“นี่…นี่เป็นเทพองค์ไหนประทับร่างกัน”
เอ้อหนิวที่ยืนพิงต้นไม้อยู่ไม่ไกลจากเมิ่งตาบอด เห็นตลอดทั้งร่างของเมิ่งตาบอดสั่นสะท้านขึ้นระลอกหนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างมีประกายสีเขียว เหมือนกับหมาป่าบนภูเขาอย่างไงอย่างนั้น
“ฮ่าๆ เหล่าหู แกจะเอาอะไรมาสู้กับฉัน!”
หลังจากได้รับพลังวิญญาณมา เมิ่งตาบอดรู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลัง แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับเปลี่ยนเป็นแหลมเหมือนกับเสียงเป็ด ทำให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“ใช่สิ หูฮั่นซาน เก่งจริงก็ออกมาเลย เจ้านายแซ่กัวก็รอนายอยู่ที่นี่!”
หลังจากได้ยินเมิ่งตาบอดตะโกน กัวจื่อเซินและคนอื่นก็หัวเราะออกมา หลังจากผิงไฟได้ไออุ่นแล้ว แรงพลังก็กลับมา ความเกรงกลัวหูหงเต๋อก็ลดน้อยลง
หลังจากได้ฟังเสียงทุกคน เม่งเซียจื่อก็ยิ้มออกมา มองไปทางเอ้อหนิวกล่าวว่า “พวกแก ไปสั่งสอนเฒ่าหูนั่นซักหน่อยไป!”
ปู่เมิ่ง ท่า..ท่านหมายความว่าอย่างไร” เอ้อหนิวตกตะลึง ในตอนที่หันกลับไปมองเมิ่งตาบอดนั้น ดวงตาพลันเบิกกว้าง
เมิ่งตาบอดที่พิงอยู่บนต้นไม้ ในเวลานี้ราวกับลิงก็ไม่ปาน “ฟิ้วฟิ้ว” ปีนป่ายขึ้นไปบนต้นเบิร์ชที่สูงถึงสิบกว่าเมตร แล้วย่อตัวกระโจนข้ามไปยังต้นอื่นอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งเงาร่างของเมิ่งตาบอดหายจากสายตาเข้าไปในป่าที่มีต้นไม้แน่นขนัด เอ้อหนิวถึงได้สติกลับคืนมา ปากพึมพำว่า “สวรรค์ นี่เชิญเทพซุนหงอคงมาประทับร่างเลยเหรอเนี่ย!”
บางทีอาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็นทำให้สมองของ เอ้อหนิว แข็งไปด้วย จึงไม่รู้ว่าตอนนี้ เมิ่งตาบอดได้ทิ้งพวกเขาไปแล้ว จากไปเพียงลำพัง
“ไม่ดีแล้ว เหล่าหู เมิ่งตาบอดคิดจะหนีไป!”
แม้ว่าเอ้อหนิวยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเยี่ยเทียนก็จะไม่รู้เช่นกัน เมิ่งตาบอดที่อยู่ในรัศมีสิบเมตรที่ตัวเขาจับได้พลันหายไป เยี่ยเทียนลุกขึ้นยืน
พลังของเยี่ยเทียนไม่สามารถปล่อยไปไกลได้ เขารู้สึกว่าการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วของเมิ่งตาบอดเหมือนกับควันหายไปจากขอบเขตที่ตัวเองรับรู้ได้ นี่นอกจากว่าจะหลบหนี ก็ไม่มีคำอธิบายที่ดีกว่านี้แล้ว
“เหล่าหู เดี๋ยวคุณค่อยตามมา!”
ป่าด้านหน้าที่อยู่ตรงข้ามเหลือเพียงคนเฝ้าคนเดียว เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ระหว่างกล่าวร่างกายย่อต่ำ เท้าขวากระทืบไปบนพื้นหนึ่งครั้ง ร่างกายก็พุ่งไปราวกับลูกธนูฝ่าพื้นหิมะออกไป
“เมิ่ง..ปู่เมิ่ง นี่ท่านจะไปไหนกัน”
เอ้อหนิวในเวลานี้กำลังมองเมิ่งตาบอดที่หายไปด้วยท่าทางโง่ๆ สมองของเขายังไม่ฟื้นจากภาพนั้น จึงไม่รู้ว่าด้านหลังมีนักฆ่าฝีมือเทพโผล่มาแล้ว
ระยะห่างสามสิบเมตร สำหรับเยี่ยเทียนแล้วเหมือนกับเวลาที่หายใจ รอจนเอ้อหนิวได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านหลังก็รู้สึกเจ็บท้ายทอย ร่างกายค่อยๆ อ่อนแรงลงพิงกับต้นไม้
“เอ้อหนิว ปู่เมิ่ง เกิดอะไรขึ้น” ได้ยินเสียงด้านข้างของป่าดังออกมา กัวจื่อเซินและคนอื่นก็ทยอยกันหยิบปืนลุกขึ้นยืน
เพียงแต่เพิ่งลุกขึ้นยืน พายุหิมะระลอกหนึ่งก็พลันพัดมาพร้อมกับลมหนาวปะทะใบหน้า ทำให้คนปิดเปลือกตาลงตามธรรมชาติ
ในตอนที่พวกนั้นปิดเปลือกตาลงนั้น เยี่ยเทียนก็เหมือนกับฝูงหมาป่าพุ่งเข้ามา เขาไม่ได้คิดลงมือฆ่า มือขวาเหยียดตรงค่อยๆ ฟันใส่หลังคอของสามคนที่ยืนเรียงกันอยู่ด้านหน้า
เยี่ยเทียนเข้าใจเรื่องกายภาพของคนเป็นอย่างดี ทั้งสามคนรู้สึกท้ายทอยชา ทั้งร่างก็ไร้เรี่ยวแรงล้มลงไปบนพื้น
“อืม ยังมีอีกคน”
ในตอนที่เยี่ยเทียนจัดการทั้งสามคนลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น พลันรู้สึกใจเต้น เท้าขวาเหยียบบนพื้น ตลอดทั้งร่างก็พุ่งตรงขึ้นไปสองเมตรได้
“ปังปังปัง!!” เสียงปืนดังขึ้นระลอกหนึ่ง ชายคนที่ยืนอยู่ด้านข้างของเยี่ยเทียนยังไม่ทันได้ล้มลงบนพื้นดี ร่างกายก็ปรากฏเลือดไหลออกมารูกระสุน
คนที่ยิงก็คือกัวจื่อเซิน เขาลงมือคล่องแคล่วกว่าพวกคนที่นอนกองกับพื้นมากนัก ในตอนที่เยี่ยเทียนพุ่งเข้ามา เขาก็ถอยหลังไปหลายก้าว หิมะที่เยี่ยเทียนใช้เท้าเตะออกมาไม่สามารถบดบังสายตาของเขาได้
เพียงเพราะเยี่ยเทียนนั้นเร็วเกินไป ในขณะที่กัวจื่อเซินรู้สึกตัวและลั่นไกปืน คนอื่น ๆ ก็ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว
ในปี 1990 กัวจื่อเซินเคยเกี่ยวข้องกับคดีสังหารหมู่ในเมือง เฟิ่งเทียน มาแล้ว หากไม่ใช่ว่ามีคนต้องการที่จะปกปิดเรื่องนี้ไว้ เขาคงถูกยิงตายไปแล้ว
ปืนจุดเจ็ดเก้าที่ถืออยู่ในมือกระบอกนี้ กัวจื่อเฉินลอบทำร้ายทหารยามแล้วขโมยมา ในชีวิตนี้เขาเลื่อมใสที่สุดก็คือฆาตรกรต่อเนื่อง “ไป๋เป่าชาน” ที่พึ่งถูกจับไปเมื่อหลายปีก่อน
กัวจื่อเฉินไมได้สนใจพวกพ้องเลย ตั้งใจเพียงว่าจะฆ่าใครเป็นคนต่อไป ในเวลานี้ เขาคิดว่าคนที่พุ่งเข้ามาในป่าคือหูหงเต๋อ
“ตายซะเถอะ!”
เห็นคนนี้ตอบสนองได้รวดเร็ว กัวจื่อเซินที่ยิงพลาดก็รีบยกปืนขึ้นสูงเตรียมยิงอีก ทันใดนั้นมือขวาของเยี่ยเทียนก็ตวัดลงมา เห็นแสงวาบพาดผ่านไป กัวจื่อเซินพลันหยุดชะงักลง
“เยี่ยเทียน เป็นอะไรไป เธอบาดเจ็บหรือเปล่า!”
ในตอนที่หงหูเต๋อพุ่งออกมาจากป่าตรงเข้ามา มองกวาดสายตาไปก็เห็นกัวจื่อเซินยืนถือปืนอยู่ห่างออกไปสี่ห้าเมตร มือด้านขวายกขึ้น ลูกหน้าไม้โลหะผสมก็พุ่งตรงไปที่ข้อมือขวาของกัวจื่อเซิน
“ฟ้าวฉึก!”
ลูกหน้าไม้ที่เป็นโลหะผสมตรงไปที่กัวจื่อเซินอย่างแม่นยำ เสียงที่ปักเข้าไปในเนื้อ ได้ยินลอยเข้าหูของ หูหงเต๋ออย่างชัดเจน แต่กัวจื่อเซินที่ยืนอยู่ กลับไม่รู้สึกตัวอะไรเลย ยังคงยืนอยู่อย่างนั้น
“หืม นี่เป็นอะไรไป”
หูหงเต๋อรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง เดินออกไปด้านหน้าหนึ่งก้าว กัวจื่อเซินที่ยืนจังก้าอยู่ หัวก็พลันกระเด็นลอยขึ้นไปประมาณเมตรกว่าได้ เลือดสายหนึ่งจากสันคอก็พวยพุ่งออกมา
“อ๊าก!”
หูหงเต๋อชีวิตนี้ก็เผชิญกับคลื่นชีวิตมาก็ไม่น้อย ตอนที่เห็นภาพที่น่ากลัว สยองขวัญขนาดนี้ ถึงกับร้องเสียงหลงออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ตลอดทั้งตัวถอยหลังไปหลายก้าว
ในขณะที่หูหงเต๋อถอยหลังไป ร่างกายของกัวจื่อเซินก็ล้มลงบนพื้นดัง “ปึ่ง” เลือดที่อยู่หลังคอก็ยังพุ่งออกมาเป็นสาย ทำให้พื้นหิมะขาวโพลนในบริเวณนั้นย้อมไปด้วยเลือด
“เหล่าหู เป็นอะไร กลัวเหรอ!” เงาร่างของเยี่ยเทียนเหมือนกับปีศาจก็ไม่ปานถอยมาข้างกายของหูหงเต๋อ เขาไม่อยากถูกเลือดสกปรกพวกนั้นเปรอะเปื้อนตัว
“เยี่ย….เยี่ยเทียน นี่….นี่นายลงมือเหรอ”
หูหงเต๋อมองไปที่เยี่ยเทียนอย่างตื่นตะลึง หากไม่ใช่ความจริงอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนหนุ่มที่เยือกเย็นตรงหน้าเป็นคนฆ่า
“เหล่าหู คนนี้พลังอาฆาตติดตัว อย่างน้อยก็ฆ่ามาแล้วสี่ห้าชีวิต ตายก็ไม่น่าเสียดาย!”
ในตอนที่เกิดเหตุการณ์เมื่อซักครู่ เยี่ยเทียนลงมือแล้วแน่นอนว่าจะไม่ออมมือ พลังที่โอบล้อมร่างที่ไร้รูป ส่งประกายความแหลมปราบของมีดออกมา ตัดคอของกัวจื่อเซินในทันที
และความเร็วที่ขนาดไม่มีร่องรอย บวกกับความแหลมคมของมีด ทำให้หูหงเต๋อที่ตามมา ทำให้พื้นสั่นสะเทือน จึงทำให้หัวตกลงบนพื้น
“ฉัน…ฉันรู้จักเขา หลายปีก่อนฉันเคยจับเขาไปที่สถานี”
หูหงเต๋อมองดูหัวนั้น แล้วเลยมองไปที่เยี่ยเทียนซึ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าทำไม ในใจส่วนลึกถึงได้รู้สึกเย็นจับจิตขึ้นมา
ในปีนั้นที่หูหงเต๋อใช้มีดแทงพวกทหารญี่ปุ่นตายไปหลายคน เมื่อกลับมาถึงบ้านยังไปก็อ้วกเอาน้ำดีออกมาจนหมด ไหนเลยจะเทียบได้กับการลงมือฆ่าที่เลือดเย็นของเยี่ยเทียน
เพียงแต่หูหงเต๋อไม่รู้ว่า สภาพที่ตายอย่างน่าสยอสยองของกัวจื่อเซินนั้น เยี่ยทียนเห็นมาก่อนแล้ว และเป็นเขาเองที่เป็นคนลงมือ ภาพตรงหน้านี้ สำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่เท่าไหร่
เห็นคนอื่นๆที่นอนกองอยู่บนพื้น หูหงเต๋อก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป เงยไปสบตากับเยี่ยเทียน กล่าวว่า “เยี่ยเทียน นี่…พวกสามสี่คนนี้คงไม่ได้ตายแล้วเหมือนกันใช่มั๊ย”
“เปล่า เพียงแต่สลบไป ” เยี่ยเทียนส่ายหัว ชี้ไปที่บรรดาคนพวกนั้นแล้วกล่าวว่า “คนนี้ถูกปืนยิงไปหลายนัด คิดว่าคงไม่น่ารอดแล้ว!”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้หูหงเต๋อถอนใจ พวกไม่กี่คนนี้เขาล้วนแต่รู้จัก เป็นพวกเด็กที่โตมาจากครอบครัวล่าสัตว์ที่เขาฉางไป๋ซาน และก็ไม่สมควรจะตายทั้งหมด
“น่าเสียดาย ทำให้เมิ่งตาบอดหนีไปได้!”
เยี่ยเทียนตามมา ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง เมิ่งตาบอดยืมพลังวิญญาณประทับร่างเปลี่ยนเป็นคล่องแคล่วว่องไว พลังนี้หายไปท่ามกลางป่าอันลึกลับแล้ว
“เขาหนีไม่พ้นหรอก ขอเพียงอยู่ในภูเขาแห่งนี้ ฉันก็สามารถจะหาเขาจนเจอได้!” ไม่สามารถจับตัวการได้ หูหงเต๋อมีสีหน้าหงุดหงิดไม่น้อย
เพียงแต่หลังจากค้นหาไปรอบๆ แล้ว หูหงเต๋อก็มีสีหน้าประหลาดใจ เพราะป่าด้านหลังกองไฟนั้นมีหิมะปกคลุมอยู่ นอกจากรอยเท้าที่พวกเขามาแล้ว กลับไม่มีรอยเท้าออกไปเสียอย่างนั้น
“เหล่าหู เขาปีนต้นไม้หนีไป คุณหาไม่เจอหรอก” เยี่ยเทียนส่ายหัว ตามความสามรถของเขาแล้วสามารถปีนป่ายบนต้นไม้ได้ แต่ว่าหากเทียบกับเมิ่งตาบอดนั้นแล้ว ดูเหมือนจะห่างกันหลายขุม
“อืม ยังกล้ากลับมาอีก!”
เยี่ยเทียนเพิ่งพูดออกมา สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป เพราะเขาสัมผัสได้ว่าเมิ่งตาบอดได้ย้อนกลับมาทางป่าด้านหน้า หรือก็คือทางด้านขวาของหุบเขา ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“เหล่าหู รอผมอยู่นี่!”
เยี่ยเทียนหลังจากพูดจบ ร่างกายก็กระโดดอย่างรวดเร็วไปในทิศทางที่เมิ่งตาบอดอยู่ ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมเมิ่งตาบอดถึงได้วิ่งกลับมา แต่ครั้งนี้เยี่ยเทียนจะไม่ปล่อยเขาไปเด็ดขาด
อาศัยแสงดวงจันทร์ที่สะท้อนหิมะออกมา เยี่ยเทียนเห็นทางด้านขวาของหุบเขาสิบกว่าเมตร มีชายแก่ไม่สูงมากยืนอยู่ หลังจากได้ยินเสียงของเขาแล้ว คนนั้นก็หันหัวกลับมาอย่างเร็ว
“สวรรค์ นี่ยังเป็นคนอยู่มั๊ย” เมิ่งตาบอดดวงตามีสีเขียวปั๊ด เยี่ยเทียนจึงถอยหลังลับไปหยุดอยู่ด้านหน้าของเมิ่งตาบอดห่างประมาณเจ็ดแปดเมตร
เมิ่งตาบอดคิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองที่เบาขนาดนี้ ยังทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกตัวได้ พลันก็หมุนตัวกลับมา เปิดปากกล่าวว่า “แกเป็นคนที่ เหล่าหูเชิญให้มาช่วยเหลือใช่มั๊ย”
เยี่ยเทียนส่ายหัว ถามกลับไปว่า “ในฐานะคนของฉีเหมิน หูเสี่ยวเซียนเคยล่วงเกินแกเหรอ!”
ฉีเหมินมีกฎของฉีเหมิน ห้ามฆ่าคนบริสุทธิ์ แต่หากมีคนล่วงเกิน ลงมือทำร้ายคน ใครก็ว่าไม่ได้ ประโยคนี้ของเยี่ยเทียนทำให้เมิ่งตาบอดโต้เถียงไม่ได้
ปู่เมิ่งจะฆ่าคน จำเป็นจะต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ เด็กน้อย แกก็ตายเหมือนกันเถอะ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพลังวิญญาณที่ประทับร่างหรืออะไร เมิ่งเซียจือในเวลานี้สมองไม่แจ่มใส ลืมว่าเมื่อก่อนถูกอีกฝ่ายไล่ฆ่าจนแพ้ ต้องหนีหัวซุกหัวซุน กลับเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีเยี่ยเทียนก่อน