“ได้ ไม่ขุดแล้ว แต่ว่านะเหล่าหู แต่อีกเดี๋ยวหากฉันหาโสมดีๆ เจอ นายก็อย่ามายุ่งมากแล้วกัน”
เห็นหูหงเต๋อหน้าตาโศกเศร้า เยี่ยเทียนก็ตบบ่าของเขา ถามว่า “เหล่าหูโสมพวกนี้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่แถบไหน นายบอกฉันหน่อยสิ”
เทือกเขาฉางไป๋ซานใหญ่ขนาดนั้น เยี่ยเทียนคงไม่ต้องคอยปล่อยพลังเทพตลอดหรอกใช่มั๊ย เขายังฝึกไม่ถึงขั้นปราณเทพ หากว่าปล่อยพลังเทพออกไปไกลหน่อยก็จะรู้สึกเหนื่อยเพลีย
เทียนพูดอย่างเข้าประเด็น จะไปเสาะหาจากสถานที่ที่มีโสมป่าอยู่เท่านั้น มิเช่นนั้นบางทีจะกลายเป็นโสมป่าหาไม่พบแต่ตัวเขาเองเหนื่อยตาย
“นายนี่นะจะหาโสมพบ”
หูหงเต๋ออดไม่ได้ที่จะปรามาส เขาเองก็เห็นว่า เยี่ยเทียนที่ขุดโสมได้อย่างชำนาญนั้น ล้วนแล้วแต่มากจากกการควบคุมร่างกายที่ยอดเยี่ยม ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรอื่นเลย
แต่ว่าในเมื่อเยี่ยเทียนถามมาแล้ว หูหงเต๋อก็ตอบหน่อยอย่างเสียไม่ได้ หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง กล่าวว่า “โสมนั้นเข้มงวดกับสภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโตมาก ชอบเติบโตในที่หนาวเย็น ดินที่มีการเปื่อยยุ่ยหน้า แสงแดดไม่ส่องโดนโดยตรง ในหุบเขาลึกที่ไม่ค่อยมีน้ำมาก
แต่สำหรับว่าอยู่บริเวณไหนนั้น นี่ก็พูดยาก นายดู…เหมือนกับเนินเขาตรงนี้อาจจะมีโสม ในป่าก็อาจจะมี และในเนินหน้าผาบนภูเขาก็เคยมีคนขุดเจอโสมอายุร้อยปี
ในสมัยโบราณเถาหงอิ่งเคยกล่าวไว้ในหนังสือ “หนังสสือรวมยา” ว่า “สามแฉกห้าใบ หันหลังให้หยางหันหน้าให้หยิน หากอยากหาฉัน หาได้ที่ต้นต้วน ไม่กี่ประโยคนี้ ก็ทำให้สถานที่เจริญเติบโตของต้นโสมถูกระบุลดลงมาแล้ว!”
หูหงเต๋อไม่เคยเรียนหนังสือ ที่เขารู้จักตัวหนังสือก็เพราะเรียนกับตาที่เป็นแพทย์แผนจีนคนนั้น
แต่หากจะพูดถึงคำถามเกี่ยวกับโสมและแพทย์แผนจีนนั้น มองไปทั่วทั้งฉางไป๋ซาน หูหงเต๋อเรียกได้ว่าเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่ง
เยี่ยเทียนชี้ไปที่เนินราบบริเวณต้นต้วนแห่งหนึ่ง ถามว่า “ต้นต้วน ใช่ต้วนม่วงพวกนั้นหรือเปล่า”
“ใช่ ใต้ต้นต้วนโอกาสที่จะพบโสมค่อนข้างจะสูง”
หูหงเต๋อพยักหน้า การเก็บโสมนั้นอาศัยประสบการณ์ในการคุ้นเคยกับสภาพภูเขา ไม่ใช่ว่าพูดไม่กี่ประโยคก็จะสามารถอธิบายได้เข้าใจ มิเช่นนั้นที่ฉางไป๋ซานแห่งนี้แม้แต่เมล็ดของต้นโสมก็อย่างว่าแต่จะหาได้พบเลย
หลังจากลงมือขุดโสมด้วยตนเองแล้ว เยี่ยเทียนก็ยิ่งเพิ่มความสนใจเข้าไปอีก อยากจะให้พบเจอต้นโสมอายุพันปีเสียเดี๋ยวนี้ รีบร้อนจนกล่าวเร่งออกมา “ไปกันเถอะ ไปที่โสมหกใบที่นายว่า ไม่แน่ว่าฉันอาจจะหาต้นโสมเจ็ดใบในตำนานนั่นเจอก็ได้!”
หลังจากได้ฟังที่เยี่ยเทียนพูดแล้ว ริมฝีปากของหูหงเต๋อกระตุก แต่กลับไม่ได้พูดอะไรอีก พ่อของพ่อของเขาก็อยู่ที่ฉางไป๋ซานแห่งนี้ แต่ก็ไม่เคยเห็นโสมเจ็ดใบ
คนที่เก็บโสมส่วนมากเชื่อกันว่า ในตอนที่ต้นโสมโตขนาดมีเจ็ดใบนั้น ก็จะเกิดมีชีวิต หรือก็คือที่เล่าขานกันว่าเป็นต้นโสมเด็กที่มีชีวิต สามารถเรียกสิ่งดีๆ และขับไล่สิ่งชั่วร้าย คนธรรมดาไม่มีทางได้เห็น
เห็นเยี่ยเทียนตื่นเต้นดีใจเดินนำไปข้างหน้า บางครั้งก็มองสอดส่องไปที่พื้น หูหงเต๋อหัวเราะแกนๆ เดินตามไป ทั้งสองคนอาศัยเนินเขานี้ปีนป่ายไปยังอีกยอดเขาหนึ่ง
ยอดเขาฉางไป๋ซานสูงกว่าระดับน้ำทะเล 2500 เมตรขึ้นไปก็มียอดเขาอยู่หลายสิบยอด พูดอย่างจริงจังก็คือ เยี่ยเทียนและหูหงเต๋อยังถือว่าอยู่รอบนอก หลังจากชั่วโมงให้หลัง พวกเขาก็เดินขึ้นไปยังทางเหนือของยอดเขานี้
เยี่ยเทียนเมื่อเห็นป่าต้นต้วนก็จะคอยเบิกเนตรอยู่เนืองๆ แต่ว่าความโชคดีของเขานั้นใช้หมดไปแล้ว ยอดเขานี้ไม่มีต้นโสมอยู่อีกเลย ราวกับมีชีวิตกำลังหลบซ่อนเยี่ยเทียนอยู่อย่างนั้น
“เยี่ยเทียน พักซักหน่อยเถอะ นี่เดินมาห้าหกชั่วโมงแล้ว พวกเรามาหาไรกินกันเถอะ!”
เห็นเยี่ยเทียนเดินไปมองหาไปรอบๆ หูหงเต๋อก็ไม่ไหวแล้ว เขาเลือดลมยังดีอันนี้ไม่เถียง แต่ก็ยังเป็นคนวัยหกสิบกว่า เรื่องอาหารนี่ก็ยังต้องกินอยู่
“แม่เอ้ย เจ้าต้นโสมพวกนี้ล้วนแต่แอบกันหมดแล้วเหรอไง ถึงไม่มีโผล่มาซักต้น!”
หลังจากได้ฟังหูหงเต๋อแล้ว เยี่ยเทียนก็หยุดยืนอยู่ ตลอดเส้นทางเขาก็ปล่อยพลังตลอด ร่างกายถึงแม้ไม่เหนื่อยอ่อน แต่จิตใจกลับรู้สึกเหนื่อยล้าบ้างแล้ว
เยี่ยเทียนนำกระเป๋าวางไว้บนพื้น คิดถึงความอร่อยของน้ำแกงนกบ่น ก็ทำปากอยากลอง กล่าวว่า “กินอะไร เหล่าหู ยิงนกบ่นซักสองสามตัวเถอะ”
ตลอดทางที่เดินผ่านป่ามา ก็เห็นนกบ่นหลายตัว แต่ว่าเยี่ยเทียนได้แต่พะวงหาต้นโสม ดังนั้นเขาก็เลยไม่ได้สนใจ ตอนนี้ได้ยินหูหงเต๋อพูดถึงเรื่องกิน พยาธิในท้องก็ร้องกันขึ้นมา
“เบาเสียงหน่อย ฉันดูก่อน….”
หูหงเต๋อยื่นนิ้วมือออกมาแล้วทำท่าให้เงียบ ตอนนี้พวกเขาอยู่กลางทิวเขาที่เป็นเนินราบแห่งหนึ่ง หากเดินลงไปก็เป็นป่าต้นหัว และก็เป็นสถานที่ที่นกบ่นชอบไปหลบซ่อนอยู่ด้วย
อุณหภูมิในป่า ค่อนข้างต่ำกว่าด้านนอกหลายองศา ไม่กี่วันก่อนหิมะตกยังไม่ทำให้ละลาย หูหงเต๋อเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว สีหน้าก็บ่งบอกความดีใจ กล่าวเสียงเบาว่า “เยี่ยเทียน พวกเราลาภปากแล้ว ที่ป่านี้มีรังนกบ่นอยู่!”
เยี่ยเทียนมองตามสายตาของหูหงเต๋อไป จริงด้วย พื้นที่มีหิมะกองประมาณเจ็ดแปดเมตรด้านหน้า มีรอยขนาดเล็กเดินเป็นสาย ไปจนถึงป่าต้นหัว
หูหงเต๋อหยิบหน้าไม้ทำมือที่สภาพดีมากออกมาจากกระเป๋า กล่าวว่า “นกบ่นในหน้าหนาวล่าง่าย เยี่ยเทียน นายเก็บฟืนแห้งมาก่อไฟ เดี๋ยวฉันจะไปจัดการแป๊บเดียวเดี๋ยวมา!”
เยี่ยเทียนก่อหน้านั้นไม่เคยมองกระเป๋าหลังของหงหูเต๋อว่าใส่อะไรมาบ้าง จึงได้ถามอย่างสงสัย “หน้าไม้ ไม่ใช้ปืนยิงเหรอ”
หูหงเต๋อหัวเราะ “ใช้ปืนยิงนกบ่นไม่ได้ หากยิงไปเหลือไม่ถึงครึ่งตัว ต้องเป็นไอ้นี่แหละได้ผลดี!”
“ฉันตามนายไปดูด้วยเหอะ” เยี่ยเทียนกินเนื้อนกบ่นมาสองรอบแล้ว แต่เป็นนกที่ถอนขนจนหมดแล้ว ไก่ฟ้าตัวเป็นๆ เขายังไม่เคยเห็นเลย
“ได้ เสียงเบาหน่อย อย่างทำให้มันตกใจ!” หูหงเต๋อพยักหน้า เดินนำทางเข้าในป่า
เยี่ยเทียนเก็บพลัง ร่างกายพลันก็รู้สึกสบายขึ้นมา เมื่อเหยียบไปบนพื้นหิมะเหลือเพียงรอยเท้าจางๆ เห็นหน้าของหูหงเต๋อแดง เหมือนกับว่าเสียงที่เขาเดินนั้นดังมาก
ในป่าต้นหัวนั้นต้นไม้อยู่กันค่อนข้างกระจาย บนพื้นก็มีต้นไม้เล็กเตี้ยเติบโตอยู่ไม่น้อย หูหงเต๋อส่งสัญญาณมือกับเยี่ยเทียน แล้วเดินย่องเงียบๆ ไปทางบริเวณที่มีต้นไม้เตี้ยขึ้นอยู่รกชัฏ
“ฟิ้ว…ฟิ้วฉึก!”
ในตอนที่หูหงเต๋อห่างจากบริเวณที่เขาคิดว่ามีรังนกบ่นอยู่ประมาณเจ็ดแปดเมตรนั้น กิ่งต้นหัวที่รองรับน้ำหนักของหิมะไม่ไหวก็กลับหักขาดลงมา
ตามมาด้วยเสียงที่ดังขึ้น พุ่มไม้ต่ำก็พลันมีเสียงนกสี่ตัวบินขึ้นมาจากพง ขยับปีกบินไปทางป่าต้นหัว
“แม่เอ้”
มือขวาจับหน้าไม้เงยขึ้นไป ไม่ทันได้เล็ง ก็ปล่อยลูกออกจากหน้าไม้เพียงยกหน้าไม้ขึ้นก็ยิงโดนตัวที่ยังบินไปได้ไม่ไกล
ในตอนที่หูหงเต๋อกำลังรู้สึกเสียดายอยู่นั้น นกตัวที่บินไปก่อนหน้านี้ก็บินไปไกลหลายสิบเมตรแล้ว พลันกระพือปีก หัวตกลงมาจากกลางอากาศ
หูหงเต๋อสายตาดีมาก เขาเห็นว่า จากที่ตัวของนกบ่นหล่นลงมา ยังมีหิมะอยู่สองก้อน หันกลับไปมองเยี่ยเทียนที่กำลังปัดมือ สายตาของหูหงเต๋อปรากฏแววตกใจ
นกบ่นเวลาบินนั้นเร็วมาก โดยเฉพาะหลังจากบินสูงได้สิบเมตรแล้ว นอกจากใช้ปืนยิง มิเช่นนั้นเป็นการยากมากที่จะทำอะไรพวกมัน คิดไม่ถึงว่าเยื่ยเทียนออกแรงปั้นก้อนหิมะสองก้อน ก็โยนโดนตกลงมาได้แล้ว
ตอนนี้หูหงเต๋อเชื่อแล้ว หากว่าเขาและเยี่ยเทียนอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ด้วยกัน เยี่ยเทียนจะต้องใช้ชีวิตอย่างออกรสออกชาติมากกว่าเขาแน่นอน
นี่ทำให้หูหงเต๋อผู้ถูกขนานนามว่านักล่ามือดีที่สุดในฉางไป๋ซาน ในใจพลันไม่สบอารมณ์ กล่าวขึ้นว่า “เยี่ยเทียน นายต้มน้ำ ฉันจะไปล่ากวางโลตะวันออกโง่ๆ ตัวหนึ่งมา!”
“ได้ ! แค่นกไม่กี่ตัวไม่พอดินจริงๆนั่นแหละ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เนื้อนกบ่นอร่อยก็จริง แต่หากถอนขนออกแล้วและควักเครื่องใน อย่างมากก็แค่สองสามร้อยกรัมเท่านั้น ได้แต่ลิ้มรสโอชะ แต่ไม่อิ่มแน่นอน
ฤดูหนาวในป่าต้นไม้กิ่งไม้แห้งเหี่ยว เยี่ยเทียนก็เก็บมามัดหนึ่งวางไว้บริเวณเนินลาด จากนั้นใช้พลั่วทำความสะอาดพื้นที่ออกมาได้ประมาณสิบเมตร บริเวณที่ว่างเปล่านั้นก็ขุดหลุมลงไป
จุดไฟที่กิ่งไม้แห้งจากนั้น เยี่ยเทียนก็เอาหม้อมาเหน็บไว้ที่ด้านบนกองไฟ หยิบหิมะที่เป็นน้ำแข็งใส่ลงในหม้อ หลังจากผ่านไปสิบกว่านาที น้ำแข็งละลายจากนั้นค่อยๆ ปล่อยไอความร้อนออกมา
“ชีวิตในเขานี้ก็น่าสนุกใช้ได้ สนุกกว่าเขาเหมาซานอีก!”
เยี่ยเทียนยังไงก็ยังเป็นเด็กหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการขุดโสมป่าหรือว่าการทำอาหารป่า สำหรับเขาแล้วนั้นถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ ประสบการณ์แบบนี้เขายังไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน
อาศัยจังหวะในการต้มน้ำ เยี่ยเทียนก็ถอนขนและควักเครื่องในนกบ่นทีได้มา รอจนน้ำเดือดแล้ว ก็เอานกบ่นใส่ลงไปในหม้อ
เห็นว่าหูหงเต๋อยังไม่กลับมา ดวงตาของเยี่ยเทียนก็กวาดตาไปรอบรอบหนึ่งที หยิบกล่องไม้ออกมา หยิบเอาโสมต้นนั้นออกมา
“แหะๆ เหล่าหู ของดีอย่างนี้ไม่กินก็น่าเสียดายแย่”
“หงับ” กัดไปหนึ่งคำ เยี่ยเทียนก็งับส่วนหัวของโสมสี่ใบหายไปครึ่งอัน และยังมีรากฝอยอีกครึ่งหนึ่ง ที่ใส่ลงไปในหม้อรวมกับเนื้อนกบ่น
“ของดี!”
หลังจากกัดโสมไปหนึ่งคำ เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่ามีความขนระรอกหนึ่งปรากฏขึ้นในปาก พร้อมกันนั้นความร้อนที่แผ่จากคอหอยลงไปสู่ท้อง
“สรรพคุณทางยาของโสมนี่ดีกว่าโสมแห้งร้อยเท่า!”
เยี่ยเทียนไม่รอช้า รีบนั่งลงขัดสมาธิบนพื้นหิมะ เดินพลังขึ้นมา พลังธาตุบริสุทธิ์แบบนี้ หากว่ากระจายหายไปในร่างกายก็น่าเสียดายเกินไป
สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว โสมแก่อายุห้าสิบปีที่เก็บกักพลังชี่เอาไว้ ถือว่ายังน้อยไปหน่อย ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ พลังชี่ของโสมครึ่งต้นนั้นที่ถูกเขากินเข้าไปก็จะถูกใช้จนหมดไม่มีเหลือ
“เยี่ยเทียน นายกินโสมนั้นแล้วเหรอ นี่…นี่ถือว่าเป็นคนไม่เอาไหนไม่ใช่เหรอ”
เยี่ยเทียนเพิ่งลุกขึ้น หูหงเต๋อที่แบกกวางตัวหนึ่งพาดไหล่เดินเข้ามา เห็นกล่องไม้ที่วางเปล่าวางอยู่บนพื้น พลันก็รู้สึกอย่างจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก
……