เห็นฉากตรงหน้าพัคจุนฮีถึงกับหน้าซีด เธอเคยภาคภูมิใจในฝีมือดาบของตัวเอง แต่ตอนนี้มาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน แม้แต่จะชักดาบออกมาเธอยังทำไม่ได้ จึงรู้สึกท้อแท้ใจเป็นอย่างยิ่ง
“ดาบดี!”
ดาบนี้ยาวแค่สามคืบ ตัวดาบกว้างแค่สองนิ้ว สันดาบเป็นแนวโค้ง คมดาบเป็นลวดลายสวยงามราวเกล็ดน้ำแข็ง เยี่ยเทียนรู้ว่านี่เป็นเทคนิคการตีดาบของญี่ปุ่น
มือขวาของเยี่ยเทียนกำด้ามดาบไว้ มือซ้ายใช้นิ้วชี้ดีดเบาๆ เสียง “วิ้งๆ”สะท้อนใสก้องกังวาน ใบดาบสั่นพลิ้ว ราวกับว่าดาบมีชีวิต
“มีดาบแต่ไม่มีปณิทาน ถึงดาบจะดีแต่ก็ไม่มีประโยชน์” เยี่ยเทียนพลิกวาดดาบไปมา เกิดแสงสะท้อนกับตัวดาบวิบวับ อากาศเย็นลงเล็กน้อย
“ตึง!” เสียงเยี่ยเทียนเสียบดาบคืนสู่ฝักตามเดิม แล้วโยนให้พัคจุนฮี พูดต่อว่า “วิชาดาบญี่ปุ่น เป็นแค่วิชาหลอกเด็ก กลับไปบอกผู้กล้าคิตะมิยะว่าถ้าอยากเรียนรู้วิชาการต่อสู้ที่แท้จริง มาเมืองจีนหาฉันได้”
“นายรู้จักอาจารย์ของฉันเหรอ?!” พัคจุนฮีเงยศีรษะขึ้นมาถาม หลุดจากสภาพจิตใจท้อแท้เมื่อครู่
“ไม่รู้จัก แต่เธอเอาดาบเล่มนี้กลับไปให้เขาดู เขาจะรู้จักฉันเอง”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เดินออกจากสวนสาธารณะไป ดูเหมือนเขาจะเดินช้า แต่เพียงครู่เดียวไปไกลสิบกว่าเมตรแล้ว เสียงเขาลอยตามลมมา “วันหลังถ้าฉันไม่อนุญาต ห้ามเข้ามาในบริเวณห้าร้อยเมตรรอบบ้านของฉัน ไม่งั้นฉันจะฆ่าไม่เว้น!”
ประโยคสุดท้ายของเยี่ยเทียนทำให้พัคจุนฮีเหงื่อแตกพลั่ก บัดนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมสีหน้าของเยี่ยเทียนตอนนั้นจึงดูไม่ดี เพราะว่าเธอได้ละเมิดกฎของยุทธภพเข้าให้
“ทำไมต้องให้ฉันเอาดาบเล่มนี้ให้อาจารย์ด้วย?” พัคจุนฮียังไม่เข้าใจ มองดูดาบเรเชในมือ ชักดาบออกมา
“หา?!”
ตอนที่ดาบออกมาจากฝัก เธอรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ ดาบที่เคยหนัก ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นเบาหวิว
พอดาบถูกชักออกมา พัคจุนฮีพบว่า ดาบที่เคยยาวสามคืบตอนนี้มันเหลือความยาวไม่ถึงครึ่งคืบของเนื้อดาบช่วงที่ติดกับด้าม
พัคจุนฮีตกตะลึง รีบนำฝักดาบมาคว่ำดู เสียง “แก๊งๆ”สองที เศษดาบสองท่อนหลุดตกลงบนพื้นหิน
“เขา…เขาอาศัยตอนที่เก็บดาบทำให้มันหักเป็นท่อน?”
มองไปทางที่เยี่ยเทียนหายตัวไป พัคจุนฮีมองค้างอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ในใจทั้งตระหนกทั้งหวาดกลัว ต่อไปไม่กล้ามา
ใช้ทั้งเคล็ดลับการตีดาบแบบญี่ปุ่นและเทคนิคการหลอมดาบในยุคปัจจุบัน จะว่าเป็นสุดยอดอาวุธชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่กลับถูกเยี่ยเทียนหักเป็นสามท่อนโดยไม่รู้ตัว
กำลังภายในอย่างนี้ พัคจุนฮีคิดไม่ถึง แม้แต่ปู่ของเธอพัคจองไทกับอาจารย์ผู้กล้าแห่งคิตะมิยะยังทำไม่ได้
คราวนี้ฝีมือเยี่ยเทียนทำให้พัคจุนฮีรู้จักประเทศจีนดีขึ้น ต่อไปความยโสโอหังอย่างคนเกาหลีคงดูน่าขำสิ้นดี
…………
เยี่ยเทียนไม่สนใจความพ่ายแพ้ของพัคจุนฮี เมื่อกลับถึงบ้านก็พบว่าอาติงและศิษย์พี่ทั้งสองของเขากลับมาแล้วเช่นกัน กำลังนั่งคุยกันอยู่ในบ้าน
“ศิษย์น้องเล็ก มีอะไรหรือ? ทำไมจิตสังหารจึงได้แรงขนาดนั้น?”
โก่วซินเจียเห็นเยี่ยเทียนเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้ามาจึงถามขึ้น อยู่ในเมืองใหญ่ไม่เหมือนกับอยู่ที่เขาฝอกว่างซาน ถ้าเยี่ยเทียนไม่รู้จักเก็บงำจิตสังหารเสียบ้าง วันหน้าอาจจะเกิดเรื่องเดือดร้อนได้
“ศิษย์พี่ ไม่มีอะไร วันนี้ผมไม่ได้ดูดวงก่อนออกจากบ้าน เลยเจอเรื่องวุ่นวายทั้งวัน”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า “เมื่อครู่ได้สู้กับลูกศิษย์ของคิตะมิยะ ก็อย่างนั้นเอง ศิษย์พี่ใหญ่ วันหลังถ้ามีโอกาส ผมจะไปท้าสู้กับคิตะมิยะเพื่อทวงความยุติธรรมให้พี่”
เยี่ยเทียนรู้ว่าตอนนั้นคนญี่ปุ่นมีที่พึ่งหลายทาง จึงทำให้คิตะมิยะมาลอบลงมือ ตัดแขนซ้ายของศิษย์พี่ใหญ่ขาดช่างเป็นการกระทำที่ต่ำทรามที่สุด
ถ้าพัคจุนฮีไม่ได้เป็นผู้หญิง ถ้าเธอได้ทำร้ายหลี่เฟิงตอนที่ประลองกัน เยี่ยเทียนจะต้องตอบโต้เธอให้บาดเจ็บไปบ้าง
“ศิษย์ของคิตะมิยะ?” โก่วซินเจียตะลึง “เล่าเหตุการณ์การประลองให้ฟังหน่อย”
เยี่ยเทียนพยักหน้า พูดว่า “พัคจุนฮีน่าจะเรียนวิชาดาบของตระกูลคิตะมิยะ แต่ผมไม่ยอมให้เธอชักดาบออกมาได้…”
โก่วซินเจียเอ่ยต่อ “ศิษย์น้องเล็ก ตระกูลคิตะมิยะมีประวัติยาวนานเป็นร้อยปี เพราะมีที่มา วิชาดาบที่ดุดันรุนแรง เคล็ดลับอยู่ที่วิถีดาบตอนที่ชักดาบออกจากฝัก
ผู้กล้าแห่งคิตะมิยะตอนนั้นได้รับการยกย่องจากลูกหลานในตระกูล วิชาดาบนั้นไร้ที่ติ รุกรานคู่ต่อสู้อย่างกัดไม่ปล่อย ถ้าวันหนึ่งนายพบกับเขาเข้าต้องระวังตัวให้มาก”
“ครับ ศิษย์พี่ ผมจะระวัง” เยี่ยเทียนจดจำคำสอนของศิษย์พี่จนขึ้นใจ ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งชาญทองทวน เยี่ยเทียนเข้าใจแล้วว่าสิงโตโจมตีกระต่ายโดยใช้พลกำลังทั้งหมดอย่างไร
“เอาเถอะ เยี่ยเทียน ไปตามแขกมากินข้าวไป”
ป้าใหญ่ทำอาหารเสร็จแล้ว เดินบอกตามว่า “เสี่ยวเยี่ยเทียน ฉันจะบอกให้นะ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสาวเกาหลีคนนั้นเชียว บ้านเยี่ยของเราจะเสียหายเพราะเขาไม่ได้”
“ป้าใหญ่ พูดอะไรอย่างนั้นเล่า? เห็นผมเป็นคนยังไง?” เยี่ยเทียนยิ้มแหย โชคดี่อวี๋ชิงหย่ามีธุระกลับไปที่มหาวิทยาลัยแล้ว ไม่อย่างนั้นวันนี้ถึงเยี่ยเทียนโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็ยังไม่สามารถล้างคำครหาได้
…………-
เยี่ยเทียนรับประทานอาหารกับสมาชิกครอบครัวอยู่ในบ้านอย่างอบอุ่น ห่างไปไม่มากภายในบ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าและได้รับการคุ้มกันแน่นหนา มีชายชรากำลังนั่งรับประทานอาหารเงียบๆอย่างโดดเดี่ยว
อาหารบนโต๊ะเป็นอาหารพื้นๆ มีกับข้าวสี่อย่างเป็นเนื้อสัตว์หนึ่งอย่างและผักสามอย่าง ยังมีน้ำแกงชามหนึ่ง แล้วก็ข้าวเปล่าหนึ่งถ้วย ซ่งเฮ่าเทียนเป็นคนทางใต้จึงไม่นิยมรับประทานหมั่นโถว
คนมีอายุกินข้าวช้า ทุกคำต้องเคี้ยวให้ละเอียดอย่างตั้งใจ อย่างกับกำลังลิ้มรสอาหารทะเลของแพง
ด้านซ้ายของชายชรามีชายอีกคนยืนอยู่ เขาคือหัวหน้าเซวียชิงเซิ่งผู้เกรียงไกรเมื่อตอนบ่าย ตอนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นเขากล้าแสดงอำนาจใหญ่โต แต่ตอนนี้ที่อยู่ตรงหน้าชายชรากลับไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง อย่างกับความเงียบของชายชรากำลังกดทับเขาอยู่
ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนกำลังเผชิญหน้ากับศึกวาระครบตำแหน่ง ตารางงานของเขาจึงแน่นมากทุกวัน วันนี้เซวียชิงเซิ่งพอจัดการเรื่องเยี่ยเทียนเสร็จแล้วต้องกลับมารอที่นี่สองชั่วโมงเต็ม
แม้ว่าในใจอยากจะรายงานเหตุการณ์ในวันนี้ให้ท่านผู้นำฟัง แต่เขาทราบว่าท่านผู้นำไม่ค่อยชอบพูดคุยตอนรับประทานอาหาร จึงได้แต่ยืนรออยู่ข้าง จนท่านเสร็จมื้ออาหาร
“เสี่ยวเซวีย ไป ไปเดินเล่นกับฉันหน่อย”
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงซ่งเฮ่าเทียนส่งข้าวเม็ดสุดท้ายเข้าปาก แล้วยืนขึ้น ถึงจะอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว แต่ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ของท่านไม่มีหลังโก่งโค้งเหมือนคนแก่ทั่วไป ยังยืนหลังตรงสง่าอยู่เสมอ
“ครับ ท่าน ค่อยๆเดินนะครับ”
ซ่งเฮ่าเทียนเดินนำออกจากห้องเซวียชิงเซิ่งรีบเดินตามหลัง ข้างกายเขายังมีหมอดูแลสุขภาพเดินถือแก้วน้ำชากับเลขาอีกคนเดินตามไปด้วย คนสี่ห้าเดินรายล้อมซ่งเฮ่าเทียนไปที่สวนสาธารณะโส่วผู่เหอ
ซ่งเฮ่าเทียนใช้ชีวิตหรูหรามาตั้งแต่เด็ก นอนดึกตื่นสายเป็นเรื่องปกติ ใช้ชีวิตเหมือนฮ่องเต้สมัยก่อน และทุกวันหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จต้องออกไปเดินเล่น
สวนสาธารณะโส่วผู่เหอเป็นสวนเล็กๆ อยู่ใกล้กับซุ้มประตูเทียนอันเหมิน คนที่อาศัยในถิ่นชาววังบางคนยังไม่รู้จัก แต่สวนนี้มักเป็นที่เดินเล่นพักผ่อนของท่านผู้นำหลายท่านที่อาศัยอยู่ในเขตกำแพงสีแดงแห่งนี้
“พวกเธอไม่ต้องมาใกล้มาก ร่างกายฉันยังไหวอยู่!”
เมื่อเดินมาถึงปากทางเข้าสวน ซ่งเฮ่าเทียนโบกมือไล่พวกหมอและเลขาที่รายล้อมอยู่ ทุกคนเข้าใจในทันทีว่าท่านต้องการคุยเรื่องส่วนตัว จึงเดินล้าหลังมาหลายก้าว
ซ่งเฮ่าเทียนกางแขนออกสบายๆ มองดูเซวียชิงเซิ่งพูดว่า “เล่ามาเถอะ เด็กนั่นปากเสียอีกแล้วใช่ไหม?” ในโลกนี้เวลาเป็นเครื่องบรรเทาความโกรธแค้นได้ดีที่สุด
ลุงแท้ๆของซ่งเฮ่าเทียนเสียชีวิตด้วยน้ำมือของบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยแม้โดยทางอ้อม แต่เวลาเกือบศตวรรษผ่านไปแล้ว คนรุ่นก่อนของทั้งสองตระกูลก็จากไปเกือบหมดแล้ว ความแค้นในใจของซ่งเฮ่าเทียนเจือจางลงไปมาก
อีกทั้งความรู้สึกผิดต่อบุตรสาวคนโตของตน ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเขาบีบบังคับ บุตรสาวคงจะไม่ต้องอยู่อเมริกาคนเดียวจนต้องแยกจากลูกเขยและหลานชายมายี่สิบกว่าปี
ถึงซ่งเฮ่าเทียนจะไม่ได้รู้สึกผูกพันกับเยี่ยเทียนในฐานะตาหลานสักเท่าไหร่ แต่พอบุตรสาวโทรมาว่าหลานชายของเขามีปัญหาเธอจะต้องเดินทางกลับมาประเทศจีนด้วยตัวเอง ซ่งเฮ่าเทียนฟังแล้วโมโหสุดขีด จึงสั่งให้หัวหน้าเซวียไปจัดการเรื่องนี้ที่สถานีตำรวจ
แน่นอนว่าเซวียชิงเซิ่งไม่กล้าถ่ายทอดคำพูดของเยี่ยเทียนชนิดคำต่อคำ เขายิ้มแล้วเริ่มเล่า “ท่านผู้นำครับ เยี่ย…เยี่ยเทียนเขาพูดจาประสาเด็ก ไม่มีอะไรมากหรอกครับ”
ซ่งเฮ่าเทียนจ้องตาเซวียชิงเซิ่งแล้วหัวเราะออกมา “ไม่เป็นไร นายพูดเถอะ เด็กคนนั้นจะโกรธแค้นฉันบ้างฉันก็เข้าใจ!”
“เยี่ยเทียนเขา….เขาบอกว่า เขายอมเสียเหงื่อไปทำงานแลกเงินซื้อข้าวดีกว่าจะยอมรับการคุ้มครองดูแลจากท่านครับ เขายังพูดอีกว่า…ว่าท่านไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนเขาครับ!”
ถูกซ่งเฮ่าเทียนจ้องเอาขนาดนี้ เซวียชิงเซิ่งเหงื่อซึมไปทั้งหลัง แต่ก็พูดตามตรงไม่ได้ปิดบัง บอกเล่าคำพูดของเยี่ยเทียนอย่างครบถ้วนทุกคำ
“เจ้าเด็กนี่ วู่วามเหมือนพ่อมันไม่มีผิด แต่การที่เขาไม่ยอมให้ใช้อำนาจ ไม่กลัวอิทธิพล เขา…ก็ถือว่าเขาเป็นเด็กดีคนหนึ่ง”
ได้ฟังที่เยี่ยเทียนฝากมาจบแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนหัวเราะรื่นรู้สึกชื่นชมหลานชายที่ยังไม่เคยพบหน้าคนนี้อย่างประหลาด อย่างน้อยคนในบ้านตระกูลซ่งรุ่นนี้ไม่มีใครหยิ่งทรนงได้เท่าเยี่ยเทียนอีกแล้ว
“ท่านผู้นำครับ เยี่ยเทียนเขาซี้ซั้วพูด ท่านอย่าได้นำมาใส่ใจเลยนะครับ” เซวียชิงเซิ่งติดตามซ่งเฮ่าเทียนมาเป็นสิบปี ไม่เคยเห็นเขาชื่นชมใครแบบนี้มาก่อน ยังคิดว่าท่านพูดประชดเอา
“เหอะๆ เสี่ยวเซวีย เด็กคนนั้นเป็นหลานของฉัน เขาแค่เข้าใจผิดในตัวฉันนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
ประโยคเมื่อครู่ของซ่งเฮ่าเทียน ทำให้เซวียชิงเซิ่งวางใจ ยังโล่งใจที่วันนี้เขาไม่ได้ทำท่าวางก้ามใส่เยี่ยเทียน เยี่ยเทียนเป็นหลานที่ทำให้ท่านผู้นำชมเชยได้ ความสัมพันธ์คงจะไม่ธรรมดา
…………..