตกหักกันไปข้างนึงก็แตกหักทันทีจริงๆ
เยี่ยเทียนขี้เกียจพูดกับคนไร้สาระพวกนี้ จึงได้ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พูดว่า “หมาที่ดีจะไม่บังทาง หลบๆ”
“ไอ้นี่ ด่าใครหะ?” คำพูดของเยี่ยเทียนพูดออกไปปุ๊ป คนหลายคนที่อยู่ข้างๆ หวงซือจื้อก็ตอบโต้ออกมา
“ใครโต้ตอบกลับมาก็ด่าคนนั้น!”
ตอนแรกเยี่ยเทียนต้องการจัดการหวงซือจื้อคนเดียวเท่านั้น แต่พวกนั้นจะหาเรื่องให้ได้ เยี่ยเทียนจึงเลยตามเลยรับไว้ ตอนแรกเขากำลังโมโหเรื่องห้องส่วนตัวอยู่พอดี อยากจะหาคนมาระบายซะหน่อย
“เห้ พี่หวง ปักกิ่งถิ่นชาววังยังมีคนกล้าต่อปากกับพี่อีกเหรอ?”
ห้าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังหวงซือจื้อ อายุแต่ละคนราวๆสามสิบ ทุกคนมีร่างกายตั้งตรง สายตาแหลมคม มีอยู่สองคนยิ่งกว่า หักคอไปมาอย่างช้าๆ สายตากำลังเปล่งแสงความตื่นเต้นออกมา
“เป็นทหาร?”
มองแว๊บเดียวเยี่ยเทียนก็รู้สถานะของคนพวกนี้แล้ว แต่ถ้าเป็นทหารจะทำตัวกร่างได้ขนาดนี้เชียวหรือ แม้แต่หวงซือ
จื้อเองก็ประมาณนั้นเช่นกัน น่าจะเป็นพวกที่เติบโตมาในค่ายทหารใหญ่แหละมั้ง?
มองเห็นเยี่ยเทียนทำตาเหล่ อวี๋ชิงหย่ารีบดึงเขาเอาไว้ พูดว่า “เยี่ยเทียน ช่างมันเถอะ พวกเราไปหาที่กินข้าวกันดีกว่าไม่ต้องไปอะไรกับพวกเขาหรอก”
อวี๋ชิงหย่าที่เติบโตมาพร้อมกับเยี่ยเทียน รู้นิสัยของเยี่ยเทียนเป็นอย่างดี เขาแค่เหล่ตาครู่เดียว นั่นหมายความว่าเขาลังจะเอาจริงแล้ว
เพียงแต่ว่าตอนเด็กๆเยี่ยเทียนจะฉลาดแกมโกง ตอนที่เขาอยู่ที่โรงเรียนแล้วมีเรื่องกับเพื่อนร่วมห้อง เขาจะไม่ทำอะไรทันที แต่จะดักรอที่ทางกลับบ้านของฝั่งตรงข้าม และจัดการตีพวกเขาจนหน้าบวมจมูกเขียว
เนื่องจากเรื่องราวไม่ได้เกิดขึ้นภายในโรงเรียน นักเรียนเหล่านั้นจึงไม่สามารถรายงานกับคุณครู ทำได้เพียงกลับไปฟ้องกับพ่อแม่ที่บ้านแทน
แต่เยี่ยตงผิงก็เป็นคนที่มีนิสัยถือหางเด็ก อยู่ต่อหน้าจะขอโทษ แต่ลับหลังกลับชื่นชมว่าเยี่ยเทียนทำได้ดีมาก ดังนั้นไปๆมาๆ แม้แต่เด็กนักเรียนระดับชั้นที่สูงกว่าก็ไม่กล้าหาเรื่องเยี่ยเทียนอีกเลย
แต่ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น ตอนนี้อวี๋ชิงหย่าก็มองตัวตนของเยี่ยเทียนไม่ออกแล้ว เพียงแต่รู้สึกว่าครั้งนี้ถ้าเขาโมโหขึ้นมา ในใจของเธอจะรู้สึกขนลุกขึ้น จึงได้รีบคว้าเขาเอาไว้
“อ้าว คนนี้ใช่คุณผู้หญิงวันนั้นหรือเปล่า?”
อวี๋ชิงหย่าแค่เอ่ยปากพูด หวงซือจื้อมองเห็นเธอทันที หยอกล้อเธอว่า “คุณผู้หญิงท่านนี้ ไม่มีห้องส่วนตัวให้นั่งทานข้าวใช่ไหม? ผมว่านะ อย่าอยู่กับคนนี้เลย ผมจองห้องส่วนตัวไว้แล้ว เราไปกินด้วยกันดีกว่าดีไหม?”
หวงซือจื้อเป็นคนที่นิสัย เวลาเจอผู้หญิงจะไม่สามารถเดินต่อไปได้แบบนั้น มิฉะนั้นครั้งก่อนก็คงไม่ถึงกับต้องมีเรื่องกับเยี่ยเทียนหรอก เวลานี้เห็นผู้หญิงสวยๆ ที่หาได้ยากตามหลังเยี่ยเทียนอยู่หลายคน นิสัยเดิมๆก็เผยออกมาทันทีทันใด
“ไปไกลๆ วันนี้อารมณ์ไม่ดี ถ้าพูดอีกจัดการแกแน่!” เห็นหวงซือจื้อพูดจาหยอกล้ออวี๋ชิงหย่า สีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนทันที
“พี่หวง คนนี้เป็นใคร พูดจากร่างดีนัก?” เห็นเยี่ยเทียนเปิดปากพูดเอะอะจะตี คนที่อยู่ข้างหลังหวงซือจื้อก็เริ่มสงสัยขึ้นมา
เยี่ยเทียนเดาไว้ไม่มีผิด คนพวกนี้เติบโตมาจากค่ายทหารใหญ่พร้อมกับหวงซือจื้อทั้งนั้น และที่สำคัญรุ่นคุณปู่ของพวกเขาล้วนเป็นลูกน้องของคุณปู่ของหวงซือจื้อ
เพียงแต่ว่าคนพวกนี้ได้เป็นทหารในภายหลัง ออกจากเมืองหลวงตามพ่อแม่ รุ่นพ่อของพวกเขาตอนนี้อย่างน้อยก็น่าจะเป็นพลตรีแล้ว และมีอำนาจอย่างแท้จริงในพื้นที่ทางทหารที่ประจำการอยู่
คนพวกนี้กลับมาปักกิ่งในครั้งนี้กลับมาเยี่ยมคนแก่ และบังเอิญเจอกับหวงซือจื้อ ถึงแม้รุ่นพ่อของพวกเขาจะมีชีวิตดีกว่าพ่อของหวงซือจื้อก็ตาม แต่อย่างไรแล้วก็ยังมีความสัมพันธ์รุ่นคุณปู่อยู่ ดังนั้นจึงยังมีความเคารพต่อหวงซือจื้ออยู่เรื่อยมา
แน่นอน คนพวกนี้ไม่ใช่คนโง่ ที่นี่คือปักกิ่งถิ่นชาววัง ถ้าอิฐก้อนเดียวหลุดละก็สามารถทุบเจ้าหน้าที่ราชการระดับล่างได้ถึง 7-8 ที่เลยทีเดียว เหมือนกับที่ยังมีคนอื่นอีกมากมายที่พวกเขาไม่สามารถมีเรื่องด้วย พอเห็นเยี่ยเทียนกร่างขนาดนี้ คนพวกนั้นก็กระซิบกันในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“คนนี้ชื่อเยี่ยเทียน พวกนาย ฉันไม่โทษพวกคุณหรอก เขากับหงจวินมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน!””
หวงซือจื้อรู้ดีว่าคนพวกนี้ถึงแม้จะใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหาร แต่เนื่องจากประวัติครอบครัวทำให้ไม่มีใครเป็นไฟที่ไม่ประหยัดน้ำมันเลย ถ้าหากวันนี้ตนเองไม่พูดออกมาให้ชัดเจน ในภายภาคหน้าจะขุ่นเคืองกับคนพวกนี้แน่นอน
นี่ก็เป็นกฎของวงการลูกผู้ลากมากดีของเมืองหลวง ถ้าหากคิดคดกับคนกันเอง ในภายภาคหน้าก็อย่างหวังว่าจะมีคนใกล้ตัวคอยช่วยเหลืออีก ถึงแม้หวงซือจื้ออยากสั่งสอนเยี่ยเทียนโดยยืมกำลังของพวกนี้ แต่เขาก็อยากพูดออกมาให้เคลียร์ก่อน
“หงจวิน? คือหงจวินหรือนี่? เห้ พี่หวงฉันว่า คนกันเองไม่ใช่เหรอ?”
ได้ยินคำพูดของหวงซือจื้อแล้ว สีหน้าของคนพวกนั้นก็เปลี่ยนไปทั้งหมด เพราะว่าทุกวันนี้พ่อของหงจวินเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวเลือดใหม่ที่กำลังเป็นที่สนใจในค่ายทหาร ตำแหน่งหน้าที่สูงกว่าพ่อแม่ของพวกเขาเยอะมาก และแน่นอนการเปลี่ยน
คณะกรรมธิการทหารในครั้งนี้พ่อหงจวินได้เข้าไปอย่างแน่นอน
เมื่อเทียบกับตระกูลหวงที่กำลังจะถดถอยดั่งพระอาทิตย์ตกดิน คนพวกนี้รู้ดีว่าจะต้องทำยังไง ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นจะไปสร้างความสัมพันธ์กันแบบเพื่อนกับเยี่ยเทียน แต่ก็มีคนช่วยพูดให้สถานการณ์เบาลง
“หงจวินมีอำนาจสูง พวกเราเทียบไม่ได้หรอก”
ได้ยินคนข้างกายเอ่ยถึงหงจวิน ทันใดนั้นหวงซือจื้อนึกถึงเรื่องที่ไอ้หนุ่มนี่เป็นสาเหตุ ทำให้เขากับหงจวินตัดขาดกัน จึงโมโหขึ้นมาทีเดียว ชี้ไปที่เยี่ยเทียนพูดว่า “เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ก็แค่มีเงินหน่อยแค่นั้น พวกนาย ฉันพูดไว้ตรงนี้เลยนะ มีฉันต้องไม่มีเขา มีเขาต้องไม่มีฉัน พวกนายจะช่วยใคร?”
“ปากมากจริงๆนะนาย!”
กลุ่มเยี่ยเทียนถูกบล็อกไว้ตรงทางเดินห้องส่วนตัวกับทางออกห้องโถงพอดี ทะเลาะเสียงดังจนคนมากมายที่กำลังกินข้าวอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ก็หันมาสนใจพวกเขาแทน เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงสายตาจากทั้งสี่ทิศที่กำลังมองมา ในใจก็อดทนต่อไปไม่
ไหวแล้วเหมือนกัน
“ไอ้เวรนี่ แกกล้าด่าฉันเเหรอ?”
หวงซือจื้อทำตัวกร่างจนเป็นนิสัยแล้วในแถวปักกิ่งถิ่นชาววัง พอได้ยินเยี่ยเทียนด่าออกมา ใบหน้าของเขาก็ไม่สามารถทนต่อไปได้อีก จึงก้าวไปตบหน้าของเยี่ยเทียนหนึ่งที
แต่หลังจากที่ตบออกไปแล้ว ทันใดนั้นหวงซือจื้อก็นึกถึงความสามารถของเยี่ยเทียน ในใจก็ร้องคำว่าแย่แล้ว แต่กลับ
ได้ยินเสียง “เพียะ” ที่แหลมคมแทน หวงซือจื้อรู้สีกแค่ว่าหัวหมุน ทั้งตัวหมุนอยู่ที่พื้นจุดเดิมไปสองรอบ จากนั้น “ฟุบ” นั่งลงกับ
พื้นไปทั้งก้น
เสียงดั่งสนั่นหูของเยี่ยเทียนนี้ ชัดเจนมากที่สุดจนคนที่กินข้าวอยู่ตามมุมต่างๆของร้านอาหารที่ใหญ่มากยังได้ยิน คนที่อยู่ข้างหลังหวงซือจื้อทั้งหมดก็อึ้งตามกัน
ตบบ้องหูใครๆก็ทำเป็น แต่การตบจนหมุนอยู่กับที่อย่างเยี่ยเทียนแบบนี้ ยังไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ไม่เพียงแต่ความแรงของมือต้องมีเยอะมาก และยังต้องมีฝีมืออีกด้วย มิฉะนั้นก็อาจจะตบจนคนลอยออกไปเลยก็ได้
“พู่…….”
ถูกเยี่ยเทียนตบจนหัวหมุนเปลี่ยนทิศ หวงซือจื้อถึงขั้นกระอักเลือดออกมา เลือดที่พุ่งออกมามีฟันหลุดออกมาด้วยสองซี่ ยิ่งกว่านั้นคือกรามที่บวมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ฉันว่านะ คนในวงการเดียวกัน ทำไมนายต้องลงมือรุนแรงขนาดนี้เชียวหรือ?”
วิธีการจัดการของเยี่ยเทียน ทำให้พวกที่ติดตามหวงซือจื้อไม่กล้าหาเรื่องอีกเลย เมื่อกี้หวงซือจื้อเองก็พูดจนชัดเจนแล้ว ถ้าพวกเขายังทำเหมือนไม่เข้าใจอีก ก็คงไม่มีหน้าอยู่ในวงการนี้อีกต่อไป
“จะเอายังไง จะช่วยเขา?” ครั้งนี้เยี่ยเทียนโมโหจริงๆ ใช้ตาเหล่มองดูตัวของพวกนั้น
“บ้าเอ้ย ไอ้นี่มันทำอะไร?” ถูกเยี่ยเทียนจ้องมองเท่านั้น พวกนั้นรู้สึกหนังหัวชาเป็นพักๆในทันทีทันใด อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไป
…………