ในป่าบนภูเขาฉางไป่ซาน มีเงาร่างสองร่างพุ่งเข้าไปในป่าและภูเขาอย่างรวดเร็ว เงาร่างหนึ่งพุงไปอย่างมุทะลุดุดัน อีกเงาร่างหนึ่งกลับล่องลอยราวกับเดินบนก้อนเมฆ แต่ไม่ว่าเป็นเคลื่อนไหวแบบไหนก็มีความรวดเร็วเป็นอย่างมาก
ทางบนเขาที่คนปกติต้องเดินเป็นเวลากว่าครึ่งวัน ทั้งสองคนกลับใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษก็มาถึง เห็นไอหมอกพิษที่พวยพุ่งอยู่เบื้องหน้า เยี่ยเทียนและหูหงเต๋อต่างก็หยุดเท้าลงพร้อมกัน
นี่เป็นหุบเขาที่มีความยาวหลายพันเมตร ในบริเวณหุบเขามีไอหมอกสีเทาลอยเอื่อยๆ อยู่ หิมะที่กองทับกันถูกไอหมอกย้อมจนดูแล้วสกปรกเป็นบางส่วน
“ไอหมอกพิษนี้ดูแล้วแปลกประหลาด ตามหลักแล้ว ไอหมอกพิษนี้จะเกิดขึ้นมากในบริเวณเขตภูเขา “หลิงหนาน” ทางภาคใต้ที่ฝนตกชุก แต่ทำไมบริเวณตรงนี้ก็มี”
ที่เขาเหมาซานก็มีไอหมอกพิษอยู่ เยี่ยเทียนตอนเด็กเคยหลงเดินเข้าไป เพียงแต่ไอหมอกนั้นพิษไม่ร้ายแรง เพียงแค่ทำให้เขาอาเจียนและท้องเสียไปหลายวันเท่านั้น
ไอหมอกพิษนั้นเป็นไอพิษที่มาจากการเน่าเปื่อยทับถมกันของซากสัตว์และพืชในบริเวณเขตป่าร้อนชื้น สาเหตุหลักก็คือไม่มีคนคอยจัดการซากสัตว์ตายแล้วที่ทับถมกันอยู่ แต่ว่าในทางภาคเหนือนั้นถือว่าพบเห็นได้น้อยมาก
“ที่นี่ก็คือบึงน้ำมังกรดำ เยี่ยเทียน เธอสามารถจับสัมผัสของเมิ่งตาบอดได้มั้ย ว่าอยู่ที่ไหน”
มองไปที่หมอกสีเทาหนาเบื้องหน้า สีหน้าของหูหงเต๋อมีแววสงสัยเป็นอย่างมาก ที่เทือกเขาฉางไป๋ซานมีสถานที่หลายแห่งที่คนปกติยากที่จะเข้าไปได้ หนึ่งในนั้นก็คือบึงน้ำมังกรดำ
ในตอนที่หูหงเต๋อเคยออกล่าสัตว์ ก็เคยไล่ต้อนหมูป่าตัวหนึ่งวิ่งเข้าไปในไอหมอกพิษ แต่เพียงไม่กี่นาทีหมูป่าตัวนั้นก็วิ่งออกมาราวกับแมลงไร้หัว หนังและขนที่หนาก็พลันเน่าเปื่อย
หลังจากนั้นมา หูหงเต๋อก็ขีดเส้นให้บึงน้ำมังกรดำแห่งเป็นพื้นที่ต้องห้าม และทางเข้าหุบเขาฝั่งตรงข้ามก็ไปปักป้ายเตือนอันตรายไว้ด้วย
“พวกมันอยู่ในพื้นที่ด้านหน้าห่างออกไปประมาณห้ากิโลเมตร น่าจะมีสี่ห้าคนได้!”
เยี่ยเทียนหยิบเหรียญทองแดงออกมาทำการทำนาย เนื่องจากการที่ได้เข้ามาใกล้อีกฝ่ายแล้ว ภาพการทำนายของเยี่ยเทียนจึงยิ่งชัดเจนมากขึ้น
“จากบริเวณนั้นหากจะเข้าสู่หุบเขาจะต้องผ่านบึงน้ำมังกรดำ เมิ่งตาบอดกับพวกนั้นมาทางนี้ทำไมกัน”
หูหงเต๋อขมวดคิ้วเป็นปมขึ้นมา ทางที่เมิ่งตาบอดและพวกมันเดินผ่านมาทั้งหมดราวกับว่าจงใจมาที่บึงน้ำมังกรดำโดยเฉพาะ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้ามขึ้นชื่อของเขาฉางไป๋ซาน เขาเริ่มจะไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเมิ่งตาบอดแล้ว
เยี่ยเทียนโบกมือ กล่าวว่า “เหล่าหู จะไปสนใจอะไรมากมาย อ้อมไปจับพวกเขาถามดูก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ดี กลางเนินเขามีทางสายเล็กๆ อยู่พวกเราอ้อมไป!” หูหงเต๋อพยักหน้า ถนนสายนี้มีความยากและลำบากในการเดินทางมากสำหรับพวกเยี่ยเทียน ถึงแม้ว่าเมิ่งตาบอดจะรู้เส้นทางนี้ เขาเองก็ผ่านไปไม่ได้
มันไม่ใช่ถนนสายเล็ก แต่กลับเป็นร่องระหว่างเนินเขาจะเหมาะกว่า แคบจนคนเดินไปได้แค่คนเดียว และมีบางแห่งยังขาดเป็นระยะสองสามเมตรด้วยร่วมกับหิมะที่กองท่วมพื้น คนปกติแม้แต่จะยืนก็น่าจะทรงตัวไม่ได้
ด้านล่างของช่องแคบนี้ เป็นหุบเหวที่สูงห้าหกสิบเมตรมีหมอกพิษด้านสีเทาปกคลุมอยู่ ถ้าเยี่ยเทียนรู้สึกตื่นเต้นพลาดตกลงไป ถึงจะไม่ตายเพราะตกภูเขาก็คงตายเพราะหมอกพิษยู่ดี
เยี่ยเทียนในตอนนี้ก็ไม่ได้สบายเหมือนตอนที่มาแล้ว ใต้ฝ่าเท้าแต่ละย่างก้าวที่ย่ำไปต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก จนกระทั่งผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเต็ม ทั้งสองคนก็ออกมาจากช่องเขา
หันกลับไปมองทางที่ตัวเองเดินข้ามมา เยี่ยเทียนก็รู้สึกเหนื่อยล้า หูหงเต๋อหน้าผากก็มีเหงื่อเท่าเม็ดถั่วผุดพรายขึ้นมา มีสภาพแย่กว่าเยี่ยเทียนเสียอีก
“เหล่าหู พักก่อนเถอะ บัดซบเอ้ย แม้แต่น้ำจะดื่มก็ยังไม่มี!”
เยี่ยเทียนหยิบเอากาน้ำออกมา อยากจะดื่มน้ำซักหน่อย กลับพบว่าน้ำในกาแข็งกลายเป็นก้อนน้ำแข็งไปแล้ว
“เยี่ยเทียน อย่ากินหิมะรอบๆ บริเวณนี้ ระวังมีพิษ!”
เห็นเยี่ยเทียนกอบเอาหิมะบนพื้นขึ้นมาเตรียมจะใส่ปาก หูหงเต๋อก็เอามือดึงไว้ หยิบเอากระติกที่มีเหล้าอยู่ข้างในส่งให้เยี่ยเทียน
“เหล่าหู พวกมันดูเหมือนจะยังไม่เคลื่อนย้ายไปไหน คุณจะวางกับดักอะไรซักหน่อยมั๊ย”
ดื่มเหล้าที่ร้อนแรงไปอึกหนึ่ง การหายใจของเยี่ยเทียนก็กลับมาเป็นปกติ
หูหงเต๋อส่ายหัว กล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์ เมิ่งตาบอดอาศัยอยู่ในภูเขานี้มาสิบกว่าปี พวกกับดักพวกนั้นทำอะไรมันไม่ได้หรอก”
เยี่ยเทียนเงยหน้ามองไปยังป่า ที่ต้นไม้ขึ้นรกทึบเบื้องหน้าแวบหนึ่ง พูดเสียงเรียบๆ ว่า
“งั้นก็ให้โชคชะตาฟ้าลิขิตแล้วกัน เหล่าหู คุณระวังหน่อย ลูกกระสุนไม่มีตา ตอนนั้นผมอาจจะไม่สามารถดูแลคุณได้!”
มันเป็นเรื่องบุญคุณความแค้นของยุทธภพ หลังจากทำลายวิชามนต์ของเมิ่งตาบอดแล้ว เยี่ยเทียนได้ตัดสินใจแล้วว่าเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องมีปัญหายุ่งยากในภายหลัง เมิ่งตาบอดจะต้องถูกฝังเอาไว้ในภูเขาแห่งนี้
“เธอเองต้องระวังตัวด้วย จริงๆ แล้วหากว่าเกิดอะไรขึ้นมา ฉันก็ไม่รู้จะไปบอกเด็กแซ่อวี๋นั่นยังไง”
ถูกเยี่ยเทียนที่อายุน้อยกว่ากำชับให้ระวังตัว หูหงเต๋อก็รู้สึกไม่สบายใจ ถึงตัวเยี่ยเทียนจะบอกว่าเขาเคยฆ่าคนและเห็นเลือดมาแล้ว ยังไงตามในที่แห่งนี้เขาก็แข็งแกร่งกว่าเยี่ยเทียน
“ใช่แล้ว ลงมืออย่าให้หนักมาก พวกสมุนที่ติดตามเมิ่งตาบอดมาจับเป็นก็พอแล้ว ผมอยากจะสอบถามพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้”
หูหงเต๋อถึงจะไม่ได้ปฏิบัติตัวตามกฏหมาย แต่ก็ไม่อยากฆ่าคนบริสุทธิ์ ที่เขาเตือนก็เพราะกลัวว่าเยี่ยเทียนอายุยังน้อยใจร้อน เมื่อลงมือแล้วก็จะไม่ยั้งมือ
หูหงเต๋อเห็นเยี่ยเทียนปั้นก้อนหิมะโยนใส่นก ก้อนหิมะที่อัดพลังเข้าไป ทำให้เครื่องในของมังกรบินนั้นแหลกเละ หากว่าโยนใส่หัวคน แน่นอนว่าโดนครั้งเดียวก็ไม่หายใจ
“ผมรู้แล้ว พวกเราไปต่อเถอะ ไปหาที่ดักรอพวกมันกันเถอะ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ที่เขาฝึกวรยุทธของลัทธิเต๋าถึงจะไม่ได้ห้ามฆ่าคน แต่ความอาฆาตแค้นหากสั่งสมมากเข้าก็ต้องหาทางปลดปล่อย แน่นอนว่าเขาจะไม่ฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างแน่นอน
หูหงเต๋อมองซ้ายมองขวา กล่าวว่า
“ไม่ต้องหาแล้ว เรารออยู่ในปากทางเข้าของป่านี้ก็ได้ ถึงพวกมันมีปืนก็ไม่มีประโยชน์!”
ด้านนอกหุบเขาแคบเป็นป่าต้นเบิร์ชที่แน่นขนัด ทอดยาวออกไปหลายกิโลเมตร ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าหนาวที่ใบไม้ร่วงลงมา มองออกไปก็ยังคงดูงดงาม
พื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ อย่าว่าแต่พวกเมิ่งตาบอดไม่กี่คนเลย ต่อให้ด้านในมีคนเป็นร้อยก็ไม่สะดุดตา ความได้เปรียบจากจำนวนคนของฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีแล้ว
…..
“รีบลุกขึ้นมา ไปได้แล้ว อยากตายที่นี่หรือยังไง”
เมิ่งตาบอดมองพวกลูกน้องที่ดื่มกินจนอื่มหนำสำราญแล้วนอนระเกะระกะบนพื้นอย่างอับจนหนทาง ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมากที่พาพวกเขาเข้ามาในภูเขาด้วย
พวกเขามาถึงที่ตรงนี้ก็หลังบ่ายสองแล้ว จึงต้องพักกินข้าวให้อิ่มก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ กินข้าวก็กินเถอะ มีสองคนที่ดื่มจนเมา ถึงตอนนี้เพิ่งจะสร่าง
เห็นพระอาทิตย์กำลังจะตกดินจนมิดแล้ว อากาศก็จะแปรเปลี่ยนลดลงกว่าสิบองศา หากว่าไปไม่ทันในที่ซ่อนตัว แม้แต่เมิ่งตาบอดก็จะต้านไม่ไหว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าเด็กพวกนี้สมองคิดอะไรอยู่
กัวจื่อเซินจุดบุหรี่สูบหนึ่งมวน กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ปู่เมิ่งพักอีกซักหน่อยเถอะ เหลือระยะทางอีกไม่ไกลแล้วไม่ใช่เหรอ พวกเราค่อยไปเร่งเอาตอนนั้นก็ได้แล้ว”
กัวจื่อเซินกับพวกอีกสองสามคน ที่ฉางไป๋ซานแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกเด็กเกเรเกียจคร้านไม่เอาการเอางาน ไม่อย่างงั้นคงไม่ทำเรื่องลักลอบขโมยพวกนี้หรอก ถึงวันนี้ ใช้เวลาเดินทางอยู่บนเทือกเขาใหญ่ได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว พวกเขาล้วนแล้วแต่เหนื่อยล้า
“ไม่ได้ ไปตอนนี้เลย ฉันรู้สึกไม่ดี!”
เมิ่งตาบอดส่ายหัว ตอนนี้เขาไม่อยากยุ่งข้องกับคนพวกนี้อีกแล้ว หน้าเต็มไปด้วยหิมะเกาะ กล่าวว่า “พวกแกหากไม่ไป ก็อยู่ที่นี่เลยก็แล้วกัน!”
“ได้ ได้ ปู่เมิ่งอย่าโกรธสิ พกวเราไปต่อก็สิ้นเรื่อง”
หลังจากได้ฟังคำของเมิ่งตาบอดแล้ว พวกไม่กี่คนนั้นก็ลุกขึ้นมาอย่างไม่ค่อยยินยอม ทิ้งพวกเขาไว้ที่นี่ จุดจบของพวกเขาก็มีเพียงอย่างเดียวก็คือตาย! ดีที่เส้นทางข้างหลังไม่มีเส้นทางขึ้นเขาแล้ว อาศัยแสงสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ตกดินนำทาง เมิ่งตาบอดเห็นสัญลักษณ์ที่ทำไว้บนต้นไม้ และพาพวกเขาเดินตัดป่าทึบไป
ในตอนที่กำลังจะออกจากป่านั้นเอง ตาของเมิ่งตาบอดพลันกระตุกขึ้นมา ในใจโหวงเหวง รีบหยุดยืน กดเสียงให้ต่ำลงกล่าวว่า “รอก่อน!”
“ปู่เมิ่ง มีอะไรเหรอ ปู่บอกว่าออกจากป่าไปก็จะถึงแล้วไม่ใช่เหรอ ” กัวจื่อเซินมองไปทางเมิ่งตาบอดอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
เมิ่งตาบอดที่ตลอดมามีสีหน้าและแววตาเป็นคนเมตตากรุณา สีหน้าพลันเปลี่ยนไป ตบหัวกัวจื่อเซินไปหนึ่งฉาดแล้วกล่าวว่า “ไอ้บัดซบ เบาเสียงลงหน่อย!”
การโมโหของเมิ่งตาบอด ทำให้พวกที่เหลือพลอยตกตะลึง กัวจื่อเซินก้มหน้าลง ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ในใจพลันคิดว่ารอให้ออกไปก่อน จะฆ่าเมิ่งเซี่ยจื่อทิ้งเลยดีมั้ย
เมิ่งเซี่ยจื่อในเวลานี้ ไม่มีเวลาไปสนใจกับความคิดของกัวจื่อเซิน เขาแอบซ่อนร่างตัวเองหลังต้นไม้ใหญ่ ดวงตามองจ้องไปที่หุบเขาที่ว่างเปล่า ตะโกนเสียงดังว่า “เหล่าหู ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็อย่าแอบซ่อนอีกเลย ออกมาเถอะ!”
สัตว์หลายประเภทมักจะมีประสาทรับรู้ที่ไวต่ออันตราย เหมือนกับมดที่หากจะเกิดแผ่นไหวก็จะย้ายรัง หรือสุนัขที่จะเจออันตรายก็จะเห่าไม่หยุดเช่นกัน
สัมผัสที่หกของมนุษย์นั้นหากเทียบกับสัตว์ถือว่าด้อยกว่ามาก แต่สำหรับคนที่ฝึกวิชาเต๋านั้น สามารถอาศัยการปล่อยประสาทสัมผัสก็จะมีความสามารถประเภทนี้ได้เช่นกัน
เมิ่งตาบอดถึงแม้จะสืบทอดวิชามนต์ของลัทธิชามันได้บ้างและไม่มีคนคอยสอน แต่มักจะอัญเชิญเทพเจ้าประทับร่าง จึงเหลือพลังบนตัวเขาอยู่ไม่น้อย สำหรับปฏิกิริยาการรับรู้ต่ออันตรายนั้น ถือว่าสูงกว่าคนธรรมดามาก
“ออกมาเถอะ…ออกมาเถอะ…”
เสียงของเมิ่งตาบอดกระจายออกไปไกล และมีเสียงสะท้อนกลับมาจากหุบเขา สะเทือนจนหิมะบนต้นไม้ตกลงมาไม่หยุด
“ปู่เมิ่ง หู…หูฮั่นซานตามมาแล้วเหรอ ”
เมิ่งตาบอดเพิ่งพูดออกไป กัวจื่อเซินก็ตกใจจนหน้าซีด พวกเขาเคยถูกหูหงเต๋อจัดการมาก่อน จึงรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
“เมิ่งเซี่ยจื่อ ครอบครัวเราทั้งสองเคยเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ทำไมแกถึงมาทำร้ายหลานสาวของฉัน เรื่องนี้แกต้องมีคำอธิบายต่อข้า เหล่าหู”
เมิ่งตาบอดยังไม่ได้พูดอะไรออกมา เสียงของหูหงเต๋อก็ลอยออกมาจากหุบเขา เยี่ยเทียนเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า เมิ่งตาบอดจะตรวจจับเจอร่องรอยของพวกเขาได้เช่นกัน จากการดักซุ่มโจมตีก็เลยเป็นการเผชิญหน้าไปแล้ว
เมิ่งตาบอดกรอกตา กล่าวตอบเสียงดัง “แกพูดว่าอะไร เหล่าหู ฉันได้ยินไม่ชัด มีเรื่องอะไรก็ออกมาคุยกันเถอะ!”
ในขณะที่พูด เมิ่งตาบอดก็บรรจุลูกกระสุนกระสุนห้าหกลูกใส่เข้าในรังปืน จากนั้นหันหลังกลับไปพูดเสียงต่ำว่า “อีกประเดี๋ยวถ้าหูหงเต๋อโผล่หัวออกมา ระดมยิงกันได้เลย!”