หลังออกมาจากสถานีป่าไม้แล้ว หูหงเต๋อก็พาเยี่ยเทียนตรงเข้าไปยังในป่า ใบไม้ที่หล่นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงปกคลุมพื้นดินหนาทึบ เมื่อเหยียบลงไปทำให้เกิดเสียงดัง “กรอบแกรบ” ส่งเสียงให้ได้ยินไกลภายในป่าเขาอันเงียบสงบ
ป่าทึบในเขตตะวันออกเฉียงเหนือกับป่าภูเขาเหมาซานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ต้นไม้สูงใหญ่เสียดฟ้ากับเทือกเขาอันทอดยาวไม่รู้จบนั้นไม่มีปรากฏในภูเขาเหมาซาน ให้ความรู้สึกดิบเถื่อนทั้งยังเหมือนโลกดึกดำบรรพ์
“เหล่าหู ไหนบอกว่าห้ามล่าสัตว์แล้วไม่ใช่เหรอครับ? ทำไมถึงยังล่ากวางได้อยู่ล่ะ?” ขณะอยู่ระหว่างทางไปยังที่พักของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนก็เอ่ยปากชวนเขาคุย
“กฎห้ามล่าสัตว์นั่นไว้สำหรับคนที่อยู่ในเมือง คนที่ใช้ชีวิตอยู่บนเขาฉางไป๋ บ้านไหนจะไม่มีปืนล่าสัตว์สักสองกระบอก? ห้ามกันได้หรือไง?”
หูหงเต๋อส่ายหน้าแล้วว่าต่อ “ในภูเขามีกวางเยอะ แถมยังล่าสะดวก พรุ่งนี้พวกเรามาดูกันว่าจะเจอไหม แล้วฉันจะให้เธอลองกินเนื้อกวาง”
“โอเคครับ ถ้าได้เจอเสือสักตัวก็คงดี”
ในสมองของเยี่ยเทียนไม่มีความคิดเรื่องคุ้มครองสัตว์ป่า ตั้งแต่อายุแปดขวบเขาก็เริ่มออกล่าสัตว์ในเขาเหมาซานแล้ว สัตว์เล็กสัตว์น้อยจำพวกสุนัขจิ้งจอกที่เดิมเคยอยู่รอบนอกเขาเหมาซาน จึงถูกเยี่ยเทียนไล่หนีกระเจิดกระเจิงเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของเขาเหมาซาน
“เสือมีเหลือไม่มากแล้ว จิ้งจอกต่างหากที่มีไม่น้อย เพียงแต่เจ้าพวกนั้นมันเจ้าเล่ห์กว่า เสื้อหนังจิ้งจอกไฟที่อยู่บนตัวนี่ ก็ล่ามาได้เมื่อสิบกว่าปีก่อนโน่น”
พอพูดถึงเสื้อกั๊กหนังจิ้งจอกไฟที่อยู่บนร่าง หูหงเต๋อก็ทำหน้าภูมิอกภูมิใจ เคยมีพ่อค้าขนสัตว์เห็นเข้าแล้วเสนอราคาถึงสี่แสนดอลลาร์สหรัฐ แต่เขาก็เสียดายขายไม่ลงมาตลอด
จิ้งจอกไฟเป็นสัตว์ลึกลับในโลกแห่งธรรมชาติ น้อยคนนักจะได้เห็นมันเต็มตัว จึงทำให้พวกมนุษย์รู้สึกว่าช่างลึกลับและมีรูปร่างพิสดาร
อีกทั้งจิ้งจอกไฟยังมีพละกำลังแข็งแกร่ง สามารถจุดไฟได้อย่างฉับพลัน ภายในระยะเวลาที่กำหนด ความรวดเร็วของมันนั้นสามารถเปรียบเทียบได้กับเสือชีตาห์ซึ่งวิ่งเร็วที่สุดในโลก
รอบภูเขาฉางไป๋ใครๆ ต่างก็รู้จักจิ้งจอกไฟในภูเขา แต่ไม่มีใครเคยล่ามันได้มาก่อน ในตอนนั้นที่หูหงเต๋อสามารถจับมันได้ทำให้ผู้คนฮือฮากันอย่างมาก
เยี่ยเทียนจึงพูดแกมหยอกล้อ “เหล่าหู ลัทธิลัทธิตะวันและจันทราของพวกคุณนับถือเทพจิ้งจอก ไปล่าพวกมันแบบนี้ มิน่าเล่าคุณถึงเชิญเทพจิ้งจอกมาไม่ได้”
“อะไรกัน? ผมพูดแทงใจดำเหรอ?” เยี่ยเทียนพูดประโยคนี้ออกมาแล้ว เห็นหูหงเต๋อหน้าถอดสีทันที ตัวเองเลยตกใจตามไปด้วย
“เธอพูดแทงใจดำฉันจริง ๆ แหละ”
หูหงเต๋อถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “ตั้งแต่ล่าจิ้งจอกตัวนี้ วิชาคาถาง่ายๆ พวกนั้นที่ฉันเคยใช้ได้มาก่อน ก็ใช้ไม่ได้อีกเลย ไม่อย่างนั้นคู่ชีวิตของฉัน ก็คงไม่……”
คนฝึกวรยุทธส่วนใหญ่มีนิสัยชอบประเมินฝีมือ ตอนนั้นหลังจากที่หูหงเต๋อเห็นจิ้งจอกไฟตัวนี้ ก็ไม่ทันได้คิดถึงว่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับการอัญเชิญมหาเทพของตระกูลตน จึงทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อสังหารจิ้งจอก
ถึงแม้ว่าภายหลังจะไม่มีเหตุการณ์มหาเทพจิ้งจอกลงทัณฑ์อะไร แต่ว่า วิชาคาถาอาคมอันผิวเผินที่เขาเคยใช้ได้นั้น กลับไม่สามารถแสดงออกมาได้อีกเลย
“เอาเป็นว่าไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้วดีกว่า รีบหาหญ้าคืนวิญญาณกันเร็วๆ เถอะ ผมว่านะเหล่าหู พืชพรรณบนเขานี้ล้วนแห้งเหี่ยวกันหมดแล้ว คุณจะยังหาหญ้าคืนวิญญาณเจออีกเหรอ?” เห็นว่าตัวเองพูดถึงเรื่องจี้ใจดำหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนจึงรีบเปลี่ยนประเด็น
“ได้สิ ฉันจำได้ว่าตอนข้ามเขาข้างหน้าลูกนั้น ในป่าโปร่งตรงเนินเขาริมลำธารมีผักเฝือกลาขึ้นอยู่ พรุ่งนี้เช้าพวกเราไปขุดดูก็รู้เอง”
หูหงเต๋อและเยี่ยเทียนล้วนเป็นคนเดินบนเขาได้ไกล แม้ปากจะพูดไป แต่ฝีเท้าก็ไม่ช้าลงแม้แต่น้อย ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นก็ปีนมาถึงครึ่งเขาลูกนั้น และก็เป็นบ้านของหูหงเต๋อ
กระท่อมไม้สามห้องสร้างจากไม้ซุงก่อขึ้นเป็นทรงสามเหลี่ยม ตรงกลางมีลานไม่ใหญ่นัก รอบด้านทั้งสี่ของกระท่อมไม้ยังมีรั้วเรียงเป็นแถว บนรั้วแขวนกระดิ่งเล็ก ๆ จำนวนหนึ่ง เอาไว้สำหรับเตือนภัยและขับไล่สัตว์ป่า
“โฮ่ง……โฮ่งๆ!”
จากเสียงสุนัขเห่า มีสุนัขขนเหลืองตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากรั้วบ้าน ส่ายหางใส่หูหงเต๋อ แล้วจดจ้องสายตามายังเยี่ยเทียน
สุนัขมีสัญชาตญาณสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายยิ่งกว่ามนุษย์หลายต่อหลายเท่า สุนัขสีเหลืองตัวนี้เคยต่อสู้กับเสือและสุนัขป่าบนเขา แต่เป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงเลือดลมอันพุ่งพล่านจากร่างกายของเยี่ยเทียน
หูหงเต๋อใช้มือลูบลงบนหัวสุนัข กล่าวว่า “เจ้าเหลือง เขาเป็นแขกที่ต้องเคารพอย่างที่สุดของเรา ทำตัวเป็นมิตร หน่อย!”
“หงิงๆ……”ราวกับสามารถฟังคำพูดของหูหงเต๋อรู้เรื่อง เจ้าเหลืองส่งเสียงครางหงิงออกมาจากปาก ใช้จมูกดมที่เท้าของเยี่ยเทียน แล้วหันร่างจากไป
“อย่าเห็นว่าเจ้าเหลืองเป็นหมาขี้เรื้อนเชียว สัตว์ป่าบนเขานี้ไม่มีตัวไหนกัดสู้มันได้หรอก”
หูหงเต๋อยิ้มพลางเปิดรั้วไม้ กล่าวว่า “เยี่ยเทียน เข้ามาสิ ฉันจะจัดแจงของกินหน่อย พวกเราดื่มกันอีกเล็กน้อย แล้วเดี๋ยวเธอก็พักในห้องของเสี่ยวเซียนซะ”
กระท่อมไม้สามห้องนี้แบ่งเป็นห้องของหูหงเต๋อและห้องของหลานสาว และยังมีอีกห้องหนึ่งเอาไว้เก็บของจิปาถะ บางครั้งเมื่อมีพรานป่าผ่านทางมาก็สามารถขอพักแรมข้างในได้
“ครับ ที่นี่ช่างเป็นธรรมชาติดั้งเดิมจริงๆ นะครับ?”
ภาพทั้งหมดตรงหน้าสายตาเยี่ยเทียนนั้น ล้วนสดใหม่มาก กระทั่งท่อนซุงใกระท่อมยังมีเปลือกไม้เหี่ยวย่นติดอยู่ เป็นงานก่อสร้างที่ให้ความรู้สึกสัมผัสยุคดึกดำบรรพ์เป็นที่สุด
พออยู่ที่นี่แล้ว เยี่ยเทียนถึงขั้นมีความรู้สึกราวกลับไปยุคสมัยโลกดึกดำบรรพ์ เมื่อหมื่นปีก่อน คนสมัยโบราณคงจะเป็นอย่างนี้ ใช้เงื่อนไขอันหยาบและเรียบง่ายต่อสู้ฝ่าฟันกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่
“พลังชี่ดั้งเดิมก็ไม่อ่อนด้อย มิน่าล่ะหูหงเต๋อถึงสามารถดึงนอกมาสู่ใน ฝึกวิชาของสำนักอื่นจนกลายเป็นพลังแอบซ่อนอยู่ภายในได้”
เยี่ยเทียนสูดลมหายใจลึก พลังซึ่งแยกตัวอย่างอิสระระหว่างฟ้าดินนั้นแม้ไม่เข้มข้นอย่างเรือนสี่ประสาน แต่ก็บริสุทธิ์อย่างยิ่ง ไหลรินเป็นสายเข้าสู่ในร่างกายเยี่ยเทียน ให้ความรู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ที่สำคัญ พลังชี่ดั้งเดิมแห่งฟ้าดินนั้นไม่เพียงใช้สำหรับผู้ฝึกวิชาเต๋า หากคนธรรมดาอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีพลังชี่ดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ ร่างกายก็จะได้รับการทะนุบำรุงทำให้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
ร่างกายของหูหงเต๋อก็เป็นร่างกายของผู้ฝึกวรยุทธ์ เมื่อเติบโตอาศัยอยู่ที่นี่ อาการบาดเจ็บในร่างกายที่สะสมจากวิชาสำนักอื่นพวกนั้น ล้วนถูกพลังชี่ดั้งเดิมเหล่านี้ส่งผลให้เยียวยารักษาจนหายโดยไม่รู้ตัว
“เยี่ยเทียน มากินข้าวเถอะ วันนี้ฟ้ามืดแล้ว ไม่งั้นฉันคงเข้าป่าไปล่ามังกรบินมาสักสองสามตัวให้เธอกินแล้วล่ะ”
บ้านของหูหงเต๋อแขวนเนื้อหมูป่าและเนื้อสัตว์ตากแห้งอยู่เต็มไปหมด หลังเข้าครัวทำกับข้าวไม่กี่จานด้วยตัวเองแล้ว ก็เรียกเยี่ยเทียนให้มานั่งริมโต๊ะ
ในบ้านจุดเตาผิงไว้ ดื่มเหล้าเซาเตาจื่อหกสิบดีกรี พลางฟังเรื่องเล่าเมื่อเก้าถึงสิบปีก่อนจากหูหงเต๋อ ข้างหูได้ยินเสียงสุนัขป่าหอนดังมาจากในเขาเป็นระยะ ประสบการณ์เหล่านี้ล้วนไม่สามารถหาได้จากในเมือง
เยี่ยเทียนไม่ได้ใช้ทักษะควบคุมความแรงของเหล้า คืนนั้นจึงดื่มจนเมามายหลับสนิทเป็นพิเศษ เช้าวันต่อมาลุกขึ้นจากเตียงเปิดบานประตูไม้ ลมเย็นพัดมาปะทะใบหน้า ให้ความรู้สึกสดชื่นตื่นตัว
หูหงเต๋อกำลังเตรียมตัวอยู่ในลานบ้าน เห็นเยี่ยเทียนออกมาก็ร้องเรียก “เยี่ยเทียน ไปกันเถอะ ไปเช้าหน่อยจะได้กลับเร็วขึ้น!”
“เหล่าหู คุณเอาม้วนเชือกสีแดงไปด้วยทำไมหรือครับ?” เห็นหูหงเต๋อแบกปืนล่าสัตว์แล้ว ยังนำเอาเชือกสีแดงยัดใส่ลงในกระเป๋าสะพาย เยี่ยเทียนจึงอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
หูหงเต๋อยิ้มตอบ “ฉันเก็บตะลุมพุกอยู่ต้นหนึ่งบนเขา ขึ้นเขาไปครั้งนี้จะไปเด็ดออกมาให้เธอนำไปให้ท่านอาบำรุงร่างกาย”
“ตะลุมพุก? มันคืออะไรกันครับ?” เยี่ยเทียนตกตะลึง
“เป็นวิธีเรียกของพวกเราที่นี่ ก็คือโสมนั่นแหละ” หูหงเต๋อทำหน้าเสีย “เฮ้อ เมื่อปีที่แล้วฉันขายโสมสามร้อยปีไปต้นหนึ่ง รู้อย่างนี้เก็บไว้ให้ท่านอาดีกว่า โสมบนเขานี้หาได้ยากขึ้นทุกที”
“โสมภูเขาสามร้อยปีเหรอ?” เยี่ยเทียนถามขึ้น “เหล่าหู คุณขายไปเท่าไหร่ครับ?”
หูหงเต๋อสูดริมฝีปาก กล่าวว่า “สามล้าน เป็นลูกค้าเก่ามารับไป ฉันเลยไม่ได้สนใจเรื่องราคาน่ะ”
“สามล้าน?!”
เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้สนใจว่าหูหงเต๋ออายุกว่าหกสิบแล้ว เกือบจะด่าออกไปตรง ๆ “ผมว่านะเหล่าหู คุณคงไม่ใช่ว่าถังแตกอยู่ใช่ไหม? โสมอายุสามร้อยปีขายได้ถึงเจ็ดแปดล้านเชียวนะ สามร้อยปีต้นนี้คุณขายไปแค่สามล้านเองเหรอ?!”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เยี่ยเทียนทะลวงชีพจรให้ถังเสวี่ยเสวี่ย ถังเหวินหย่วนแทบจะเหมาโสมภูเขาป่าจากตลาดสมุนไพรในเหอเป่ยจนเกลี้ยง ใช้จ่ายเงินไปกว่าสิบล้านหยวน ลำพังเพียงเพื่อราชาโสมร้อยปีต้นนั้น ก็จ่ายไปเกือบสิบล้าน
มาได้ยินว่าหูหงเต๋อขายโสมแก่อายุสามร้อยปีทิ้งในราคาสามล้าน เยี่ยเทียนก็ร้องขึ้นด้วยความเสียดาย ที่สำคัญ ปัจจุบันนี้อย่าว่าแต่โสมอายุสามร้อยปีเลย เพียงแค่เก้าหรือสิบปีก็หาไม่ได้แล้ว
“ฉันเองก็รู้ว่าราคานั้นมันถูกเกินไป แต่ว่าฉันเอาเงินมากขนาดนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์นี่ อีกอย่างฝ่ายตรงข้ามก็เป็นลูกค้าเก่า ก็เลยให้เขาไป เยี่ยเทียน นายเห็นว่าโสมมีประโยชน์เหรอ?”
เยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้านั้นที่จริงมีความอาวุโสกว่าหูหงเต๋อหนึ่งขั้น แม้ว่าจะพูดจาไม่เข้าหู แต่ตาแก่หูก็ไม่นึกโกรธแม้แต่น้อย ก็ใครใช้ให้ศิษย์พี่กับผู้เฒ่าของครอบครัวเขาดื่มเหล้าโลหิตสาบานเป็นพี่น้องกันล่ะ
“เหล่าหู คุณถามได้ซื่อมากเลย คุณสมบัติของโสมจะไม่มีประโยชน์กับคนฝึกวรยุทธ์ได้ยังไง?” เยี่ยเทียนพูดออกมาอย่างหงุดหงิด
“งั้นก็ได้ ตะลุมพุกต้นนั้นที่ฉันเก็บไว้ก็มีอายุถึงสองร้อยปีเหมือนกัน นายเอาไปให้ท่านอาซะ นอกจากนั้นยังมีห้าสิบกว่าปีขึ้นไปอีกหลายต้น ถ้าหากเธอสามารถใช้ได้ ฉันจะเก็บออกมาให้หมดเลย!”
คนที่มีประสบการณ์การเก็บโสม จะไม่เห็นโสมแล้วเก็บในทันที อย่างเช่นหูหงเต๋อ หลังจากที่พบโสมแล้วมักจะทำเครื่องหมายไว้ด้านข้างเสมอ รอให้ถึงเวลาใช้งานจึงค่อยไปเก็บ
“ตกลงครับ ถึงตอนนั้นผมจะขอดูเป็นประสบการณ์”
โสมคนที่เยี่ยเทียนกินเข้าไปในท้อง ว่ากันอย่างน้อยก็ปาเข้าไปถึงหนึ่งร้อยแปดสิบต้นแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นขั้นตอนการเก็บโสมจริง ๆ เลย พอได้ยินหูหงเต๋อว่าอย่างนี้เลยเกิดความสนใจขึ้นมา
ทั้งสองคนพูดพลางออกจากกระท่อมไม้ เจ้าเหลืองกระดิกหางนำทางอยู่ข้างหน้า เพียงไม่นานก็ข้ามยอดเขาไปแล้ว
ป่าดิบบนหลังเขาแปรเปลี่ยนเป็นทึบหนาขึ้น เมื่อเดินทางทะลุป่าต้นไป๋ฮว่าก็สามารถจินตนาการออกได้ว่า ถ้าหากเปลี่ยนเป็นยามหน้าร้อนที่ใบไม้ขึ้นหนาแน่น น่ากลัวว่าบนหัวจะไม่มีแสงอาทิตย์ส่องลงมาให้เห็น
“เยี่ยเทียน ช้าก่อน” ขณะที่เพิ่งผ่านป่าลึกมา เจ้าเหลืองก็พลันหยุดฝีเท้า อีกทั้งเยี่ยเทียนเองก็ถูกหูหงเต๋อที่อยู่ด้านหลังร้องเรียกเอาไว้
“ทำไมเหรอครับ มีโสมคนเหรอ?”
การเดินทางครั้งนี้เยี่ยเทียนเอาแต่มองซ้ายมองขวา คิดแต่จะหาโสมคน แต่ว่าเวลานี้ไม่ใช่ฤดูโสมคนออกดอก มีเพียงรากฝังอยู่ใต้ดินเท่านั้น ห่างไกลเกินกว่าที่เยี่ยเทียนจะพบเจอ
หูหงเต๋อส่ายหน้ากล่าวว่า “เปล่า ข้างหน้ามีคนขุดหลุมพรางเอาไว้”
หูหงเต๋อเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว โน้มร่างลงเอามือควานเข้าไปในกลางกองใบไม้แห้ง ออกแรงดึงครั้งเดียว พื้นดินก็เผยให้เห็นปากหลุมอันมืดมน
……