ยุทธภพย่อมมีกฎ ไม่เหมือนในนิยายกำลังภายในที่อยู่ๆอยากจะทำลายก็ฆ่าทิ้งเสียให้หมด ตั้งแต่โบราณมาในยุทธภพมีธรรมเนียมปฏิบัติว่าห้ามนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่ครอบครัว
ถ้าถูกฆ่าล้างตระกูลคือจะไม่มีลูกหลานสืบทอด ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็จะถูกต่อต้านคัดค้านทั้งนั้น
แม้ว่าจะมาเพื่อเยี่ยมเยียนฝึกประชันวิชากัน โดยทั่วไปควรจะมีบัตรเชิญนัดหมายวันเวลาและสถานที่ แม้แต่เป็นเพื่อนสนิทยังไม่ค่อยมาหากันถึงบ้านก็เพราะกลัวจะผิดกฎของชาวยุทธ
ด้านคนญี่ปุ่นและเกาหลี เยี่ยเทียนไม่อาจทราบได้ ประเทศหนึ่งนิสัยชอบรุกรานทั้งยังไม่ยอมรับประวัติศาสตร์ที่แท้จริง ส่วนอีกประเทศมักหยิ่งยโสโอหัง อีกหน่อยคงกล้าบอกว่าขงจื่อเป็นคนเกาหลีด้วยกระมัง
ส่วนการกระทำของพัคจุนฮีทำให้ในใจของเยี่ยเทียนเกิดความรู้สึกว่าอยากฆ่า วันนี้พัคจุนฮีมาหาถึงบ้าน ต่อไปพวกศิษย์ในสำนักของเธอคงมาได้เหมือนกัน
“คุณเยี่ย พัคจุนฮีเพียงอยากจะขอคำชี้แนะวิชาดาบเท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น!”
เยี่ยเทียนเหลือบตามอง ผู้ถูกมองรู้สึกเย็นเยียบเข้าหัวใจ ขนลุกทั้งหัว หนาวเข้าไปในกระดูก แม้แต่เลือดที่ไหลเวียนอยู่ราวกับหยุดนิ่งค้างไปเฉยๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนเด็กที่ฝึกวิชาดาบแล้วต้องฝึกพลังใจของนักสู้ที่เข้มแข็ง พัคจุนฮีคงจะกลัวหัวหดจนไม่กล้าพูดกับเยี่ยเทียนอีก
เยี่ยเทียนไม่ได้เอ่ยปาก เพียงแค่ใช้สายตามองพัคจุนฮีเท่านั้น ลมปราณภายในร่างกายเคลื่อนไหวพุ่งเข้าใส่พัคจุนฮีอย่างไม่หยุดยั้ง เขากะจะข่มให้ฝ่ายตรงข้ามเกรงกลัว
ตอนนั้นเอง พัคจุนฮีรู้สึกว่าเยี่ยเทียนเหมือนแปลงร่างกลายเป็นสัตว์ประหลาดดุร้าย ส่วนตัวเธอก็เป็นอาหารของสัตว์ประหลาดนั่นเอง ความหวาดหวั่นหวั่นไหวกระเพื่อมขึ้นลงในใจเธอไม่หยุดหย่อน
เสือคำรามในป่าทำให้สัตว์ทั้งหลายหวาดกลัวจนหลบหนี คนก็เช่นเดียวกัน เยี่ยเทียนไม่ได้ฆ่าคนเป็นว่าเล่น แต่ชีวิตศัตรูนับสิบคนก็จบลงด้วยมือเขาเหมือนกัน ถ้าเขาตั้งใจจะปล่อยจิตสังหารแล้ว คนขี้ขลาดคงกลัวจนฉี่ราดไปแล้ว
“เยี่ยเทียน ทำอะไรอยู่? น้องหนูคนนี้เป็นเพื่อนแกเหรอ? ทำไมไม่ชวนเธอเข้ามาในบ้านเล่า?”
ตอนที่พัคจุนฮีกำลังใกล้หมดความอดทนเต็มทีนั้น เสียงของหญิงชราดังขึ้น พัคจุนฮีถึงได้ผ่อนคลายลง ความรู้สึกกดดันบีบคั้นนั้นสลายไปหมด
“ป้าใหญ่ ป้าจะไปซื้อกับข้าวหรือ?” เยี่ยเทียนแอบเสียดาย อีกแค่นิดเดียวก็จะทำให้พัคจุนฮียอมแพ้โดยไม่ต้องสู้แล้ว
“ฉันเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาล ก็เลยซื้อกับข้าวมาด้วย”
หญิงชรามองดูเยี่ยเทียนและพัคจุนฮีด้วยแววตาใคร่รู้ ดึงแขนเยี่ยเทียนมากระซิบถามว่า “เยี่ยเทียน แกทำอะไรน่ะ? ชิงหย่าเป็นคนดีนะ ถ้าแกทำผิดต่อชิงหย่าละก็ ป้าจะตีแกให้ขาหักเลย!”
ตั้งแต่เยี่ยเทียนหมั้นหมาย อวี๋ชิงหย่ามาที่เรือนสี่ประสานแห่งนี้บ่อยขึ้น ปกติแล้วจะมาคุยเล่นกับป้าใหญ่ ป้าและอาของเยี่ยเทียนเห็นเธอเป็นหลานสะใภ้ไปเรียบร้อยแล้ว
เยี่ยเทียนกำลังมีจิตสังหารรุนแรง แต่ไม่กล้าเปิดเผยให้ป้าใหญ่รู้ จึงกระซิบตอบไปว่า “ป้าใหญ่ ป้าพูดอะไรอย่างนั้น? เธอเป็นคนเกาหลี ไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลยสักนิด”
“สาวเกาหลี? ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย บ้านเราจะไม่หาสะใภ้เป็นต่างชาติแน่นอน!”
หญิงชราพูดเสียจนประโยคสุดท้ายของเยี่ยเทียนไม่มีความหมาย เยี่ยเทียนไม่รู้จะทำอย่างไร ดีที่ภาษาจีนของพัคจุนฮีไม่ดีพอ ไม่อย่างนั้นท่าทางวางก้ามน่าเกรงขามของเยี่ยเทียนที่แสดงออกไปคงไม่มีประโยชน์
“เอาเถอะ ผมคุยกับป้าไม่รู้เรื่อง” เยี่ยเทียนดันให้ป้าใหญ่เข้าบ้านไป แล้วหันกลับมามองที่พัคจุนฮี พูดว่า “เธอตามฉันมา!”
เยี่ยเทียนรู้ว่า ถ้าวันนี้ไม่ทำให้เด็กสาวเกาหลีคนนี้ล้มเลิกความตั้งใจไปเสียคงจะไม่ได้ ถ้าเป็นในบ้านไม่เหมาะแน่ ดังนั้นเขาจึงเรียกเด็กสาวไปที่อื่นที่สงบลับตา
“ค่ะ!” แม้ในใจจะยังกลัวอยู่ แต่พัคจุนฮีก็ตามเยี่ยเทียนไป
“ตรงนี้แล้วกัน”
เยี่ยเทียนเดินนำพัคจุนฮีไปอีกห้าหกนาที ทั้งสองมาถึงสวนเล็กๆ ใกล้กับเรือนสี่ประสาน ช่วงเช้าที่นี่จะมีคนมาออกกำลังกายกันพลุกพล่าน แต่พอถึงตอนเย็นกลับเงียบสงบอย่างประหลาด
“ได้โปรดชี้แนะด้วย!”
พัคจุนฮีถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก เผยให้เห็นชุดฝึกวิชาสีขาวสะอาด เปลื้องผ้าที่ห่อหุ้มอาวุธอยู่ให้หลุดออก ปรากฎเป็นดาบด้ามยาวที่มีฝักดาบหุ้มอยู่
“เรเช?”
เมื่อเห็นดาบคู่กายของพัคจุนฮีแล้ว เยี่ยเทียนนิ่งขรึม สายตาของเขาเฉียบแหลม แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาใกล้พลบค่ำแล้ว แต่เยี่ยเทียนยังสามารถสังเกตเห็นชื่อดาบ”เรเช”ที่สลักอยู่ได้
ดาบเรเชเล่มนี้เหมือนกับดาบมุรามาสะที่เก็บอยู่ในบ้านของเขา คือเป็นสุดยอดหนึ่งในสิบดาบญี่ปุ่น
เดิมทีดาบเรเชมีชื่อว่า “เซนโนโตริ” เป็นดาบที่ทาชิบานะ ยูกิเคยใช้รบในสมัยสงครามญี่ปุ่น ตามตำนานเล่าว่า ในคืนฝนตกยูกิได้ลองถือดาบแล้วมีฟ้าผ่าลงมาใส่ แต่เขาไม่ตาย ตั้งแต่นั้นมายูกิจึงถูกขนานนามว่าเป็นเทพสายฟ้าจำแลง ชื่อดาบ”เรเช”จึงได้มาด้วยเหตุนี้
แต่เยี่ยเทียนดูที่ลวดลายของด้ามดาบแล้วกลับไม่ใช่ศิลปะในยุคสงครามญี่ปุ่นที่ดาบเรเชถูกตกทอดมา น่าจะเป็นดาบที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยนี้เสียมากกว่า
“ไม่ผิดหรอก นี่เป็นดาบที่อาจารย์ของฉันมอบให้ชื่อดาบเรเช โปรดชี้แนะด้วย!” พัคจุนฮีพยักหน้า ดาบอยู่หลังมือ เธอรวบรวมพลังมหาศาล ความหวาดกลัวที่มีต่อเยี่ยเทียนมลายหายไป
ในญี่ปุ่นยุคก่อน ดาบถือเป็นอาวุธที่สูงส่ง อีกทั้งญี่ปุ่นไม่มีวิชาต่อสู่ที่สู้กับดาบด้วยมือเปล่า พอมือจับดาบพัคจุนฮีก็มีความมั่นใจมากขึ้นเป็นเท่าตัว
เยี่ยเทียนมองดูท่าทางของพัคจุนฮีแล้วพูดอย่างแช่มช้าว่า “ถ้าเธอชักดาบออกมาจากฝักต่อหน้าฉันได้ การประลองครั้งนี้ ถือว่าเธอชนะ!”
ไม่ใช่เยี่ยเทียนประมาทคู่ต่อสู้ แต่เขาจะสู้กับคนมีดาบด้วยมือเปล่าไม่ได้ ถ้าหากพัคจุนฮีดึงดาบออกจากฝักได้ เยี่ยเทียนคงไม่สามารถล้มเธอได้
เยี่ยเทียนไม่เคยฝึกวิชาการต่อสู้แบบอื่นนอกสำนักมาก่อน ถ้าถูกดาบฟันเข้าก็ต้องเลือดไหลเหมือนกัน
อีกอย่างวิชาดาบญี่ปุ่นนั้นดุดัน ถ้าไม่ใช้วิชาอาคมแล้วละก็ เยี่ยเทียนคงเอาตัวรอดไม่ไหว การใช้บังคับมือของพัคจุนฮีนั้นง่ายกว่ามาก
แต่พัคจุนฮีไม่ได้ล่วงรู้ถึงความคิดของเยี่ยเทียน ยังคิดว่าเขาดูถูกตัวเองอยู่ สีหน้าเย็นชาเรียบเฉยราวน้ำค้างแข็ง พูดว่า “พัคจุนฮีเรียนดาบตั้งแต่อายุสิบสอง จนวันนี้เป็นนักดาบขั้นเจ็ด ยังไม่เคยชักดาบไม่ออกต่อหน้าคู่ต่อสู้ แม้แต่เทพแห่งดาบก็ไม่เคยเหมือนกัน!”
พัคจุนฮีตั้งแต่เริ่มฝึกกับวิชาดาบ สิ่งที่ฝึกเป็นอย่างแรกคือเทคนิคการชักดาบ หลักสำคัญคือ “โจมตีครั้งเดียวถึงแก่ชีวิต” ใช้ความรวดเร็วตอนชักดาบเข้าจู่โจมฝ่ายตรงข้ามตอนที่ยังไม่ทันตั้งตัว
เยี่ยเทียนผู้มือเปล่ากำลังจะสู้กับนักดาบ พัคจุนฮีเชื่อว่าเขาทำได้ แต่ที่เยี่ยเทียนบอกว่าจะทำให้เธอชักดาบไม่ออกนั้น ยังไงเธอก็มีทางเชื่อ
“ได้ไม่ได้ ลองแล้วจะรู้!” เยี่ยเทียนยิ้มบาง แต่กล้ามเนื้อทั้งร่างกายตึงเกร็ง ราวกับเสือดาวที่กำลังจ้องล่าเหยื่อ
“ได้!”
พัคจุนฮีพูดเสียงสะบัด ถือดาบขวางด้วยมือซ้ายสูงระดับอก มือขวาจับด้ามดาบอย่างว่องไว ออกแรงดึงอย่างรุนแรง
เสียง “ชิ้ง!”ดังขึ้น ดาบเรเชหลุดออกมาจากฝักได้ประมานสามนิ้ว แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันทอดตกลงบนแนวป่าพาดลงมาที่ตัวดาบ เกิดเป็นแสงสะท้อน
ตอนที่พัคจุนฮีขยับแขน เยี่ยเทียนที่นิ่งค้างอยู่ จู่ๆก็เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมาที่ด้านซ้ายของพัคจุนฮี
เยี่ยเทียนใช้มือขวาดันข้อศอกด้านนอกของพัคจุนฮีเพียงเบาๆ ตัวดาบที่พ้นออกมาจากฝักแล้วสามนิ้วผลุบกลับเข้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียง “ตึง”
พัคจุนฮีไม่ได้ลนลานที่ถูกสกัดกั้นการชักดาบ มือซ้ายยืมแรงที่เยี่ยเทียนดันไว้ลดลงมาที่ข้างเอว มือขวาของเธอยังจับด้ามดาบอยู่ที่กลางอก แล้วดึงเข้าหาอกตัวเอง
เทคนิคนี้เป็นการชักดาบแบบ “ฟันสะพายแล่ง” ตอนที่ดาบออกจากฝักนั้น ปลายดาบชี้ลง แล้วออกแรงวาดดาบขึ้นมาที่ไหล่ซ้ายของคู่ต่อสู้ในพริบตา ทำให้คู่ต่อสู้ป้องกันตัวไม่ได้
แม้การเคลื่อนไหวของพัคจุนฮีเร็วแล้ว แต่เยี่ยเทียนเร็วกว่า ตอนที่มือของเธอออกแรงเตรียมจะชักดาบในชั่วพริบตา เยี่ยเทียนงอนิ้วชี้ลงดีดเบาๆที่มือข้างที่จับดาบของพัคจุนฮี
พัคจุนฮีที่ตอนแรกออกแรงทั้งหมดไปที่มือขวา รู้สึกว่าหลังมือถูกดีดเข้า ความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงพุ่งขึ้นที่แขนวิ่งเข้าไปที่ไขสันหลัง
ตอนนั้นเองมือขวาของพัคจุนฮีไม่สามารถกำดาบไว้ได้อีก รู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตที่มือจากด้ามดาบ รีบถอยตัวกลับไปด้านหลังพร้อมกับตัวสั่น รู้สึกได้ถึงพลังนิ้วอันร้ายกาจของเยี่ยเทียน
ผู้ที่ฝึกชักดาบ จะต้องใช้แรงจากมือซ้ายขวาสอดคล้องกัน พัคจุนฮีใช้มือซ้ายจับดาบไม่ได้ด้อยไปกว่ามือขวาเลย แต่ตอนนี้พุ่งถอยหลังไปหลายก้าว
“เฮ้ย!” พัคจุนฮีตะโกนออกมา ขณะเดียวกันมือซ้ายดันดาบเสียบไปด้านหลัง ใช้แนวกระดูกสันหลังเป็นหลักยันฝักดาบไว้ มือซ้ายจับอยู่ที่ด้ามดาบ
กระบวนท่านี้เรียกว่าตัดล่าง เมื่อดาบออกจากฝักแล้ว สามารถแทงจากกลางศีรษะของคู่ต่อสู้ คว้านเป็นวงกลมลงมาถึงกลางอก ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถป้องกันตัวได้ เป็นกระบวนท่าที่ดุดันนัก
แต่ถึงจะเป็นท่าดาบที่ร้ายกาจก็ต้องชักดาบออกจากฝักให้ได้ก่อน เยี่ยเทียนไม่เหลือช่องว่างโอกาสให้พัคจุนฮี ตอนที่เธอเคลื่อนเท้า ร่างกายของเยี่ยเทียนขยับติดเป็นเงาตามตัว
พัคจุนฮีกำลังจะชักดาบเห็นเยี่ยเทียนเข้ามาแนบร่างกับตนจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขาแล้ว รีบถอยตัวกลับไม่กล้าชักดาบอีกแล้ว
“เอามานี่!”
เห็นกระบวนท่าชักดาบหลายท่าของพัคจุนฮีแล้ว เยี่ยเทียนขี้เกียจไปพัวพันอีก แบมือขวาออกไปอย่างแรง ชักดาบในฝักที่อยู่ในมือซ้ายของพัคจุนฮี ดาบ”เรเช”จึงถูกดึงออกมาจากทางด้านหลังของเธอ
มือขวาของเยี่ยเทียนวาดลง จับเอาปลายสุดของฝักดาบใช้นิ้วโป้งดีดขึ้นเบาๆ ทำให้ดาวเชเรที่พัคจุนฮีทำยังไงก็ดึงไม่ออกเกิดเสียงกรอบแตกแล้วเด้งออกมาเอง
……