หลุมพรางนี้กว้างอย่างมากประมาณสองเมตร แต่ความลึกกลับลงไปถึงสามเมตร ปากแคบท้องกว้าง ด้านล่างเสียบไม้ไผ่เหลาแหลมไว้สิบกว่าแท่งอย่างหนาแน่น ซึ่งหากมีคนไม่ระวังตกลงไปก็จะไม่มีทางรอดชีวิต
“นี่ใครมาขุดหลุมพรางเอาไว้? ให้ตายสิ กระทั่งเครื่องหมายยังไม่ทำไว้เลยเหรอ?”
เห็นสภาพด้านล่างแล้ว เยี่ยเทียนยังอดเหงื่อไหลซึมออกมาจากหน้าผากไม่ได้ หากว่าเขาเหยียบลงไปในหลุม ก็อาจจะตกลงไปเช่นกัน แม้ว่าไม่ไผ่นั่นจะไม่ทำร้ายเขาถึงตาย แต่น่ากลัวว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ
เพราะติดตามเจ้าถิ่นอย่างหูหงเต๋อ ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนจึงไม่ได้ปลดปล่อยพลังจิตเพื่อหยั่งเชิงภยันตราย เวลานี้เขาถึงได้รู้ ว่าป่าดงดิบดั้งเดิมแห่งนี้ก็แอบซ่อนจิตสังหารเอาไว้
“พวกลักลอบล่าสัตว์น่ะ นึกไม่ถึงว่าพวกมันจะมาขุดหลุมพรางถึงในนี้ พวกไม่รู้จักกลัวตาย”
หูหงเต๋อเองก็เผยสีหน้าโกรธขึ้ง ถึงแม้ว่าเขาเองก็ขึ้นเขามาล่าสัตว์เป็นบางครั้ง แต่ก็เพื่อเลี้ยงตนเองให้อิ่มท้อง ไม่เคยนำสัตว์ป่าพวกนี้ออกไปขาย ทั้งยังจำกัดจำนวนที่ล่าอย่างเข้มงวด
แต่ว่าพวกลักลอบล่าสัตว์มืออาชีพนั้นแตกต่างไป บนฟ้าออกล่ายันมังกรบิน บนพื้นล่ากวางเสือและหมีดำ สำหรับพวกเขาไม่มีสิ่งไหนที่ไม่ล่า ไม่สนใจว่าเป็นหรือตาย
เช่นหลุมพรางขนาดใหญ่นี้ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนและหูหงเต๋อ ก็เอาไว้ดักพวกสัตว์ป่าขนาดใหญ่เช่นเสือหรือเสือดาว
ถ้าหากสังเกตลึกลงไปให้ละเอียดล่ะก็ จะสามารถพบได้ว่าความสั้นความยาวของไม้ไผ่พวกนี้ล้วนมีความละเอียดปราณีต สามารถแทงทะลุช่องท้องของเสือทว่าไม่ทำให้หนังและขนด้านหลังเกิดบาดแผล พวกลักลอบล่าสัตว์พวกนั้นนับว่าลงทุนลงแรงไปมากทีเดียว
“ถึงกับกล้ามาขุดหลุมพรางในเขตของฉันเชียวเรอะ? ตอนนี้ยังไม่มีเวลาจัดการพวกมัน รอให้เสี่ยวเซียนฟื้นขึ้นมาก่อน แล้วฉันจะไปคิดบัญชีกับพวกมัน!”
ผู้เป็นใหญ่บนเขาฉางไป๋ แต่ไหนแต่ไรไม่ใช่เสือตะวันออกเฉียงเหนือที่อยู่บนเขา แต่ว่าเป็นเหล่าพวกลักลอบล่าสัตว์พวกนี้ที่อาศัยรายล้อมรอบภูเขา ช่วงเวลายาวนานนับตั้งแต่ก่อนยุคปฏิรูปเศรษฐกิจจวบจนหลังปฏิรูปเศรษฐกิจ หูอวิ๋นเป้านั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นราชาแห่งเขาฉางไป๋ ไม่มีใครกล้าท้าทายตำแหน่งของเขา
จนกระทั่งหูอวิ๋นเป้าจากไปเมื่อยุคปี 7-80 หูหงเต๋อก็มีชื่อเสียงโด่งดังบนเขาฉางไป๋ พวกพ่อค้าโสมนับพันนับหมื่นที่ล่าสัตว์และเก็บของป่าบนเขา จะมีก็เพียงหูหงเต๋อคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเข้าไปในเขาฉางไป๋ด้วยมือเปล่า
นอกจากล่าจิ้งจอกไฟตัวนั้นแล้ว หูหงเต๋อยังเคยฆ่าเสือและเสือดาวด้วยมือเปล่า หากเอ่ยถึงชื่อเขาแล้ว ไม่มีใครที่ไม่ยกนิ้วให้
แต่ว่าหูหงเต๋อก็ยังคงยึดมั่นในหลักการมาตลอด นั่นก็คืออยู่กับป่ากินของป่า พวกลักลอบล่าสัตว์รอบๆ จะมาล่าจับสัตว์ไปกิน เขาไม่เคยว่ากล่าวอะไร ต่อให้คุณฆ่าเสือตัวหนึ่งเพื่อมาดองเหล้าดื่ม หูหงเต๋อก็จะทำเป็นว่ามองไม่เห็น
แต่ถ้าหากมีการล่าฆ่าสัตว์อย่างป่าเถื่อนเป็นระบบเพื่อค้าขายเอากำไร หูหงเต๋อกลับไม่สามารถนิ่งดูดายได้ ช่วงไม่กี่ปีผ่านมานี้มีพวกลักลอบล่าสัตว์ที่ถูกเขาจับตัวส่งให้ตำรวจป่าไม้ ว่ากันอย่างต่ำก็ถึงสิบกว่าคนแล้ว
คนพวกนี้แม้จะเกลียดหูหงเต๋อเข้ากระดูกดำ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ เมื่ออยู่บนเขาพวกเขาไม่ใช่คู่มือของหูหงเต๋อแม้แต่น้อย และด้วยสาเหตุนี้แนวเขาโดยรอบกระท่อมไม้ที่หูหงเต๋ออาศัยอยู่ จึงไม่มีการเคลื่อนไหวของพวกลักลอบล่าสัตว์เลย
แต่เมื่อวันนี้มีหลุมพรางปรากฏขึ้น ก็แปลได้ว่าคนพวกนั้นได้คืบคลานเข้ามายังเขตพื้นที่ของหูหงเต๋อ หากไม่ใช่เพราะใจนึกพะวงอยู่กับหลานสาว หูหงเต๋อจะไม่มีทางปล่อยผ่านสายตาไปแน่
“เยี่ยเทียน รอฉันสักครู่นะ ฉันจะกลบหลุมนี่ซะ!”
หูหงเต๋อคว้าพลั่วพับขนาดสั้นออกมาจากกระเป๋าสะพายด้วยสีหน้าขมึงทึง ตักดินเหนียวที่คนพวกนั้นขุดออกมาแอบซ่อนไว้ในกองหญ้าแห้งข้างเคียงถมลงไปในหลุม แม้ว่าจะไม่อาจถมจนเต็ม แต่ก็ไม่สามารถทำร้ายพวกสัตว์ป่าที่ผ่านทางมาได้อีก
การกระทำนี้ทำให้ล่าช้าไปกว่าครึ่งชั่วโมง หลังจากวุ่นวายกันเสร็จสิ้นแล้ว หูหงเต๋อก็ก้มลงมองนาฬิกาพกทองคำเงางามที่สะโพก พูดขึ้นว่า “วันนี้ไม่มีปัญญาไปเก็บโสมแล้วล่ะ เวลาเหลือน้อย เยี่ยเทียน เธอมาเดินข้างหลังฉัน เผื่อด้านหน้ายังมีหลุมพรางอีก”
“ครับ คุณเองก็ระมัดระวังด้วยล่ะ”
เยี่ยเทียนไม่อวดเก่ง ติดตามหูหงเต๋ออยู่ทางด้านหลัง แต่ว่าคราวนี้เขากลับปลดปล่อยพลังจิตออกมา เพื่อสัมผัสหาตำแหน่งที่อาจนำอันตรายมาให้เขาจากข้างหน้า
การเดินทางไปคราวนี้ ยังพบหลุมพรางเล็กใหญ่แตกต่างกันอีกสามหลุม แล้วยังมีกับดักล่าสัตว์ขนาดใหญ่อีกสิบกว่าชิ้น มีครั้งหนึ่งที่หากเยี่ยเทียนไม่รู้สึกตัวไว เจ้าเหลืองก็อาจถูกกับดักไปแล้ว
“ให้ฉันจับเจ้าพวกนี้เถอะ ไม่ให้ถลกหนังพวกมันออกมาคงไม่ได้!”
หูหงเต๋อหน้าดำคร่ำเครียด ฝ่ายตรงข้ามเจตนาอวดศักดาโดยการวางหลุมพรางไว้มากมายขนาดนี้ แสดงออกอย่างเด่นชัดว่าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ทำให้หูหงเต๋อผู้ถือสัจจะแห่งเขตเขาฉางไป๋แทบจะหมดสิ้นความอดทน
“เหล่าหู ควบคุมอารมณ์ไว้ครับ ไว้หาหญ้าคืนวิญญาณเจอก่อนค่อยว่ากัน โสมคนหากวันนี้ไม่สะดวกเก็บ รอให้เสี่ยวเซียนฟื้นแล้ว ผมจะมาเป็นเพื่อนคุณอีกรอบ!”
เยี่ยเทียนตบบ่าหูหงเต๋อ ในใจก็หงุดหงิดโมโห หลุมพรางที่พวกลักลอบล่าสัตว์พวกนี้วางไว้ไม่มีเครื่องหมายใด ๆ ไหนเลยจะเอาไว้ใช้กับสัตว์ป่าเพียงอย่างเดียว กระทั่งคนก็สามารถหล่นลงไปข้างในได้ นับว่าเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมอำมหิตเหลือเกิน
“ดี ถ้าพวกมันชอบเขาฉางไป๋ขนาดนี้ ก็ให้อยู่ที่นี่กันให้หมด”
ดวงตาของหูหงเต๋อฉายแววสังหารวาบ ไฟโทสะลุกโชนขึ้นอย่างแท้จริง คล้ายกับหูอวิ๋นเป้าผู้เป็นบิดา โดยธรรมชาติหูหงเต๋อก็ไม่ใช่คนดีมีเมตตาอยู่แล้ว ชีวิตคนในน้ำมือเขาก็เป็นเพียงแค่ผักปลา ภายในป่าลึกบนเขาสูงอย่างนี้ ทิ้งคนตายไว้ในหุบเขาสักสองสามคน ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ควานหาไม่พบ
“อืม มีกวางโง่ตัวหนึ่งติดกับ งั้นคืนนี้พวกเราย่างเนื้อกวางกินกัน!”
ในเขตที่มีกับดักสัตว์วางอยู่ เยี่ยเทียนได้เห็นกวางป่าเป็นครั้งแรก สัตว์ชนิดนี้เหมือนกับกวาง แต่ว่าร่างเล็กกว่านิดหน่อย ทั้งเนื้อตัวเป็นสีเหลืองหญ้า เวลาที่นอนอยู่ในกองหญ้าแห้งนั้นยากจะแยกแยะได้
กวางป่าตัวนี้ถูกกับดักที่ขา หูหงเต๋อเองก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง ยื่นมือขวาออกไปจับที่ลำคอกวางแล้วหักคอมันเสีย หลังจากแกะกับดักออกแล้วก็หิ้วมาแบกไว้บนไหล่
“ไปกันเถอะ ขืนสายกว่านี้ฟ้ามืดแล้วจะกลับไม่ได้”
เพราะมัวแต่จัดการหลุมพรางและกับดักสัตว์เหล่านั้น จึงทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย กว่าจะไปถึงจุดที่หูหงเต๋อบอกว่ามีหญ้าคืนวิญญาณขึ้นอยู่ ก็เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว
พอมาถึงยังเนินเขาลูกนั้น หูหงเต๋อก็ชี้ไปยังลำธารสายหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล กล่าวว่า “เยี่ยเทียน ตรงนั้นแหละ ผักเฝือกลาชอบภูมิอากาศร้อนชื้น ทนน้ำขัง เกลียดความแห้งแล้ง ส่วนใหญ่ขึ้นตรงที่ลาดเขา พื้นหญ้าและริมลำธาร”
ลำธารสายนั้นมีความกว้างเพียงหนึ่งเมตรกว่า น้ำใสแจ๋วจนเห็นก้นลำธาร สายน้ำไหลเอื่อยเฉื่อย แต่จากที่หูหงเต๋อว่า พอถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าหิมะละลายแล้ว ลำธารเล็กนี้ก็จะกลับกลายเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง
สองฝั่งริมลำธาร ล้วนเป็นป่าต้นไป๋ฮว่าสูงใหญ่ แต่เมื่อนึกถึงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนแล้ว ป่าไม้หนาแน่นจะปกคลุมลำธารทั้งสาย กลายเป็นพื้นที่อันดีสำหรับหญ้าคืนวิญญาณได้เติบโต
“ดินดำอุดมสมบูรณ์ ไม่ผิดแน่ ใต้ดินนี้จะต้องมีผักเฝือกลาอยู่อย่างแน่นอน!” หูหงเต๋อมาถึงริมลำธาร ก็ควักก้อนดินบนพื้นขึ้นมาดู ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความยินดี
“เหล่าหู ขุดเลยครับ กว่าจะรีบเร่งกลับไปฟ้าก็คงมืดแล้ว อย่ามัวเสียเวลากันอยู่เลย” เยี่ยเทียนเหลือบมองท้องฟ้า พระอาทิตย์ที่อยู่บนหัวกลับถูกเมฆครึ้มก้อนใหญ่บดบังเอาไว้ อีกทั้งยังมีสายลมพัดมา
เยี่ยเทียนไม่กลัวความหนาว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบใส่เสื้อบางตัวเดียวเปียกฝน อีกทั้งเมื่อฝนเทลงมา อุณหภูมิก็จะลดลงอย่างฉับพลัน ยิ่งเมื่อบวกกับทางลื่นแฉะบนเขาแล้ว ทำให้เยี่ยเทียนไม่นึกอยากอยู่ในป่านี้นานนัก
“ตกลง!”
หูหงเต๋อรับคำหนึ่งเสียง เดินไปยังชายป่าห่างจากลำธารสิบกว่าเมตร หลังจากที่ตรวจสอบพื้นหญ้าแห้งแล้ว ก็หยิบพลั่วพับออกมาขุดลงไป
“เจอแล้ว เยี่ยเทียน เธอดูซิว่าใช่เจ้านี่หรือเปล่า? “
เพิ่งขุดไปได้ไม่กี่ที หูหงเต๋อก็ร้องออกมา หญ้าคืนวิญญาณไม่ใช่สมุนไพรหายากอะไร หากมาถูกฤดูกาลแล้ว จะสามารถพบได้ในหลายพื้นที่ของเขาฉางไป๋
” ไม่ผิดแน่ น่าจะเป็นสิ่งนี้นี่แหละครับ เหล่าหู ขุดให้เยอะอีกหน่อย!”
เยี่ยเทียนหยิบรากไม้ชิ้นใหญ่เท่าฝ่ามือ รากชนิดนี้ตรงฐานมีหูเล็กๆ สองข้าง ดูคล้ายหูลาเล็กน้อย มิน่าล่ะคนพื้นที่ถึงเรียกมันว่าผักเฝือกลา
” เหล่าหู พอแล้วครับ เท่านี้ก็พอแล้ว! “
โดยพื้นฐานแล้วหญ้าคืนวิญญาณเติบโตเป็นวงกว้าง ใช้เวลาไม่นาน หูหงเต๋อก็ขุดรากหญ้าคืนวิญญาณออกมาได้เจ็ดแปดชิ้น เยี่ยเทียนเห็นว่าได้จำนวนหนึ่งแล้ว จึงร้องเรียกให้หยุด
หูหงเต๋อนำเอารากหญ้าคืนวิญญาณเหล่านั้นใส่ลงไปในกระเป๋าสะพาย มองเยี่ยเทียนแล้วถามขึ้น “เยี่ยเทียน ของพวกนี้เอาไปใช้ยังไงเหรอ?” ”
“อบให้แห้งแล้วบดเป็นผง จากนั้นบดธูปให้ละเอียดผสมเข้าด้วยกันแล้วจุดไฟครับ”
เยี่ยเทียนมองสีท้องฟ้าแล้วพูดขึ้น “วันนี้น่ากลัวว่าจะไม่ทันแล้ว พวกเรากลับไปยังกระท่อมของคุณกันก่อนดีกว่า เตรียมงานให้เสร็จแล้วค่อยว่ากัน ภายในสามวันนี้เสี่ยวเซียนคงยังไม่น่ามีปัญหาอะไร”
หูหงเต๋อไม่คัดค้านคำพูดของเยี่ยเทียนอยู่แล้ว เขาเป็นคนในภูเขา คาดคะเนดินฟ้าอากาศได้แม่นยำกว่าเยี่ยเทียน กำลังเดาว่าอีกไม่นานเขาฉางไป๋จะได้ต้อนรับหิมะแรกของปีนี้
ตามคาด ขณะที่หูหงเต๋อกับเยี่ยเทียนเร่งรุดมาถึงกระท่อมได้ไม่นาน เกล็ดหิมะก็ล่องลอยบนท้องฟ้า หิมะบนเขาฉางไป๋นั้นแตกต่างกับที่เยี่ยเทียนเคยเห็นมา เพียงเกล็ดหิมะหนึ่งเกล็ดก็มีขนาดใหญ่เท่ากับฝ่ามือเด็ก จนเยี่ยเทียนส่งเสียงออกมาด้วยความประหลาดใจ
ด้านนอกบ้านหิมะตกหนัก แต่ด้านในบ้านกลับอบอุ่นสบาย เตาไฟส่องแสงสะท้อนจนกระท่อมกลายเป็นสีแดงทั้งหลัง ทั้งมีเสียงไม้ฟืนเผาจนแตกดังมาเป็นระยะ
หน้าเตาไฟมีกวางป่าที่ล้างและถลกหนังจนสะอาดแล้วตากอยู่ ภายในท้องถูกหูหงเต๋อยัดเครื่องปรุงลงไปไม่น้อย บนผิวเนื้อยังถูกกรีดด้วยมีดเป็นทาง มีหูหงเต๋อคอยทาด้วยน้ำมันเป็นระยะ
เพียงชั่วเวลาไม่นาน กลิ่นหอมเข้มข้นของเนื้อก็โชยไปทั่วด้านในกระท่อม หูหงเต๋อหยิบจานขึ้นมาใบหนึ่ง ตัดเนื้อบนตัวกวางที่ย่างสุกแล้วออกมาหลายชั่ง ยกมาวางหน้าเยี่ยเทียน
“ไม่เลวเลยครับ เนื้อหอมมาก!”
บนเขาเหมาซานไม่มีสัตว์มากนัก ในอดีตนอกจากนกภูเขาที่กินบ่อยๆ แล้ว อาหารป่าอย่างกวางนี่กลับไม่เคยกินมาก่อน กลืนเข้าไปลงท้องหนึ่งคำแล้วอดตะกละตะกรามอีกไม่ได้
หูหงเต๋อฝึกวิชานอกสำนักมา อย่าเห็นว่าเขาอายุถึงหกสิบกว่าแล้ว ทว่าปริมาณการกินกลับไม่น้อยไปกว่าเยี่ยเทียน เนื้อกวางป่าถลกหนังและเครื่องในออกอีกยี่สิบกว่าชั่ง จึงถูกเยี่ยเทียนและหูหงเต๋อแบ่งกันกินสองคนจนหมดสิ้น
หลังกินเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อนำเอารากหญ้าคินวิญญาณพวกนั้นวางไว้ริมเตาไฟ ตาแห้งอยู่สองสามชั่วโมงจนน้ำที่อยู่ภายในระเหยจนหมด ก็นำมาบดทีละชิ้นจนเป็นฝุ่นผง ทั้งสองวุ่นวายกันอยู่ครึ่งคืนถึงจะนับว่าทำภารกิจนี้จนเสร็จ
“ให้ตาย ประตูนี่ทำไมถึงเปิดไม่ออกล่ะเนี่ย?” เช้าตรู่วันต่อมาหลังจากลุกขึ้นจากเตียงแล้ว ขณะที่เยี่ยเทียนคิดจะออกจากกระท่อม กลับพบว่าด้านนอกมีหิมะตกหนัก จนทำให้บานประตูครึ่งหนึ่งถูกฝังด้วยหิมะ
……