ท่าทีของเยี่ยเทียนทำให้ถังเหวินหย่วนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ เขาก็เป็น บุคคลสำคัญทั้งนั้น ผู้กุมทิศทางของจักรวรรดิแห่งธุรกิจการค้าผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ไม่ว่าจะไปประเทศไหน อยากจะพบกับผู้นำ ของประเทศไหนก็ได้ทั้งนั้น
ในโลกใบนี้ มีผู้คนที่อยากจะแห่เข้ามาเชื่อมสัมพันธ์กับถังเหวินหย่วนอยู่ตั้งมากมายไม่รู้เท่าไร เพราะหวังที่จะได้รับ ผลประโยชน์บ้าง นึกไม่ถึงเลยว่า เยี่ยเทียนกลับทำอย่างกับเขาเป็นตัวเชื้อโรค พยายามจะไปให้พ้นๆ โดยเร็วที่สุด จึงทำให้คุณ ท่านอดรู้สึกหดหู่ขึ้นมาไม่ได้
“เยี่ยเทียน เดี๋ยวก่อน ผมยังมีเรื่องอยากจะขอให้ช่วยอีกหน่อยน่ะ…”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนกำลังจะเดินออกไปพ้นห้องรับแขกแล้ว ถังเหวินหย่วนก็รีบตะโกนเรียกเขาไว้ ที่มาประเทศจีน ครั้งนี้ จุดประสงค์หลักก็คือเพื่อมาตามหาเยี่ยเทียนนี่แหละ แล้วเขาจะยอมปล่อยเยี่ยเทียนไปแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
เยี่ยเทียนหยุดฝีเท้าลง มองไปทางถังเหวินหย่วน แล้วถามอย่างฉงนใจ “หืม? เหล่าถัง ยังมีเรื่องอะไรอีกรึ? สมาคม หงเหมินนั่นผมไม่เข้าร่วมหรอกนะ คุณก็ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วละ…”
เยี่ยเทียนรู้ว่า ตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน ผู้ที่ตกเป็นจุดสนใจของฝ่ายทางการต่างก็ไม่ได้มีจุดจบที่ดีกันแทบทั้งนั้น ถึงเขาจะเชี่ยวชาญพยากรณ์ศาสตร์ แต่ถ้าจะให้ไปต่อต้านกับองค์กรรัฐละก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันเกินกำลังของเขาเกินไป เหมือนกับตั๊กแตนที่พยายามจะขวางรถ
แม้เยี่ยเทียนจะอายุยังน้อย แต่ก็ได้ติดตามพรตเฒ่าออกท่องทัศนาจรตั้งแต่อายุสิบขวบแล้ว จะนับว่าเป็นผู้เจนจัด ในยุทธภพคนหนึ่งก็ว่าได้
แต่ละเรื่องที่เขาทำลงไปนั้น ต่างก็อยู่ในขอบเขตที่บุคคลบางคนหรือหน่วยงานกฎหมายบางแห่งสามารถยอมรับได้ ทั้งนั้น อย่างช่วงก่อนหน้านี้ที่เปิดบริษัทไป พอเยี่ยเทียนเริ่มเห็นท่าไม่ดีเพียงเล็กน้อย ก็รีบปิดบริษัททันที จึงทำให้เขารอดพ้น การติดตามตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปได้
ส่วนสมาคมหงเหมินนั้นถือกำเนิดจากองค์กรต่อต้านรัฐบาลในประเทศ แม้ว่าในสมัยนั้นจะชูอุดมการณ์ ‘โค่นชิงฟื้น หมิง’ แต่ก็ผู้ที่มาร่วมกันก่อตั้งก็มักจะมีแต่พวกเย่อหยิ่งจองหองชอบต่อต้าน ฝ่ายทางการคงจะไม่เห็นดีเห็นงามต่อสมาคมแบบ นี้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเมื่อคำนึงถึงชีวิตอันสงบสุขและมั่นคงของตนในภายภาคหน้า ต่อให้ถังเหวินหย่วนพูดแล้วมีดอกบัวร่วงออกมา จากปาก เยี่ยเทียนก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า จะไม่เข้าไปพัวพันกับสมาคมนี้เด็ดขาด
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก แต่เป็นเรื่องส่วนตัวของผมน่ะ…” พอเห็นเยี่ยเทียนหยุดฝีเท้าลง ถังเหวินหย่วนก็ผ่อนคลายลง
“เหรอครับ? แล้วเรื่องอะไรล่ะเหล่าถัง?”
เยี่ยเทียนเอ่ยถาม และก็เริ่มเรียกเหล่าถังจนชินปากมากขึ้นทุกที ถ้าในห้องนั้นมีคนที่รู้จักตัวตนของถังเหวินหย่วน มาอยู่ด้วยแล้วละก็ คงได้ช็อกจนคางร่วงลงไปอยู่บนพื้นแน่
“คืออย่างนี้นะ หลานสาวของผมสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด หาหมอมาหลายปีแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไปหาพระ หาเจ้าแล้วก็ไม่ได้ผล ผม…ผมเลยอยากจะขอของขลังอีกสักชิ้นหนึ่ง หวัง…หวังว่าอาจารย์เยี่ยจะกรุณา…”
สุขภาพของหลานสาวย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แถมดวงชะตาก็ดูจะไม่ดีเอาเสียเลย หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุรถยนต์คราวก่อน ตอนอยู่ฮ่องกงก็เกือบจะถูกคนลักพาตัวไปแล้ว ทำให้ถังเหวินหย่วนกลัดกลุ้มใจอยู่ไม่หาย คราวนี้ที่มาหาเยี่ยเทียน ก็เพราะ ถังเหวินหย่วนอยากจะขอของขลังสักชิ้นหนึ่งมาให้หลานสาวพกไว้คุ้มกันตัว
จากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ถังเหวินหย่วนก็พอจะดูออกแล้วว่า หลัวจื้อปิ่งที่ได้รับการขนานนามเป็นโหราจารย์อันดับ หนึ่งของวงการในจีนนั้น ที่จริงก็เป็นเพียงนักต้มตุ๋นมืออาชีพคนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ชายหนุ่มคนที่อยู่ตรงหน้านี้ กลับคู่ควรที่จะ ได้รับการเรียกขานว่า ‘อาจารย์’ มากกว่า
“อยากได้ของขลัง?”
เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้ว เขายังมีของขลังที่เหมาะสำหรับเด็กผู้หญิงพกพาอยู่อีกหลายชิ้นก็จริง แต่ของพวก นี้จะต้องได้ฤกษ์ประจวบเหมาะถึงจะผลิตขึ้นมาได้ ขนาดคนในครอบครัวของเยี่ยเทียนเองยังมีกันไม่ครบทุกคนเลย เขาจึงไม่ อยากนำไปขายอีกแล้ว
“ใช่ๆ เยี่ยเทียน คุณขายให้ผมสักชิ้นเถอะนะ!”
พอเห็นเยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ถังเหวินหย่วนก็เริ่มรู้สึกเครียดขึ้นมา “เด็กผู้หญิงคนเมื้อกี้ก็คือหลานผมเอง ชื่อถังเสวียเสวี่ย ผม…ผมอยากจะหาของขลังสักอย่างหนึ่งมาให้เธอน่ะ!”
จะว่าไปแล้วตระกูลของถังเหวินหย่วนนี่ก็ประหลาดนัก มีลูกหลานผู้ชายดกเหลือกเกิน เขามีลูกชายอยู่ทั้งหมดสี่คน มีหลานชายสิบกว่าคน แต่ว่าไม่มีลูกสาวเลย แม้แต่หลานสาวก็ยังมีแค่คนเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณท่านจึงรักเอ็นดูหลานสาวคนเดียวนี้มากอย่างสุดเปรียบปาน หลายปีมานี้ก็เสียเงินไปไม่รู้เท่าไร แต่สุขภาพและดวงชะตาของหลานสาวก็ดูเหมือนจะไม่ได้ดีขึ้นมาเลย
“สุขภาพไม่ดีก็ไปหาหมอสิครับ…”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เมื่อก่อนเขาไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับของขลังเท่าไรนัก แต่ตอนนี้พอรู้แล้วว่าของขลังนั้นทรงคุณค่า เพียงใด เขาจึงตั้งใจจะเก็บของขลังที่มีอยู่เหล่านั้นไว้ให้คนในครอบครัวอย่างพวกป้าๆ หรือไม่ก็พ่อของเขา
“ถ้าไปหาหมอแล้วได้ผล ผมก็คงไม่ต้องบากหน้าแก่ๆ นี่มาขอร้องคุณแล้วละ…”
ถังเหวินหย่วนส่ายหน้า แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เยี่ยเทียน เอาของขลังแบบที่เหมือนคราวก่อนนั่นก็ได้ ผมยอมจ่ายสิบล้านเลย ไม่สิ…ยี่สิบล้านก็ได้เอ้า!”
เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนก็ดูออกแล้วว่า เขายังมีของอยู่ เพียงแต่ไม่อยากขายให้ตัวเองเท่านั้น
แน่นอน ถังเหวินหย่วนก็ไม่ได้คิดว่าเยี่ยเทียนทำไม่ถูก วัตถุที่สามารถรักษาชีวิตในยามคับขันได้เช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็น ถังเหวินหย่วนเอง เขาก็คงไม่อยากขายให้คนอื่นเหมือนกัน
แต่ถังเหวินหย่วนเป็นนักธุรกิจ ในความคิดของเขานั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ รวมไปถึงคนและความรัก ต่างก็ สามารถเรียกได้ว่าเป็นสินค้าทั้งนั้น ในเมื่อเป็นสินค้า อย่างนั้นก็ต้องมีราคา เขาจึงเอ่ยปากเสนอราคาที่สูงลิ่วถึงยี่สิบล้านไป ก่อนเลย
“เท่าไหร่นะ? ยี่สิบล้าน?!”
เยี่ยเทียนเองก็ตกตะลึงกับราคาที่ถังเหวินหย่วนเสนอมาเหมือนกัน ทรัพย์สินที่เขามีอยู่ตอนนี้สิริรวมแล้วก็ยังมี แค่แปดล้านกว่าหยวน ซึ่งก็คือเงินที่จะได้เมื่อนำตั๋วเงินหนึ่งแสนดอลล่าร์สหรัฐในกระเป๋าไปแลกมานั่นเอง เงินจำนวนยี่สิบล้าน นี้ ทำให้เยี่ยเทียนชักจะเริ่มหวั่นไหวขึ้นมาจริงๆ แล้ว
ราคาที่ถังเหวินหย่วนเสนอมานี้ ทำให้แม้แต่หลัวจื้อปิ่งที่อยู่ข้างๆ ก็ยังต้องมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยความอิจฉา
ควรทราบว่า ‘อาจารย์หลัว’ แม้จะเป็นนักต้มตุ๋นระดับสูง แต่เพื่อที่จะรักษาภาพลักษณ์และสถานะของผู้เป็น ‘อาจารย์’ เอาไว้ ปกติจึงรับเสี่ยงทายอยู่เดือนละสองสามครั้ง เงินยี่สิบล้านสำหรับเขาก็นับว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน
“ก็ยี่สิบล้านนั่นแหละ! เยี่ยเทียน ถ้าคุณรู้สึกว่ายังไม่พอ อยากจะขอเพิ่มเท่าไหร่ก็เสนอมาได้เลยนะ…”
สำหรับถังเหวินหย่วน เมื่อเปรียบเทียบกับหลานสาวคนเดียวของตัวเองแล้ว ในสายตาของเขาเงินยี่สิบล้านก็ไม่ได้มี ความหมายอะไรเลย เขาทั้งเต็มใจและก็มีกำลังทรัพย์ที่จะจ่ายเงินจำนวนนี้เพื่อซื้อความปลอดภัยให้แก่หลานสาว
เมื่อได้ยินถังเหวินหย่วนพูดดังนั้น เยี่ยเทียนก็เริ่มมีแววตาสับสนขึ้นมาเล็กน้อย เงินยี่สิบล้านนี้สำหรับคนหลายๆ คน นับว่าเป็นจำนวนเงินมหาศาลที่ชาตินี้ทั้งชาติอาจจะไม่มีวันหามาได้เลยด้วยซ้ำ
อย่างพ่อของเยี่ยเทียนเอง หลังจากทำธุรกิจมาสิบกว่าปี ก็ยังมีทรัพย์สินอยู่เพียงสามสี่ล้าน และส่วนมากก็ลงไปอยู่ใน ตัวสินค้าซึ่งก็คือวัตถุโบราณเหล่านั้น ส่วนเงินสดที่สามารถนำออกมาใช้จ่ายได้นั้น เยี่ยเทียนกะว่าคงมีอยู่ไม่เกินหนึ่งล้าน
แม้กระนั้น ครอบครัวของเยี่ยเทียนก็ถือว่าร่ำรวยมากพอสมควรแล้ว ดังนั้นจึงอดจินตนาการไม่ได้ว่า ถ้าได้ครอบครอง ทรัพย์สินสักยี่สิบล้าน อย่างนั้นชีวิตของเขาจะดำเนินไปแบบไหนกันนะ?
ผ่านไปเจ็ดแปดนาทีเต็มๆ สีหน้าท่าทางของเยี่ยเทียนก็กลายเป็นดูแน่วแน่ขึ้นมา มองไปที่ถังเหวินหย่วนแล้วตอบว่า “เหล่าถัง คงต้องทำให้คุณผิดหวังแล้วละ ของขลังนี่…ผมก็ไม่มีเหลือแล้วเหมือนกัน!”
“อะไรนะ?! คุณไม่มีแล้ว?”
ตอนแรกถังเหวินหย่วนมั่นใจมากว่าการเจรจาซื้อขายครั้งนี้ต้องประสบความสำเร็จแน่นอน พอได้ยินเยี่ยเทียนตอบ มาอย่างนั้น จึงลุกพรวดพราดขึ้นมาทันที เขาไม่เชื่ออยู่แล้วว่าเยี่ยเทียนจะไม่มีของขลังเหลืออีก และเขาก็ตกตะลึงที่เยี่ยเทียน ถึงกับปฏิเสธราคาที่เขาเสนอออกไป
“เยี่ยเทียน ของขลังนี่มันสำคัญกับผมมากเลยนะ ไม่อย่างนั้นก็…สามสิบล้านเลย พอไหมล่ะ?” ถังเหวินหย่วนยังไม่ ยอมแพ้ เสนอราคาใหม่ให้อีก
“เหล่าถัง เรื่องนี้น่ะอย่าพูดถึงกันอีกเลย ผมไม่มีของขลังแล้วจริงๆ …” คราวนี้เยี่ยเทียนไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยนิด ปัดปฏิเสธไปตรงๆ ด้วยแววตามุ่งมั่นเต็มที่
ถ้าจะพูดว่า เงินมากกว่าสิบล้านนี้ไม่ได้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกหวั่นไหวเลย อย่างนั้นก็คงจะเป็นการพูดโกหก แต่ขณะที่ เยี่ยเทียนกำลังจะตอบตกลงกับถังเหวินหย่วนไป เขาก็พลันคิดได้ถึงหลักการข้อหนึ่ง
คราวนี้ถังเหวินหย่วนเอาเงินยี่สิบล้านมายั่วกิเลสเขา ถ้าเขาไม่สามารถต้านทานต่อความเย้ายวนนี้ได้ อย่างนั้นหาก ครั้งต่อไปมีคนมาหาเขาอีก แล้วเสนอราคาที่สูงยิ่งกว่านี้ เขาจะยังสามารถต่อรองอะไรได้อีกหรือ?
คนเรานั้นไม่ว่าจะทำเรื่องอะไร ขอเพียงเริ่มก้าวแรกไปแล้ว กล่องแพนโดราก็จะถูกเปิดออก กิเลสนั้นไร้ซึ่งขอบเขต หากไม่สามารถควบคุมกิเลสของตัวเองเอาไว้ได้ สุดท้ายก็จะต้องจมดิ่งอยู่ในกิเลสนั้น
เมื่อคิดถึงหลักการข้อนี้ได้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบขึ้นมาทันที ถ้าวันนี้เขายอมขายของขลังไปเพื่อเงินยี่สิบล้าน จริงๆ ละก็ ชั่วชีวิตนี้เขาอาจจะไม่สามารถบรรลุทางจิตใจได้อีกแล้ว
“เฮ้อ อย่างนั้นก็ช่างเถอะ ชะตาของเสวียเสวี่ยก็คงจะต้องเป็นแบบนี้แหละนะ…”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนตอบปฏิเสธมาอย่างแน่วแน่เหลือเกิน ถังเหวินหย่วนก็ถอนหายใจยาว ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เขาก็ อาจจะยังพยายามใช้วิธีอื่นอีก แต่เมื่ออีกฝ่ายคือเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนจึงไม่กล้า!
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่า เยี่ยเทียนมีตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาเลยในกลุ่มชิงปัง ลำพังแค่การที่เยี่ยเทียนเป็นซินแสฮวงจุ้ย ก็พอที่ จะทำให้ถังเหวินหย่วนไม่กล้าเหิมเกริมด้วยแล้ว ศิษย์ของหลี่ซั่นหยวน เจ้าพ่อแห่งกลุ่มชิงปังในสมัยก่อน ใช่พวกที่จะไปตอแย ได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน?
“เหล่าถัง ชะตานี่…มันก็เปลี่ยนกันได้นะ!”
เมื่อเห็นท่าทางของถังเหวินหย่วน เยี่ยเทียนก็กลับเกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมา จึงเอ่ยขึ้นว่า “เหล่าถัง เรียกหลานสาว คุณมาสิ ผมจะลองดูให้ว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่…”
ตามที่ถังเหวินหย่วนบอกมาเมื่อก่อนหน้านี้ ถังเสวียเสวี่ยก็ไม่ได้เป็นโรคอะไร เพียงแต่ร่างกายอ่อนแอและขาดการ บำรุงเท่านั้น ซึ่งอาจมีความเกี่ยวข้องกับบางสิ่งบางอย่างในดวงชะตาของเธอ บางทีอาจเป็นเพราะธาตุทั้งห้าบกพร่องก็เป็นได้
จริงหรือ? เยี่ยเทียนคุณมีวิธีจริงๆ น่ะหรือ? รอเดี๋ยวนะ ผมจะไปเรียกเสวียเสวี่ยเดี่ยวนี้แหละ!”
เดิมทีถังเหวินหย่วนสิ้นหวังไปแล้ว พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น ก็ลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟาทันที แล้ววิ่งตะบึงออก ไปจากห้องอย่างรวดเร็วชนิดที่ดูไม่สมกับอายุของเขาเลยสักนิด
“เฮ้ เหล่าถัง ผมบอกว่าลองดูเฉยๆ ไม่ได้บอกว่าจะสำเร็จแน่นอนนะ?”
เมื่อเห็นถังเหวินหย่วนวิ่งถลาออกไปจากห้อง เยี่ยเทียนก็อดหัวเราะเจื่อนๆ ไม่ได้ คนบางคนก็ได้รับการกระทบกระ เทือนมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จึงมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด ถ้าถังเสวียเสวี่ยเป็นคนประเภทนี้ เยี่ยเทียนเองก็จนปัญญาเหมือน กัน
“ท่านปู่? เชิญนั่งครับ เดี๋ยวผมจะชงชามาให้อีกนะครับ…”
พอเห็นอาการกลัวตัวเชื้อโรคของเยี่ยเทียนผู้เป็นถึง ‘ท่านอาจารย์’ นี้กำเริบขึ้นมาอีก หลัวจื้อปิ่งเองก็ได้แต่ขำในใจ อย่างขมขื่น แต่กลับยังคงต้องรินน้ำชาให้เยี่ยเทียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก็ใครใช้อีกฝ่ายเป็นถึง ‘ท่านอาจารย์’ ล่ะ?
หลัวจื้อปิ่งไม่ได้รู้ว่าในอดีตหลี่ซั่นหยวนเป็นบุคคลสำคัญอย่างไร ที่เยี่ยเทียนพูดมาเมื่อครู่ว่าสามารถเปลี่ยนชะตา ชีวิตได้นั้น ในใจเขาก็ไม่ได้เชื่อเลยสักนิด ในความคิดเห็นของเขา เยี่ยเทียนเพียงแต่ใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ หลอกหาเงิน จากถังเหวินหย่วนให้ได้มากขึ้นเท่านั้นเอง
แต่นี่ก็ทำให้ ‘อาจารย์หลัว’ รู้สึกทั้งอิจฉาทั้งเลื่อมใสมากยิ่งขึ้นไปอีก ตัวเองลำบากตรากตรำมาเป็นปีถึงจะหาเงินมา ได้สักพันหนึ่ง แต่เยี่ยเทียนแค่วาง ‘อุบาย’ นี่ไปครั้งเดียว ก็จะมีรายได้ถึงห้าหกสิบล้านแล้ว