เมิ่งตาบอดเดิมทีร่างกายก็ไม่สูงมากนัก ตอนนี้คอกลับหดสั้นลง หูตั้ง สองมือตบลงบนพื้น ทั้งล่างตีลังกายืนขึ้น เหมือนกับลิงพุ่งเข้าหาเยี่ยเทียน
“หมัดวานร หรือว่าสามารถอัญเชิญเทพซุนหงอคงได้จริงๆ เหรอ”
วิชามวยพื้นฐานที่เยี่ยเทียนฝึกก็คือ มวยเบญจสัตว์ กระบวนท่าจะเลียนแบบสัตว์ อาศัยรูปร่างของสัตว์แปลงเป็นรูปร่างของการออกหมัด จึงเข้าใจเป็นอย่างดี เมื่อมองท่าทางของเมิ่งตาบอดแล้ว ก็รู้ว่าใช้หมัดวานร
หมัดวานรนี้สืบทอดมาจากนักต่อสู้ท่านหนึ่งคิดค้นขึ้นตอนอยู่ในป่าในปลายราชวงศ์ชิง ท่าออกหมัดคล่องแคล่วแปลกประหลาด การโจมตี การหลบหนีที่ไม่มีการเตรียมการ แตกต่างกับกลวิธีปกติเป็นอย่างมาก
จากท่ายืนที่ยังไม่ถูกต้อง เยี่ยเทียนจึงถอยหลังออกมาเล็กน้อยเพื่อหลบการโจมตีของเมิ่งตาบอด เมิ่งตาบอดถึงแม้จะรวดเร็ว แต่หากเทียบกับเยี่ยเทียนยังห่างชั้นกันอยู่มาก
เห็นเยี่ยเทียนหลบหลีก เมิ่งตาบอดก็ตีลังกาบนพื้น ไม่ได้ลุกขึ้นมาก็โจมตีไปทางเยี่ยเทียนสามกระบวนท่าโดยหนึ่งในนั้นก็คือ ท่าวานรขโมยลูกท้อ ซึ่งเป็นกระบวนท่าที่เลวร้ายมาก
เยี่ยเทียนเท้าขวายกขึ้นป้องกันการโจมตีของเมิ่งตาบอด มีเสียงดัง “ปึกปัก” ออกมา เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย กระบวนท่าที่เมิ่งตาบอดตะปบมา ทำให้ขากางเกงเขาขาดวิ่นแล้วยังครูดขาเขาอีกด้วย รู้สึกเจ็บปวดกล้ามเนื้อที่ขาขึ้นมา
การโจมตีนี้ไม่ทำให้เกิดบาดแผล เมิ่งตาบอดจึงตกตะลึง เขาเคยแอบซุ่มโจมตีคนขุดโสมคนหนึ่งบนเขา กรงเล็บของเขานั้นได้ดึงเนื้อของคนเก็บโสมคนนั้นออกมาก้อนหนึ่ง ไม่เคยคิดว่าสำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่มีความเสียหายอะไรเกิดขึ้นเลย
ปากก็ส่งเสียงร้องประหลาดขึ้นมา ในตอนที่เมิ่งตาบอดขยับตัวไปด้านหน้า ก็มีเงาสูงใหญ่มาบังตัวของเยี่ยเทียนไว้ เป็นหูหงเต๋อที่รีบมาจากในป่านั่นเอง
“เยี่ยเทียน ให้ฉันรับมือเอง!” เผชิญหน้ากับคนเคยคบค้าสมาคมกันเมื่อสิบปีก่อน จนในปัจจุบันกลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาต หูหงเต๋อสองหมัดกำแน่น มือสองข้างก็เปลี่ยนเป็นกรงเล็บอินทรีย์ ยกสูงขึ้นมา
“ระวังหน่อย ตัวเขาตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณเลย!” เยี่ยเทียนพยักหน้า หลังจากกำชับหูหงเต๋อไปประโยคหนึ่งแล้ว ก็เคลื่อนตัวถอยออกมาอีกฝั่งหนึ่ง
นกอินทรีย์ไม่เพียงแต่จับกระต่ายหรือหนูเป็นอาหารเท่านั้น ลิงบนเขาก็เป็นเป้าโจมตีของพวกมัน กรงเล็บเหยี่ยวปะทะหมัดวานร พอดีกับที่ต้านทานอีกฝ่ายได้
ถึงแม้หูหงเต๋อในเวลานนี้ จะมีสภาพร่างกายและจิตใจอ่อนแรงกว่าเมิ่งตาบอดเล็กน้อย แต่พลังวรยุทธ์ของเขามาจากการฝึกฝนด้วยตนเอง เมื่อใช้งานแล้วก็สั่งได้ดั่งใจมากกว่าเมิ่งตาบอดมากนัก
หมัดวานรออกหมัดแรง ชกออกไปใช้แรงตามจังหวะ แต่กรงเล็บอินทรีย์นั้นใช้พลังแข็งแกร่ง นิ้วทั้งห้าของหูหงเต๋อนั้นเหมือนกับกรงเล็บตะขอเหล็กกล้า พลังออกมาจากกระดูก แต่ละกรงเล็บที่ตะครุบออกไป ก็มีเสียงแรงลมดังขึ้นมา ทั้งสองคนต่อสู้กันขึ้นมา ในเวลาอันสั้นนั้นแพ้ชนะยากที่จะตัดสิน
“ตึง ปึก!”
ตามเสียงประทะที่ดังขึ้น เงาของทั้งคู่แยกออกจากกัน กลับเป็นหูหงเต๋อที่เสียเปรียบเล็กน้อย ด้านหลังถูกกรงเล็บของเมิ่งตาบอดตะกุย จนเป็นรอยนิ้วทั้งห้าเห็นได้อย่างชัดเจน
“เหล่าหู ทุกคนก็ล้วนหากินบนภูเขา แกเดินทางสายสว่างของแก ฉันก็เดินทางบนสะพานไม้โดดเดี่ยวของฉัน ทำไมแกต้องมาคอยขัดขวางฉันครั้งแล้วครั้งเล่าด้วย หรือว่ายึดติดอยู่กับความหลังครั้งเก่าก่อนพวกนั้นเหรอ”
หลังจากโจมตีไปได้หนึ่งหมัด เมิ่งตาบอดก็ไม่ได้โจมตีต่อ ดวงตากรอกหมุนไปมา มีเหลือบมองไปทางเยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ด้านข้างบ้างเป็นครั้งคราว
สำหรับหูหงเต๋อ เมิ่งตาบอดไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย แต่คนหนุ่มที่ไม่รู้จักตื้นลึกหนาบางนั้นทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นสุข ดังนั้นถึงแม้จะต่อสู้ช่วงชิงโอกาสได้ เมิ่งตาบอดกลับกล่าวว่าจาอ่อนน้อมลงมา
“เมิ่งเซียจือ กฎของภูเขาแกก็รู้ ฉันปล่อยแกไปหลายครั้ง แกกลับจะพรากเอาชีวิตหลานสาวของฉันไป แกกับฉันวันนี้ ไม่ตายไม่เลิกรา !”
หูหงเต๋ออายุมากกว่าเมิ่งตาบอดสิบกว่าปี เขามักให้ความสำคัญกับกฎระเบียบธรรมเนียมเก่าก่อน ก็เพราะแบบนี้ เขาถึงได้เกลียดเมิ่งตาบอดเข้าไส้ ทั้งสองคนไม่มีทางไกล่เกลี่ยให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
ถึงแม้จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดของบาดแผล หูหงเต๋อที่ถึงแม้จะอายุมากแต่ก็ยังคงมีพละกำลังอยู่ จึงไม่ได้รู้สึกอะไรมาก เขาเองก็รู้สึกได้ว่า ท่าทางบนร่างกายของเมิ่งตาบอดเหมือนกับกำลังอ่อนแรงลง
ไม่เพียงแต่หูหงเต๋อที่สัมผัสได้ เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน พลังวิญญาณที่ล้อมรอบตัวของเมิ่งตาบอดอยู่นั้น กำลังค่อยๆ หายไปทีละน้อย คาดว่าหลังจากสามถึงห้านาทีผ่านไป เมิ่งตาบอดก็จะกลับมาเป็นคนปกติอีกครั้ง
สีหน้าของเมิ่งตาบอดเปลี่ยนไป มีสีหน้าโกรธแค้นกล่าวว่า “เหล่าหู แกอย่าบีบคนให้จนตรอกมากเกินไป!”
เมิ่งตาบอดที่ได้ฝึกปรือวิชาชามันนั้น เริ่มมาจากคุณปู่ของเขา ในตอนที่กษัตริย์ชิงสละราชบังลังก์ เป็นตอนที่ประเทศจีนกำลังวุ่นวาย
เพื่อเป็นการรักษาสายเลือดของตัวเอง ปู่ของเมิ่งตาบอดไม่ได้ให้ลูกชายฝึกวิชาชามัน แต่สั่งให้คนพาลูกชายไปยังสถานที่ที่กำเนิดลัทธิชามันเพื่อหลบซ่อนตัว
ประเทศจีนในตอนนั้นไม่มีพื้นที่ไหนที่ปลอดภัย พ่อของเมิ่งตาบอดในท้ายที่สุดก็ร่วมกับหูอวิ๋นเป้าขึ้นเขาตั้งกองโจรขึ้นมา ในยุคที่ใช้ปืนผาหน้าไม้ต่อสู้กัน เขาก็ไม่ได้สนใจลัทธิชามันที่สืบทอดของตระกูลเท่าไหร่
รอจนพ่อของเมิ่งตาบอดถูกยิงตายแล้ว ที่บ้านก็เต็มไปด้วยหีบหนังสือเคล็ดวิชาสองหีบใหญ่ และก็ถูกเผาเสียหายไปหนึ่งหีบ อีกหีบหนึ่งอยู่ใต้เตียงจึงรอดมาได้ รวมถึงกลองหนังแพะและกระพรวนทองที่พกไม่ห่างกาย
คนบนเขานั้นใสซื่อ ไม่มีการดูถูกพ่อของเมิ่งตาบอดที่ถูกยิงตาย ดังนั้นตอนเด็กเขาก็เข้าเรียนได้สองปีจึงอ่านหนังสือออก โอกาสบังเอิญครั้งหนึ่งได้เปิดหีบนั้นดู
ภายในหีบบรรจุความรู้ที่เป็นประตูเปิดโลกกว้างให้กับเมิ่งตาบอด ถึงการสืบทอดจะขาดหายไม่สมบูรณ์ แต่เมิ่งตาบอดก็เรียนรู้จนสามารถเชิญองค์เทพประทับร่างได้ แต่วิชานี้ ก็มีข้อบกพร่องที่ร้ายแรงอยู่
นั่นก็คือพลังการเชิญองค์เทพสามารถรักษาไว้ได้ในเวลาที่จำกัด ปกติแล้วอย่างมากที่สุดก็ครึ่งชั่วโมง และหลังจากเชิญองค์เทพประทับแล้ว ร่างกายก็จะอ่อนแอลงอย่างผิดปกติ
ในตอนนี้ระยะเวลาที่พลังเทพจะสูญหายไปนั้นใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ดังนั้นเมิ่งตาบอดจึงยอมอ่อนข้อให้กับหูหงเต๋อ ดวงตาคู่นั้นในขณะเดียวกันก็มองไปรอบด้าน เหมือนกับว่าจะหาทางหนีทีไล่เอาไว้
“คิดจะหนีเหรอ อยู่ที่นี่แหละ!”
หูหงเต๋อเป็นคนระดับไหน แค่มองก็เห็นความคิดในใจของเมิ่งตาบอดแล้ว ในตอนนั้นไม่กล่าวมากความอีก โถมตัวเข้าไป กรงเล็บที่แข็งราวกับเหล็กโจมตีไปที่จุดตายของเมิ่งตาบอด
เยี่ยเทียนเห็นเท้าของเมิ่งตาบอดเริ่มลอยแล้ว ตอนนั้นจึงได้ตะโกนออกไป “เหล่าหู ออกแรงหน่อย มันจะไม่ไหวแล้ว!”
“วางใจได้ มันหนีไปไหนไม่ได้หรอก!”
หูหงเต๋อและเมิ่งตาบอดประทะหมัดกัน พลันก็รู้สึกได้ถึงพลังของอีกฝ่ายลดลงอย่างมาก ในปากก็เปล่งเสียงร้องของพญาอินทรีย์ออกมา กรงเล็บพุ่งเป้าไปที่คอหอยของเมิ่งตาบอด
ตามความคิดของหงหูเต๋อ เมิ่งเซียจื่อจะต้องหลบหลีกได้แน่นอน จากนั้นก็จะอาศัยจังหวะทำลายไหล่ทั้งสองข้างของเขา แต่ที่หงหูเต๋อคิดไม่ถึงก็คือ ร่างการของเมิ่งตาบอดแข็งค้าง ถูกกรงเล็บเล่นงานเข้าพอดี
หูหงเต๋อตั้งแต่เล็กก็จับลูกบอลไม้ในน้ำฝึกกรงเล็บ หลังจากนั้นก็เป็นลูกบอลไม้ใหญ่ขึ้น สุดท้ายก็เป็นลูกเหล็ก กรงเล็บตะครุบลงไปรุนแรงเกินต้านทาน หากว่าเป็นต้นไม้ที่ใหญ่เท่าชามข้าวแค่กรงเล็บเดียวก็หักคาต้น นับประสาอะไรกับคอของคนกัน
เนื่องจากเมื่อซักครู่ด้านหลังได้รับบาดเจ็บ หูหงเต๋อลงมือคราวนี้ออกแรงทั้งหมดทุ่มลงไป เขาคิดไม่ถึงว่าเมิ่งตาบอดไม่หลบหลีกแล้ว นิ้วมือของระบวนท่านี้แหลมคม แต่ยังไงก็ยั้งมือไม่อยู่แล้ว
ตามด้วยเสียง “ฉับ” ดังขึ้นอย่างชัดเจน คอของเมิ่งเซียจื่อก็ถูกกรงเล็บตัดขาดลงมา หัวกลิ้งตกลงบนพื้น ดวงตายังทอประกายไม่อยากเชื่อค้างอยู่
เมิ่งตาบอดคิดไม่ถึงว่า ในเวลาสำคัญแบบนี้ พลังเทพในร่างกายจะพลันสลายหายไป ฝีมือดั้งเดิมของเขาเองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหงหูเต๋อ คอนี้จึงเหมือนกับรอรับการมาของกรงเล็บพญาอินทรีย์
“เหล่าหู คุณ…ทำไมคุณถึงฆ่ามันไปแล้วหล่ะ”
เยี่ยเทียนก็คิดไม่ถึงว่าผลแพ้ชนะจะตัดสินกันเร็วขนาดนี้ และเหมือนกับคำที่หูหงเต๋อลั่นวาจาเอาไว้ ทั้งสองจะสู้กันไม่พักจนกว่าจะมีใครตาย
ความเป็นความตายของเมิ่งตาบอด เยี่ยเทียนไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ แต่สำหรับวิชาของเมิ่งตาบอด เขากลับอยากหามาดูซักหน่อย ดูว่าวิชาชามันนี้มันเป็นยังไงกันแน่
แต่ว่าพอเมิ่งตาบอดตายไป การสืบทอดนั้นก็เท่ากับว่าตายไปพร้อมกับเขาแล้ว นี่ทำให้เยี่ยเทียนผิดหวังอยู่ไม่น้อย ยุทธภพฉีเหมินในครั้งนี้ก็จะมีส่วนขาดหายไปอีกหนึ่ง
“ฉัน..ฉันก็คิดไม่ถึงว่ามันจะไม่หลบนี่!”
หูหงเต๋อหน้าตาไม่สู้ดี ค่อยๆ ปล่อยมือที่บีบคอหอยของเมิ่งตาบอดออก ร่างกายที่ไร้ลมหายใจจึงล้มตึงลงไปที่พื้น
หูหงเต๋อได้เก็บพลังที่ปล่อยออกมาแล้ว เพียงแต่ความสามารถของเขายังไม่ได้สลายไป ปลายนิ้วที่มีพลังแฝงจึงยังเก็บไม่ได้ แต่พลังที่เหลือก็ไม่ได้ตะครุบอวัยวะเส้นเลือดอื่น ถือว่าเป็นการเหลือร่างที่สมบูรณ์ให้กับเมิ่งตาบอดแล้ว
“เอาเถอะ ดูว่าบนตัวของมันมีอะไรเหลือทิ้งไว้บ้างเถอะ”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ กล่าวว่า “เหล่าหู จุดไฟไว้บริเวณที่ว่างแบบนี้ คุณออกไปแบกคนที่ไม่ตายมาก่อน ไม่อย่างนั้นปล่อยไว้เดี๋ยวก็แข็งตาย!”
สภาพอากาศลบยี่สิบสามสิบองศา เกรงว่าในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็จะทำให้เส้นเลือดและชีพจรแข็งตัว อีกทั้งหูหงเต๋อก็บอกเองว่าโทษของพวกนั้นไม่ถึงกับตาย เยี่ยเทียนเองก็อยากไว้ชีวิตพวกนั้นด้วย
นอกจากกัวจื่อเซินและคนที่ถูกเขายิงที่ตายไปแล้ว พวกคนที่ตามเมิ่งตาบอดเข้ามาในภูเขาก็เหลือรอดเพียงสองคนเท่านั้น มือหนึ่งแบกคนหนึ่ง เยี่ยเทียนเอาพวกเขาไปทิ้งไว้บริเวณที่หูหงเต๋อจุดไฟไว้
ในมือของหูหงเต๋อมีหนังแกะอยู่ชิ้นหนึ่ง โชว์ต่อหน้าเยี่ยเทียนแล้วกล่าวว่า “เยี่ยเทียน เธอมาดูของสิ่งนี้ ฉันหยิบมาจากร่างของเมิ่งตาบอด”
นอกจากหนังแกะผืนนั้นแล้ว ในมือของหงหูเต๋อยังหยิบโสมป่าที่มีขนาดใหญ่เท่านิ้วหัวแม่มือเอาไว้ด้วย แต่กลองหนังแกะก่อนหน้านั้นกลับไม่เห็นเงา
“เหล่าหู ด้านบนมีแผนที่วาดเอาไว้ “ เยี่ยเทียนหยิบแผ่นหนังแกะมา พิจารณาดูอย่างละเอียด เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “หนังแกะนี้ถูกตัดทำไว้ดูแล้วมีอายุไม่น้อยเลย”
“ใช่ หนังแกะนี้มีอายุไม่เกินยี่สิบปี แต่แผนที่นี้ค่อนข้างน่าสนใจ”
หูหงเต๋อพยักหน้า มองทางเดินบนแผนที่แล้วกล่าวว่า “เส้นทางหลักนี้ก็คือทางไปยังบึงน้ำมังกรดำ หรือก็คือบริเวณที่พวกเราสองคนยืนอยู่ และจุดนี้ ก็คือที่นั่น!”
หูหงเต๋อชิ้นิ้วไปตามทิศทาง ที่แท้ก็ห่างจากพวกเขาไปประมาณสิบกว่าเมตร เป็นผนังเชิงผา ตอนแรกที่เยี่ยเทียนเห็นเมิ่งตาบอดนั้น เขาก็เหมือนกับกำลังยืนอยู่หน้าผนังเชิงผานั้นอยู่
“น่าแปลก!” เยี่ยเทียนและหูหงเต๋อมองตากัน และลุกขึ้นไปดูพร้อมกัน
“อืม นี่ไม่ใช่กลองที่เมิ่งตาบอดตีหรอกเหรอ” เยี่ยเทียนเตะโดนของสิ่งหนึ่งเมื่อหยิบขึ้นมาดู พลันตาก็โตขึ้นมา