ตอนที่เยี่ยเทียนพบหัวหน้าเซวียครั้งแรกก็รู้สึกมืดมน ชายคนนี้อายุไม่มาก แต่อิทธิพลในวงราชการนั้นมากล้น แม้แต่ตอนเจรจากับผู้การตำรวจยังไม่มีความยำเกรงเลย คงจะเป็นเพราะเขาได้ติดตามนายใหญ่ที่มีตำแหน่งสูง
เมื่อทราบว่าหัวหน้าเลขาเจียวเป็นคนที่ถังเหวินหยวนติดต่อให้มาช่วยเหลือ เยี่ยเทียนก็เข้าใจในทันทีว่าผู้ที่ส่งหัวหน้าเซวียมาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณตาของเขาซ่งเฮ่าเทียน
ส่วนที่ว่าซ่งเฮ่าเทียนรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรนั้น เยี่ยเทียนคาดว่าน่าจะเป็นเพราะมารดาของเขาโผล่ออกไป เพราะยังไม่เห็นพวกมาลาไกย์มาปรากฏตัวที่สถานีตำรวจเลย คงจะเป็นเพราะได้รับคำสั่งมา
เป็นอย่างนั้นจริง หัวหน้าเซวียพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเยี่ยเทียนเดาถูก เขายังไม่เคยพบกับตาแท้ๆเลยสักครั้ง พอพูดถึงคุณตาในใจของเยี่ยเทียนมีแต่ความโกรธแค้น แน่นอนว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้
โดยเฉพาะกับคนตระกูลซ่ง เยี่ยเทียนไม่ได้รู้สึกเป็นมิตรด้วยเลย หากว่าไม่เห็นแก่หน้าคุณตาแล้ว กับคนตระกูลซ่งที่มาตามฆ่าเขานั้น เขาคงจะไปแก้ฮวงซุ้ยของตระกูลซ่งเพื่อให้สมาชิกในตระกูลต้องพินาศไปแล้ว
“เจ้าหนุ่ม นายรู้ใช่ไหมว่าท่านประธานาธิบดีซ่งเป็นใคร? ทำไมถึงพูดจาอย่างนี้ นายรู้ถึงผลที่จะตามมาไหม?”
ฟังคำพูดที่เยี่ยเทียนจบ หัวหน้าเซวียตีสีหน้าเย็นชา ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะเป็นอะไรกับซ่งเฮ่าเทียนก็ตาม เขาเป็นคนติดตามของท่านผู้นำ มีหน้าที่จะต้องปกป้องชื่อเสียงและเกียรติของเจ้านาย
“หัวหน้าเซวีย การมาของคุณในวันนี้ เยี่ยเทียนรู้สึกขอบคุณมาก แต่คำขอบคุณนี้สำหรับคุณคนเดียว”
ดวงหน้าเยี่ยเทียนแสดงออกถึงความจริงใจ พูดต่อว่า “ผมกับเจ้านายของคุณ มีบางเรื่องที่คุณไม่จำเป็นต้องรู้ ยังไงก็ฝากคำไปถึงเขาด้วย ขอบคุณมาก ผมขอตัวก่อนครับ!”
ฟังเยี่ยเทียนพูดจบหัวหน้าเซวียได้แต่อึ้ง “นั่นน่ะสิ น่าจะเป็นเรื่องครอบครัวของท่านผู้นำ แค่นำคำไปบอกท่านก็พอแล้ว ไม่ควรจะไปแสดงความคิดเห็นอะไรมากมาย”
ชั่วขณะที่งงงันอยู่นั้น เยี่ยเทียนได้เดินออกจากห้องประชุมไปแล้ว ทิ้งหัวหน้าเซวียให้นั่งอยู่ที่เก้าอี้คิดไตร่ตรองว่าจะนำความไปถ่ายทอดให้ท่านผู้นำฟังอย่างไร
“เสี่ยวเยีย คุยจบแล้วหรือ?” ผู้การโต้วกับผู้การเฮ่ออยู่ไม่ไกลจากห้องประชุมมากยืนคุยกันอยู่ เห็นเยี่ยเทียนเดินออกมาจึงยิ้มให้
สายตาของพวกเขาต้องมองออกแน่ว่าเยี่ยเทียนเป็นลูกหลานของประธานาธิบดีซ่ง อาจจะเพราะว่ามีเรื่องบาดหมางกันจึงทำให้เยี่ยเทียนพูดจาลบหลู่ท่าน
แต่ประธานาธิดีซ่งก็ได้สั่งให้หัวหน้าผู้ดูแลที่ปกติจะช่วยดูแลงานต่างของท่านให้มาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เป็นการแสดงถึงการปกป้องคุ้มครองเยี่ยเทียน และทำให้ท่าทีของผู้การทั้งสองที่มีต่อเยี่ยเทียนนั้นอบอุ่นเป็นกันเองมากขึ้น
การที่ได้มาเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซ่งเฮ่าเทียนแบบนี้ ทำให้เยี่ยเทียนอารมณ์เสียที่สุด เห็นผู้การทั้งสองส่งยิ้มมาจึงได้แต่ฝืนยิ้มตอบกลับไปพูดว่า “ขอบคุณท่านผู้การทั้งสองมากที่ช่วยเหลือผม ผู้การโต้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผมจะไปได้หรือยัง?”
“ได้แน่นอน ฉันเรียกรถให้ไปส่งเธอดีกว่า”
ผู้การโต้วลังเลชั่วขณะ แล้วกล่าวต่อว่า “เสี่ยวเยี่ย ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไร อย่าผลีผลามวู่วาม แค่มาบอกลุงโต้วกับลุงเฮ่อก็พอแล้ว อ่ะ นี่เป็นเบอร์ส่วนตัวของฉัน แต่ว่าตอนดึกอย่าโทรมารบกวนล่ะ”
เรื่องของเยี่ยเทียนวันนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่โตคับฟ้าเลยทีเดียว
อีกทั้งในทีมตำรวจแห่งนครปักกิ่ง ยังมีปัญหาอีกหลายอย่าง ผู้การโต้วไม่อยากให้เยี่ยเทียนไปก่อเรื่องจนใหญ่โตอีก ดังนั้นจึงแสดงน้ำใจโดยการมอบเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของเขาไป
ผู้การเฮ่อคิดเช่นเดียวกันกับผู้การโต้ว รีบควักนามบัตรของตัวเองออกมา หยิบปากกาเขียนเบอร์โทรส่วนตัวลงไปแล้วส่งให้เยี่ยเทียน
ดูท่าทางเข้าหาแสดงน้ำใจของผู้การโต้วแล้วเยี่ยเทียนก็รับไว้ แสดงสีหน้าเกรงใจออกมาแล้วพูดว่า “ขอบคุณครับลุงโต้ว ขอบคุณครับลุงเฮ่อ ครั้งนี้เป็นเพราะผมก้าวร้าวเอง”
“อืม เด็กคนนี้ยังถือว่าซื่อสัตย์อยู่ ต้องเป็นเพราะหวงซือจื้อบีบบังคับเธอใช่ไหม”
ผู้การโต้วพอใจกับท่าทีของเยี่ยเทียน แต่เมื่อนึกถึงหวงซือจื้อก็ทำให้ปวดหัวขึ้นมา “เสี่ยวเยี่ย ถึงแม้หวงซือจื้อจะนิสัยไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายเธอเข้าจริง ถือว่าเรื่องนี้เป็นบทเรียนให้เขา อย่าไปถือสาหาความเขาเลยนะ?”
เมื่อก่อนผู้เฒ่าหวงได้เคยให้ความช่วยเหลือผู้การโต้ว จนวันนี้ยังมีคนที่รับรู้เรื่องราวและจดจำได้ เมื่อครู่ผู้การโต้วได้รับโทรศัพท์ถึงเจ็ดแปดสาย ทั้งหมดโทรมาเพื่อขอให้ช่วยหวงซือจื้อ
แม้ว่าเส้นสายอำนาจของพวกเขารวมกันจะยังไม่เท่าประธานาธิบดีซ่งคนเดียว แต่ก็เป็นคนระดับหัวหน้าทั้งนั้น ถ้าเกิดไปผิดใจด้วย ต่อไปหากเกิดปัญหาอะไรขึ้น ผู้การโต้วคงจะลำบากแน่
“ผู้การโต้ว ผมกับหวงซือจื้อก็ไม่ได้ขัดแย้งกันมากมาย แค่เขาเป็นคนจิดใจคับแคบ จะมาหาเรื่องผมหลายครั้งแล้ว ในเมื่อคุณเป็นคนออกปาก ก็เอาตามที่คุณว่าแล้วกัน!”
เยี่ยเทียนยิ้มออกมา แล้วพูดต่อว่า “แต่ผู้การเสิ่นคนนั้นไม่แยกแยะผิดถูก ผมหวังว่าผู้การโต้วน่าจะจัดการอย่างเข้มงวด”
สำหรับหวงซือจื้อเยี่ยเทียนใช้วิธีอื่นจัดการไปนานแล้ว เขาพอรู้มาว่าฝ่ายนั้นมีรากฐานเส้นสายที่แข็งแกร่งในปักกิ่ง คงทำอะไรมากไม่ได้ สู้ยอมตามผู้การโต้วไปปดีกว่า”
แต่คนอย่างผู้การเสิ่นที่ใช้อำนาจบาดใหญ่ เยี่ยเทียนจะไม่ยอมปล่อยไว้ จุดจบของผู้การเสิ่นนั้นยิ่งน่าเสมเพชเท่าไหร่ เส้นสายผู้ให้ความช่วยเหลือหวงซือจื้อก็ยิ่งน้อยลง ใครจะไปยอมช่วยคนที่ตัวเองไม่มีทางปกป้องได้เล่า?
“ได้ เสี่ยวเยี่ย นายได้ช่วยลุงโต้วไว้อย่างใหญ่หลวงเลย”
ผู้การโต้วเผยยิ้ม “กองตำรวจในเมืองปักกิ่งควรจะต้องจัดระเบียบกันใหม่ได้แล้ว มีคนที่ชอบใช้อำนาจในเรื่องส่วนตัวต้องจัดการคนพวกนี้ให้หมดไป!”
ความกดดันของผู้การโต้วมาจากหวงซือจื้อคนเดียว ในสายตาของผู้การโต้วเสิ่นหมิงซินไม่มีความหมาย ตอนแรกที่ยอมรับเข้ามาทำงานก็มีความคิดว่าจะต้องถอดคนๆออกเข้าสักวันหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ วันนี้ต้องขอบคุณลุงโต้วกับลุงเฮ่อจริงๆ”
…
เยี่ยเทียนเข้าใจความหมายของผู้การโต้วแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ต่อ หันไปพูดกับหูจวินว่า “พี่หู พี่ขับรถมาใช่ไหม? ไปส่งผมหน่อยเถอะ ใช่แล้ว ผมยังมีเพื่อนนักเรียนอีกคนหนึ่งอยู่ที่นี่ เดี๋ยวหาเขาเจอแล้วเรากลับพร้อมกัน!”
เยี่ยเทียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลูกพี่ของเขาไม่รู้ไปให้ปากคำอยู่ที่ไหน รีบถามเจ้าหน้าที่คนอื่นจนหาตัวสวีเจิ้นหนานพบ แล้วทั้งสามก็ออกจากสถานีตำรวจไป
“หวงซือจื้อ?” เยี่ยเทียนกำลังเดินออกจากประตูสถานีก็เห็นหวงซือจื้อยืนดักรออยู่ เขาคงออกมาเร็วกว่าตนเล็กน้อย
“คนแซ่เยี่ย อย่าคิดว่ามีหูจวินคอยคุ้มกะลาหัวแล้วนายจะรอดนะ เรื่องของเรายังไม่จบ!”
หวงซือจื้อออกมาจากสถานีตำรวจได้อย่างปลอดภัยแล้วก็ออกอาการกำเริบเสิบสานทันที เขายังคิดว่าเป็นหูจวินที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเยี่ยเทียน ไม่รู้เลยว่าหัวหน้าเซวียนั้นมีตำแหน่งอะไร
“ฉันเนี่ยนะคุ้มหัวเขา? ต่อไปเขาต้องคุ้มหัวฉันสิถึงจะถูก!”
หูจวินได้ฟังคำของหวงซือจื้อแล้วยิ้มหน้าเจื่อน ตอนแรกเคยคิดว่าเยี่ยเทียนเป็นแค่คนธรรมดา แต่หลังจากวันนี้ไป หูจวินคงไม่กล้าแสดงความโดดเด่นอะไรเกินหน้าเยี่ยเทียนแล้ว
เยี่ยเทียนยิ้มออกมา ตอบว่า “ฉันว่านายก็อายุขนาดนี้ไม่เด็กแล้ว กลับไปใช้ชีวิตทำตัวดีๆดีกว่าไหม? ระวังอย่าไปทำเรื่องชั่วมาก เดี๋ยวกลางคืนนอนจะฝันร้ายเอา!”
รอยยิ้มของเยี่ยเทียนทำให้หวงซือจื้อขนลุก จนต้องถอยหลังไปหลายก้าว แล้วไม่กล้าตอบโต้ต่อ รีบเดินไปขึ้นรถที่จอดรอรับเขาอยู่จากไป
ไม่รู้ว่าเพราะคำสาปแช่งของเยี่ยเทียนนั้นน่ากลัวหรืออย่างไร เมื่อกลับถึงบ้านแล้วคืนนั้นหวงซือจื้อก็นอนหลับฝันร้าย หญิงสาวที่เคยถูกเขาทำร้ายจนต้องฆ่าตัวตายกลับมาหลอกหลอนในความฝัน
คนปกติเวลาฝันเมื่ตอตื่นขึ้นมาจะลืมความฝันไปหมด แต่หวงซือจื้อไม่ใช่ เขามักจะตกใจตื่นและจดจำรายละเอียดในความความฝันด้วยครบถ้วน นอนผวาจนต้องเปิดไฟทุกดวงในห้องนอนแล้วก็ไม่กล้าหลับอีก
แต่ผีสาวนางนั้นก็ยังคงตามหลอกหลอนหวงซือจื้อแม้ในตอนกลางวันที่เขาอยากจะงีบสักหน่อย
หลังจากนั้นทั้งสัปดาห์หวงซือจื้อนอนหลับไปทั้งหมดไม่ถึงห้าชั่วโมง จากคนที่เคยหนัก80กิโลกรัม อยู่ๆก็ผอมลงอย่างรวดเร็วจนเหลือน้ำหนักเพียง55กิโลกรัมเท่านั้น และถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลในวันถัดมา
เมื่อเวลาผ่านไปฝันร้ายที่ควรจะลดลง แต่มันกลับยังตามหลอกหลอนเขาทุกครั้งที่หลับตา หวงซือจื้อหวาดกลัวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ จากคุณชายสูงศักดิ์ในย่านถิ่นชาววัง ชื่อเสียงก็ค่อยขาดหายไปเรื่อยๆ
ส่วนเสิ่นหมิงซิน ในวันที่ถูกสอบสวนวันที่สาม มีการประกาศว่าเขาทำผิดกกฎหมาย เพราะทางตำรวจสืบสาวได้ถึงทรัพย์สินอันได้มาโดยมิชอบของครอบครัวเขา รวมเป็นมูลค่าห้าล้านกว่าหยวน และหกแสนกว่าดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ตามคำให้การของผู้อื่นยังได้เปิดเผยถึงเรื่องฉาวโฉ่ที่ผู้การเสิ่นเคยทำไว้ให้ปรากฏออกมา เขามีอสังหาริมทรัพย์อยู่ในปักกิ่งถึงสี่แห่ง และทุกแห่งต่างเลี้ยงผู้หญิงเอาไว้
หลังจากถูกเปิดโปง วงการสำนักงานตำรวจแห่งนครปักกิ่งถูกสั่นคลอน หัวหน้าใหญ่ในแต่ละภาคส่วนออกคำสั่งว่า : ต้องรีบจัดการให้รัดกุมถูกต้องและรวดเร็ว หลังจากเกิดเรื่องไปแล้วสองสัปดาห์ คดีความได้ถูกส่งเข้ากระบวนการศาล
ผ่านไปสองเดือนด้วยกระบวนการตัดสินของศาล เสิ่นหมิงซินมีทรัพย์สินมากผิดปกติและแหล่งที่มาไม่ชัดเจน ละโมบรับสินบนอันมิชอบต่างๆอีกหลายกระทง จึงถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลายี่สิบปี และตัดสิทธิ์ทางราชการอีกสิบปี
แน่นอนว่าพอจบเรื่อง เยี่ยเทียนรู้ผลการตัดสินแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ ข้าราชการที่ใช้อำนาจรังแกประชาชนทั้งรับสินบนใต้โต๊ะแบบนี้ ก็สมควรได้รับโทษ
พอส่งสวีเจิ้นหนานกลับมหาวิทยาลัยแล้ว เยี่ยเทียนกลับที่ไปบ้าน ยังมีเรื่องวุ่นวายอีกเรื่องรอเขาอยู่ นั่นคือคนเกาหลีพัคจุนฮีที่ตามมารังควานเขาถึงบ้าน
“คุณเยี่ย ได้โปรดชี้แนะผมด้วย!” พัคจุนฮีอุ้มดาบนักรบอยู่ในอ้อมอก เมื่อเห็นเยี่ยเทียนก็รีบโค้งคำนับ
“ฉันไม่ได้รับปากแล้วเหรอว่าจะประลองกับนาย นายเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว?”
เยี่ยเทียนหรี่ตา คนในสำนักวิชาอย่างเขา สิ่งที่เกลียดที่สุดคือการเอาเรื่องเดือดร้อนมาถึงบ้าน และการกระทำของพัคจุนฮี ก็คือการละเมิดข้อห้ามนี้
………