“พ่อ นี่มันยุคอะไรแล้ว พ่ออย่าคอยวอแวไม่เลิกได้ไหม?”
คุณแม่ของหูเสี่ยวเซียนดูท่าจะไม่นำพาอะไรกับความคิดของผู้เฒ่า บ่นพึมพำเสียงต่ำ “ตอนแรกถ้าหากพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลให้เร็วกว่านี้สักหน่อยล่ะก็ เธอ……เธอคงไม่จากไปเพราะช่วยเหลือไม่ทันการหรอก!”
“เธอว่าอะไรนะ?!”
ถึงแม้ผู้เฒ่าจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่ประสาทหูยังคงดีเยี่ยม พอได้ยินลูกสะใภ้พูด ใบหน้าก็พลันแสดงถึงความโกรธออกมาทันที สองตาเบิกกว้างหนวดเคราพองจนน่าตกอกตกใจเหลือล้น
“บ้านนี้มีเรื่องแบบนี้กันด้วยเหรอ?”
พวกเยี่ยเทียนที่เพิ่งผลักประตูเข้ามาเห็นฉากนั้นเข้าพอดี ล้วนอดคาดเดากันภายในใจไม่ได้ คุณแม่หูดูไม่เหมือนคนไม่เชื่อฟังคำผู้ใหญ่สักเท่าไหร่ แต่ท่าทีที่เห็นตรงหน้านี้กลับออกจะร้ายกาจอย่างเห็นได้ชัด
อาจเป็นเพราะไม่อยากทะเลาะเบาะแว้งกันต่อหน้าคนนอก พอเห็นพวกอวี๋ชิงหย่าแล้ว น้ำเสียงของคุณแม่หูก็อ่อนลง มองยังผู้เฒ่าแล้วกล่าว “พ่อ ขอร้องล่ะ ให้คุณหมอตรวจร่างกายเสี่ยวเซียนอีกครั้งเถอะ พ่อไม่เห็นเหรอว่าวันนี้สีหน้าเสี่ยวเซียนดีขึ้นตั้งเยอะ? เธอทนถูกย้ายตัวไปมาไม่ไหวหรอก!”
“เฮ้อ ตามใจพวกเธอเถอะ ถึงอย่างไรเสี่ยวเซียนก็เป็นลูกสาวของพวกเธอนี่”
ได้ยินลูกสะใภ้พูดออกมาอย่างนี้ ผู้เฒ่าก็ถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง ทั้งเนื้อทั้งตัวราวแก่ขึ้นสิบกว่าปีในทันที ยื่นสองมือใหญ่คู่นั้นที่ราวกับแขนงรากต้นไม้ใหญ่ ลูบสัมผัสหัวของหลานสาวอย่างแผ่วเบา
แม้ผู้เฒ่าจะมีความสามารถทางการรักษาสูงส่งแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจตรวจสอบได้ว่าหลานสาวป่วยด้วยโรคอะไร อีกทั้งตอนนี้หูเสี่ยวเซียนอาศัยเพียงน้ำเกลือเพื่อประคับประคองชีวิตต่อไปเท่านั้น เขาจะทำยากี่ขนานก็ไม่อาจให้หูเสี่ยวเซียนใช้ได้
“ฉันไปล่ะ พรุ่งนี้จะมาใหม่!”
เห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้อง ผู้เฒ่าค่อนข้างจะรู้สึกโดดเดี่ยว จึงยืดตัวขึ้นมาจากข้างเตียง ยังไม่ทันได้ทักทายกับพวกเยี่ยเทียน ก็เดินตรงออกจากห้องผู้ป่วยไปแล้ว
“เสี่ยวอวี๋ เสี่ยวเว่ย ทำให้พวกเธอนึกขำเข้าแล้วสิ คุณปู่ของเสี่ยวเซียนเขานิสัยแบบนี้แหละ ตัวเองเป็นหมอแท้ ๆ กลับเชื่อเรื่องเทพผีอะไรพวกนั้น ตอนนั้นแม่สามีน่ะ เฮ้อ พูดเรื่องนี้กับพวกเธอไปทำไมกันนะ?”
หลังผู้เฒ่าออกไปแล้ว คุณแม่หูก็ลุกยืนขึ้นมา ถึงแม้ในใจจะเป็นห่วงลูกสาว แต่พวกอวี๋ชิงหย่าก็มาจากเมืองหลวงกว่าพันลี้เพื่อเยี่ยมเยียนลูกสาว เธอจึงไม่อาจเสียมารยาท
ในใจของเยี่ยเทียนสั่นสะเทือน เอ่ยถามขึ้น “คุณน้าครับ เมื่อตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ? ผมว่าคุณปู่ก็ดูไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลนี่นา?”
“ที่คุณปู่ของเสี่ยวเซียนมีฝีมือด้านการรักษานั้นไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่ว่าแพทย์แผนจีนพวกนี้ก็ไม่ใช่จะรักษาหายได้หมดทุกโรค เพราะเขาไม่ยอมฟังคำทัดทาน ตอนนั้นแม่สามีเป็นใส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน เขากลับไม่ยอมให้ส่งไปโรงพยาบาล……”
คุณแม่หูไม่ใช่คนที่เก็บงำความลับอยู่ อีกทั้งเรื่องนี้เป็นเสมือนหนามแทงใจครอบครัวของพวกเขา เวลาทั่วไปจึงไม่มีใครอยากพูดถึง เพียงกักเก็บไว้อยู่ในใจตลอดมา
ทั้งที่ผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว พ่อของหูเสี่ยวเซียนยังคงทะเลาะกับคุณปู่ด้วยเรื่องนี้ แม้จะไม่ถึงขั้นไม่ไปมาหาสู่กันเลย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกก็เบาบางลงกว่าครอบครัวทั่วไปอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเมื่อเยี่ยเทียนถามเรื่องนี้ คุณแม่หูจึงยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง
ที่แท้ เมื่อตอนที่พ่อกับแม่ของเสี่ยวเซียนเพิ่งแต่งงานกันได้สองปีนั้น คุณย่าของหูเสี่ยวเซียนก็เกิดล้มป่วยฉับพลัน เวลานั้นคุณปู่ของหูเสี่ยวเซียนเปิดคลินิกอยู่ จึงใช้แพทย์แผนจีนตรวจรักษาภรรยาตัวเองดูสักหน่อย
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นยาสมุนไพรหรือฝังเข็ม อาการป่วยของคุณย่าหูเสี่ยวเซียนก็ไม่เห็นดีขึ้น เวลานั้นคุณพ่อของหูเสี่ยวเซียนจะส่งคุณแม่ไปโรงพยาบาล แต่กลับถูกคุณปู่ขัดขวางเอาไว้
ผู้อาวุโสที่ร่ำเรียนการแพทย์แผนจีน ล้วนมีความคิดดื้อรั้น คิดว่าโรคภัยที่การแพทย์แผนตะวันตกรักษาหาย แพทย์แผนจีนเองก็สามารถรักษาหายได้เช่นกัน
ดังนั้นไม่ว่าจะพูดอย่างไรคุณปู่ก็ไม่ยอมให้ส่งภรรยาไปโรงพยาบาล ในทางกลับกันยังใช้ “ความเชื่องมงายสมัยยุคศักดินาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษตระกูลหู (คุณแม่หูคิดว่าอย่างนั้น) ทรงเจ้าเข้าผีรักษาอาการป่วยให้กับภรรยา แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สำเร็จ”
เห็นอยู่ตรงหน้าว่าแม่กำลังจะทนไม่ไหวแล้ว คุณพ่อของหูเสี่ยวเซียนจึงไม่สนใจคำคัดค้านของพ่ออีกต่อไป ฝืนพาคุณแม่ส่งไปโรงพยาบาล เมื่อตรวจแล้วพบว่าที่แท้คือไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน แต่ว่าเพราะส่งมาโรงพยาบาลช้าเกินไป สุดท้ายจึงได้เสียชีวิตในวัยเพียงสี่สิบกว่าเท่านั้น
เมื่อเป็นอย่างนี้ คุณพ่อของหูเสี่ยวเซียนจึงเชื่อว่าเป็นคุณพ่อที่ทำร้ายคุณแม่ ไม่พบหน้าพ่ออีกเลยเป็นเวลานานหลายปี
อีกทั้งหลังจากที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คุณปู่เองก็ได้ปิดคลินิก อาศัยอยู่ในเขตป่าเก่าลึกเข้าไปบนเขาฉางไป๋ กระทั่งหูเสี่ยวเซียนเกิดเรื่องขึ้นความสัมพันธ์พ่อลูกทั้งสองจึงได้กลับมาปรองดอง
และนี่จึงเป็นสาเหตุที่พอคุณแม่หูได้ยินคุณปู่พูดถึงเรื่องทรงเจ้าเข้าผีแล้ว เกิดปฏิกิริยารุนแรงอย่างนั้น เมื่อตอนนั้นที่พ่อสามีทำการรักษาให้กับแม่สามี แม้จะไม่ใช่การทรงเจ้าแต่ก็เป็นการอัญเชิญเทพมาประทับร่าง ทั้งสองอย่างนี้ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เองเหรอครับ?”
ได้ยินคุณแม่หูอธิบายแล้ว เยี่ยเทียนก็ก้มหน้าลง พูดกับตัวเองโดยอัตโนมัติด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนยากจะได้ยิน “ดูท่าวิชาที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูลหูเองก็ยังมีความบกพร่องอยู่ ไม่อย่างนั้นอาการป่วยจากไส้ติ่งอักเสบแม้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็คงยังพอทุเลาลง”
จากร่างกายของผู้เฒ่าคนนั้น เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงลมปราณที่พุ่งพล่าน แต่พลังวิญญาณในตัวผู้มีวรยุทธ์นั้นกลับไม่มีแม้แต่น้อย ทว่าท่านผู้เฒ่ากลับเข้าใจศาสตร์การรักษาอาการเจ็บป่วยอยู่บ้าง ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงตัดสินว่าผู้เฒ่าคนนี้คงจะสูญเสียพลังสืบทอดไป
เห็นคุณแม่หูยังคงพูดคุยอยู่กับพวกสาว ๆ และอวี๋ชิงหย่า เยี่ยเทียนจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ตามออกไปข้างนอกโรงพยาบาล
ช่วงเวลาที่ผู้เฒ่าออกไปยังไม่นานนัก ตอนเยี่ยเทียนตามออกไปถึงหน้าประตูโรงพยาบาล ก็เห็นผู้เฒ่าปลดเชือกรถม้าคันหนึ่ง แล้วนั่งลงบนอานที่นั่ง
รถม้าที่วิ่งในเมือง ในแผ่นดินใหญ่มีให้เห็นได้น้อยมาก แต่ว่าอำเภอเมืองฉางไป๋ถูกล้อมด้วยเมืองฉางไป๋สามทิศทาง ทางขึ้นเขาก็ยากลำบาก บนถนนหลวงจึงพอเห็นลาดเลารถม้าอยู่
เห็นผู้เฒ่ายกแส้ขึ้น เยี่ยเทียนก็รีบวิ่งไปหา คว้าบังเหียนไว้พลางกล่าว “ผู้เฒ่าครับ โปรดรอสักครู่ ผู้น้อยมีเรื่องอยากสอบถาม!”
“หือ? เธอคือพ่อหนุ่มคนนั้นที่อยู่ในห้องผู้ป่วยเมื่อครู่นี่นา?” เห็นเยี่ยเทียนฉุดรั้งหัวม้าเอาไว้ ผู้เฒ่าก็อดประหลาดใจไม่ได้
สุภาษิตว่าผู้เชี่ยวชาญเห็นกระจ่าง คนนอกมองอย่างผิวเผิน ผู้เฒ่าหูแม้ยังไม่ทันฟาดแส้ลงไป แต่ม้าก็เริ่มออกวิ่งแล้ว หากไม่ใช่แรงสักร้อยชั่ง ย่อมไม่มีทางรั้งอยู่
เยี่ยเทียนใช้เพียงมือเดียวกลับทำให้ม้าของตนที่เพิ่งอายุเพียงสี่ปีตัวนี้ยากจะก้าวเดินต่อได้ ผู้เฒ่าหูจึงถามตัวเอง ว่าหากสับเปลี่ยนเป็นตนเองแม้จะสามารถทำได้ แต่คงไม่ถึงขั้นง่ายดายหน้าไม่เปลี่ยนสีอย่างเยี่ยเทียนเช่นนี้
“นึกไม่ถึงว่าพ่อหนุ่มจะเป็นคนในลัทธิเต๋าเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าภูเขาอยู่เขตไหน จุดธูปเทียนที่ใด เจ้าสำนักคือใครหรือ?”
ชายชาตรีทางตะวันออกเฉียงเหนือนี้ ไม่ยอมถูกกดขี่โดยคนญี่ปุ่น ก่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจล้วนท่องไปอย่างอิสระบนแนวเขาไป๋ฉางและเฮยหลงเจียง สำนวนยุทธภพของผู้เฒ่าหูคนนี้แม้ไม่มาดีหรือมาร้าย แต่ก็คลับคล้ายกับบทสนทนาระหว่างโจรผู้ร้ายในสมัยอดีต
เยี่ยเทียนยิ้มน้อย ๆ กล่าว “ผู้เฒ่าครับ ผมไม่ใช่คนในยุทธภพเต๋า แต่ว่าศิษย์พี่ใหญ่ของผมในอดีตเคยมายังสามมณฑล เคยคำนับท่านหัวหน้าหูอวิ๋นเป้า ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ารู้จักหรือไม่?”
“หู……หูอวิ๋นเป้า?”
ท่านผู้เฒ่าที่เดินนั่งอยู่บนอานรถม้าได้ยินชื่อนี้เข้า สองตาก็พลันเบิกกว้าง มือขวาตบบนรถทีหนึ่ง แล้วทั้งร่างก็พลิกจากรถม้าลงมายังหน้าเยี่ยเทียน
สองขาเพิ่งจะเหยียบถึงพื้นดิน มือขวาของผู้เฒ่าหูก็จับตัวเยี่ยเทียนไว้แน่น เอ่ยปากถาม “พ่อหนุ่ม เธอ……เธอรู้จักชื่อของพ่อฉันได้ยังไง?”
ที่สำคัญ พ่อของผู้เฒ่าหูเมื่อก่อนปฏิรูปเศรษฐกิจนั้นเป็นจอมโจรกลมกลืนอยู่ในฉางไป๋ หลังจากปฏิรูปเศรษฐกิจแล้วกลัวจะถูกส่งตัวให้ทางการ จึงเปลี่ยนชื่อจากหูอวิ๋นเป้าเป็นหูเทียนเป่า หลบซ่อนอยู่บนเขาฉางไป๋
อย่าว่าแต่เยี่ยเทียนเป็นคนนอกเลย กระทั่งลูกชายของผู้เฒ่าหูก็ยังไม่รู้ชื่อแท้จริงของปู่ตัวเอง ดังนั้นจู่ ๆ ได้ยินชื่อของพ่อที่ลาโลกไปแล้ว โสตประสาทของผู้เฒ่าจึงราวกับถูกฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ
“ท่านผู้เฒ่าครับ ผมบอกไปแล้ว เป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่รู้จักผู้เฒ่าหูอวิ๋นเป้า” เยี่ยเทียนเหลือบมองซ้ายขวา แล้วพูดต่อ “เราคุยกันที่นี่ไม่สะดวก เปลี่ยนเป็นที่อื่นกันไหมครับ?”
ถึงแม้เมืองฉางไป๋จะมีรถม้าอยู่ไม่น้อย แต่รถม้าของผู้เฒ่าหูขวางหน้าทางเข้าโรงพยาบาลอยู่ เตะตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา เยี่ยเทียนคงไม่สามารถทำความรู้จักกับเขาที่นี่ได้หรอกกระมัง?
“อย่าเรียกว่าท่านผู้เฒ่าเลย ในเมื่อศิษย์พี่ของเธอรู้จักกับพ่อฉัน งั้นเธอก็มีศักดิ์สูงกว่าฉันหนึ่งขั้น ฉันชื่อหูหงเต๋อ เธอเรียกฉันว่าเหล่าหูก็เพียงพอแล้ว!”
หูหงเต๋อนำรถม้าล่ามเข้ากับต้นไม้ด้านนอกโรงพยาบาลอีกครั้ง นำเอาสัมภาระถือไว้ในมือ ชี้ไปยังร้านอาหารที่อยู่ตรงข้าม กล่าวว่า “พ่อหนุ่ม ไปเถอะ พวกเราไปนั่งคุยข้างในนั้นกัน!”
“ตกลงครับ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตามผู้เฒ่าหูเข้าไปยังร้านอาหารนั้น ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสามโมงตรง จึงไม่มีใครมากินข้าว ทั่วทั้งร้านจึงมีแค่พวกเขาเพียงสองคน
หลังจากนั่งลงแล้ว ท่านผู้เฒ่าหูก็ไม่รีบร้อนเอ่ยถามเยี่ยเทียน แต่สั่งบะหมี่ชามใหญ่มาสองชาม จากนั้นก็ให้แล่เนื้อวัวเนื้อแพะมาหนึ่งชั่ง แล้วยังสั่งเหล้าขาวอีกหนึ่งขวด รอกระทั่งเหล้าและอาหาร ขึ้นโต๊ะแล้ว จึงได้เอ่ยปากถาม “พ่อหนุ่ม ขอถามชื่อของศิษย์พี่เธอทีว่าคือใคร แล้วรู้จักกับพ่อฉันได้อย่างไร?”
เยี่ยเทียนเองก็ไม่ปิดบัง พูดออกไปอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ศิษย์พี่ของผมนามสกุลโก่ว ชื่อว่าซินเจีย เมื่อปี 40 นั้นมายังเขตป่ามณฑล ไม่ทราบว่าท่านได้ยิน ท่าน หูอวิ๋นเป่าเคยพูดถึงหรือไม่?”
” โก่วซินเจีย? นั่น…… นั่นไม่…… ไม่ใช่จินเหยี่ยนเตียวหรอกเหรอ? “
ได้ยินคำพูดของเฮียเทียนแล้ว หูของเต๋อก็ผุดลุกพรวดขึ้นยืน ส่งเสียงดังสนั่น กระเทือนไปถึงกระจกร้านอาหารจนสั่นสะเทือน ทำให้พ่อค้าสับเนื้อที่อยู่ด้านในตกใจจนเกือบจะหั่นนิ้วโป้งลงไปด้วย
” จินเหยี่ยนเตียว? นึกไม่ถึงว่าศิษย์พี่ จะมีชื่อนี้อีกด้วย?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็สะดุ้งตกใจ เขายังไม่เคยได้ยินศิษย์พี่พูดถึงฉายานี้มาก่อน
แต่ว่าเยี่ยเทียนไม่รู้ ว่าในสมัยนั้นโก่วซินเจียทำงานให้กับรัฐบาล ฉายานี้ได้รับทั้งคำสรรเสริญและกล่าวประนาม รวบรวมสมัครพรรคพวกไม่น้อย แต่ก็มีศัตรูทั่วทุกแห่ง ดังนั้นจึงไม่เล่าให้เยี่ยเทียนรู้
“ผมว่าท่านผู้เฒ่าครับ พวกเราเบาเสียงกันสักหน่อยได้ไหม? เสียงของท่านน่ะพวกเราชักจะรับไม่ไหวแล้ว!” ท่าทางของหูหงเต๋อโวยวายใหญ่โต จนพนักงานภายในร้านอาหารชักไม่เห็นพ้องด้วย
หูหงเต๋อจึงสำนึกได้ว่าเผลอตัวไป ยิ้มแย้มอย่างขออภัยต่อเจ้าหนุ่มที่ออกมาจากข้างใน แล้วนั่งกลับลงไปยังเก้าอี้ใหม่อีกครั้ง ลดน้ำเสียงลงกล่าวว่า “พ่อหนุ่ม ผู้…… ผู้เฒ่าคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”
“ศิษย์พี่ยังมีชีวิตอยู่ครับ ก่อนที่ผมจะมาครั้งนี้ เป็นเขาเองที่บอกเรื่องชื่อท่านพ่อของท่าน” เยี่ยเทียนมองยังหูหงเต๋ออย่างสงสัย เอ่ยปากถาม “ผู้เฒ่าหู หรือว่าท่านเคยพบกับศิษย์พี่ของผม? “
…………