ขณะที่ยืนอยู่นอกอากาศพิษเจ็ดแปดเมตร เยี่ยเทียนหลับตาโคจรลมปราณเพื่อสัมผัสลมหายใจภายในร่างกาย หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาจึงลืมตาขึ้นแล้วค่อยๆ เดินเข้าไป
ระยะห่างเจ็ดแปดเมตรเวลาเดินเพียงสามถึงห้าก้าวเท่านั้น ไม่ช้าร่างกายทั้งตัวของเยี่ยเทียนก็เข้าหายเข้าไปในหมอกสีเทานั้นแล้ว
เวลานี้ลมหายใจของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นการหายใจโดยใช้กำลังภายใน และสิ่งที่โหมซัดสาดเข้ามารอบตัวเยี่ยเทียนนั้น เหมือนจะเป็นเกราะป้องกันที่มองไม่เห็น ทำให้หมอกที่แฝงไปด้วยพิษสามารถกำบังร่างกายเอาไว้ภายนอกได้
“ไม่ได้ สภาพตอนนี้ของฉัน มากสุดสามารถรักษาได้เพียงสิบนาที ถ้าเดินเข้าไปข้างในแล้วพบสัตว์ประหลาด เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน!”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะมีความกล้าหาญ แต่ก็ไม่ช่จะไม่รู้จักคำว่าอันตราย หลังจากรับรู้ถึงสภาพร่างกายของตัวเองแล้ว จึงไม่ขยับร่างกายท่อนบน แต่เท้ากลับค่อยๆ ถอยออกไป หลังจากเจ็ดถึงแปดนาทีก็กลับมาถึงปากหุบเขา
“เยี่ยเทียน เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?!”
หูหงเต๋อชะโงกศีรษะเยี่ยมๆ มองๆ ไปทางหุบเขา พร้อมกับในมือถือปืนเอ็มเจ็ดเก้าที่แย่งมาจากกัวจื่อเซิน เมื่อเห็นเทียนเทียนออกมาแล้ว เขาจึงรีบเดินเข้าไปรับ
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางพูด “ไม่เป็นไร เหล่าหู อากาศพิษที่อยู่ในหุบเขาเกรงว่าน่าจะเป็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นพ่นออกมา!”
เยี่ยเทียนเคยได้ยินท่านอาจารย์เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ นอกจากคนแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ผ่านการฝึกฝนจนเกิดสติปัญญาที่เฉลียวลาด และสัตว์แบบนี้ก็จะถูกเรียกว่าสัตว์วิเศษ
เพียงแต่สติปัญญาของสัตว์วิเศษเหล่านี้จะมีความเฉลียวฉลาดเหมือนเด็กอายุสองสามขวบ เมื่ออาศัยความสามารถในการรับรู้ที่มีมาแต่กำเนิด พวกมันก็รู้สึกถึงอันตรายที่อยู่ภายนอก ดังนั้นปกติจึงชอบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแม่น้ำสายใหญ่และภูเขาที่อยู่ลึก ไม่ให้คนรู้
หลี่ซั่นหยวนบุกเหนือล่องใต้มาทั้งชีวิต เดินทางไปเหยียบแม่น้ำของประเทศนี้เกือบหมดแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเห็นการมีตัวตนอยู่ของสัตว์วิเศษแต่เขาก็รู้มาจากปากของอาจารย์ตัวเองเท่านั้น
ดังนั้นแม้แต่หลี่ซั่นหยวนก็ไม่กล้ายืนยันว่ามีสัตว์วิเศษอยู่บนโลกใบนี้ ตอนนั้นก็แค่แสร้งทำเป็นเล่านิทานให้ฟัง และเยี่ยเทียนก็ยังเด็ก จึงคิดว่าเป็นนิทานเท่านั้น
แต่หลังจากได้ฟังหูหงเต๋อเล่าเรื่องสัตว์ประหลาด และเยี่ยเทียนก็ได้ไปสำรวจอากาศพิษนั่นด้วยตัวเองแล้ว เขาจึงเกือบจะมั่นใจได้ว่า สิ่งที่ซ่อนอยู่ในหุบเขาลูกนี้ต่อให้ไม่ใช่สัตว์วิเศษ ก็ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเฉลียวลาดที่ค่อนข้างสูง
และพลังจักรวาลที่แฝงอยู่ในอากาศพิษนั้น ไม่ได้ก่อตัวขึ้นจากธรรมชาติ และในตำนานกล่าวว่าการฝึกตนของสิ่งมีชีวิตจะต้องกลืนและคายพลังของจักรวาลออกมา ไม่แน่อากาศพิษที่อยู่ไปทั่วหุบเขาลูกนี้ ล้วนเป็นผลมาจากการหายใจเข้าออกของมัน
“เธอพูดว่าอากาศพิษที่เต็มภูเขาลูกนี้คือสัตว์ประหลาดตัวนั้นพ่นออกมา? อย่างนั้นก็เป็นภูตวิเศษล่ะสิ?” หูหงเต๋อกลับยากที่จะยอมรับคำพูดของเยี่ยเทียน ดวงตาเกือบจะถลนออกมา
ทั้งชีวิตของเขาฆ่าเสือที่ดุร้ายมานับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยเห็นภูตผีวิญญาณในภูเขา จึงส่ายหน้าติดต่อกัน เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของเยี่ยเทียน
“เหล่าหู บนโลกใบนี้ใช่ว่าจะไม่มีภูตผีและสัตว์ประหลาด!”
ก่อนหน้านั้นเยี่ยเทียนก็ไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้ แต่เมื่อตัวเองได้เลี้ยงเจ้าเฟอร์เร็ตตัวหนึ่งที่เข้าใจคน และการมาภูเขาฉางไป๋ซานในครั้งนี้ ยังได้เห็นวิชาเข้าทรงเชิญเทพเจ้าเข้าร่างที่แปลกประหลาดของเมิ่งตาบอดโดยใช้กลองสำริดที่แขวนอยู่ที่เอว ทำให้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนความรู้ที่มีต่อโลกใบนี้ของเยี่ยเทียน
ตามความคิดของเยี่ยเทียนนั้น ลิทธิชามันที่พูดว่าทุกสรรพสิ่งมีจิตวิญญาณนั้น ก็ไม่ใช่การพูดที่ไม่มีมูลความจริง เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถพัฒนาการเข้ามาในระดับของมนุษย์ได้เท่านั้นเอง
“พอแล้ว เยี่ยเทียน เธอไม่ต้องคิดมากเกินไป พวกเรานอนอยู่ที่นี่ แล้วพรุ่งนี้เช้าก็กลับถึงจะเป็นเรื่องจริง!”
หูหงเต๋อรู้สึกกลัวหุบเขาที่อยู่ตรงหน้าอยู่บ้าง จึงพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่ดับกองไฟนี้ พวกเราก็เข้าไปในป่าแล้วก่อไฟใหม่ดีไหม?”
เดิมทีถ้านอนหลับอยู่ที่กลางภูเขานั่นจะปลอดภัยที่สุด แต่หูหงเต๋อรู้สึกกลัวว่าพรุ่งนี้ถ้าออกไปจะถูกสัตว์ประหลาดตัวนั้นขวางทาง ถึงตอนนั้นถ้าอยากจะหนีก็หนีไม่รอด
“ไม่เป็นไร เหล่าหู คุณนอนเถอะ ผมจะคอยเฝ้าคุณเอง!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า จากนั้นเขาจึงนั่งสมาธิโคจรลมปราณ เวลาผ่านไปสองชั่วโมงก็สามารถฟื้นฟูพลังชี่ดั้งเดิมที่สูญเสียไปทั้งวันกลับคืนมาทั้งหมด ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวภายนอกใดๆ ก็ไม่สามารถเล็ดรอดสายตาและหูของเยี่ยเทียนไปได้
“โอเค ฉันนอนก่อนนะ แล้วหลังเที่ยงคืนเธอค่อยเรียกฉัน!”
วันนี้รีบเดินทางบนภูเขามาหนึ่งวันเต็ม และตอนเย็นก็ยังต่อสู้กับเมิ่งตาบอด หนำซ้ำหลังก็ยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ทำให้กำลังวังชาของหูหงเต๋อได้ใช้ถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้าไม่พักผ่อนอีกก็คงจะทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ
เขาก็เป็นคนที่รู้จักปล่อยวางคนหนึ่ง พอนอนได้สักพักก็มีเสียงกรนดังออกมา เยี่ยเทียนจึงเพิ่มฟืนแห้งเข้าไปในกองไฟ นั่งอยู่ข้างตัวของหูหงเต๋ออย่างเงียบๆ
เยี่ยเทียนไม่ได้ปลุกหูหงเต๋อตลอดทั้งคืน จนกระทั่งตอนฟ้าสาง พระอาทิตย์เริ่มส่องแสงขึ้นมา หูหงเต๋อจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็เห็นเยี่ยเทียนได้ยืนฝึกวิชาอยู่ที่ชายป่าแล้ว
ขณะที่รอให้พระอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือยอดเขาที่อยู่ไกลๆ มองเห็นเยี่ยเทียนกำลังกลืน “พลังชีวิตสีม่วงจากดวงตะวัน” เข้าไปในปาก หลังจากพลังนี้ผ่านลำคอ ช่วงหน้าอกและหน้าท้องของเยี่ยเทียนเหมือนมีหนูวิ่งมุดไปมาและเดินไม่หยุด
จากนั้นจึงหายใจออกเห็นเป็นเหมือนผ้าสีขาวยาวๆ ที่ออกมาจากปากของเยี่ยเทียนยาวออกไปไกลสิบเมตรโดยไม่กระจายออกจากกัน หูหงเต๋อที่ดูอยู่ข้างๆ จึงอ้าปากค้าง ตอนนี้เขาจึงรู้ระยะห่างที่แท้จริงระหว่างตัวเองกับเยี่ยเทียนแล้ว
“เยี่ยเทียน วิชา…วิชาของเธอฝึกแบบนี้ออกมาได้ยังไง?” เมื่อเห็นวิธีการของเยี่ยเทียนแล้ว หูหงเต๋อจึงรู้สึกว่าสิบกว่าปีที่ตัวเองใช้ชีวิตนั้นเสียเปล่า
หลังจากได้ยินคำพูดของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนจึงยิ้มพูด “เหล่าหู ที่ผมฝึกคือวิชาของลัทธิเต๋า คุณฝึกไม่ได้หรอก แล้วก็ไม่ต้องอิจฉาด้วย”
“กลับไปผมจะใช้โสมสองสามอันนั้นมาปรุงยาวิเศษ หลังจากคุณทานแล้วก็สามารถฝึกวิชาและเดินลมปราณได้ ถึงตอนนั้นไม่แน่คุณอาจจะมีอายุยืนยาวเป็นร้อยปีก็คงไม่มีปัญหา”
“เฮ้อ ถ้ารู้แบบนี้ฉันคงเรียนวิชาที่สืบทอดมาจากตระกูลไปนานแล้ว” หูหงเต๋อกลุ้มใจไม่หยุด ในความคิดของเขา ทักษะและความสามารถเหล่านี้ของเยี่ยเทียนเป็นผลมาจากการฝึกฝนวิชาของเขา
“เคล็ดการฝึกวิชาของแต่ละสำนักไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ผู้สืบทอดของลัทธิเต๋า การฝึกตนแต่ไม่ฝึกจิตนั้นก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน!” เยี่ยเทียนส่ายหน้า ทันใดนั้นในใจจึงเกิดการรับรู้ แล้วจึงรีบมองไปที่หุบเขาทันที แล้วจึงตกตะลึงงัน
“เป็นอะไรไปเยี่ยเทียน?” หูหงเต๋อเห็นเยี่ยเทียนหยุดกะทันหัน จึงมองไปตามสายตาของเยี่ยเทียน พอพูดได้แค่ครึ่งเดียวแล้วจึงพูดไม่ออก
ภูเขาฉางไป๋ซานในฤดูหนาว กลับไม่มีหมอกควันอะไรแล้ว และจากตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ ก็สามารถมองเห็นต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ในหุบเขาได้อย่างชัดเจน เพียงแต่ส่วนที่มีอากาศพิษปกคลุมอยู่นั้นยังไม่สามารถมองเห็นสภาพที่อยู่ข้างในได้
ทว่าในเวลานี้ หมอกที่อยู่ในหุบเขากลับลดลงอย่างรวดเร็วโดยเห็นได้จากตาเปล่า เหมือนถูกเครื่องดูดอากาศที่ดูดควันเหล่านั้นออกไปจนหมดเกลี้ยง
หลังจากเวลาผ่านไปเพียงสามถึงสี่นาที หมอกที่ปกคลุมหุบเขาทั้งลูกนั้นกลับหายไปไม่เห็นแล้ว หน้าผาสูงชันทั้งสองข้างกับบึงน้ำลึกที่อยู่ตรงกลาง ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อ
“ที่แท้ก็เป็นสัตว์วิเศษตัวนั้น เหล่าหู คุณรอผมอยู่ที่นี่!” เยี่ยเทียนพูดทิ้งท้าย จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปในหุบเขาราวกับลูกธนูที่ยิงออกไป
ระยะห่างของบึงน้ำในหุบเขากับปากหุบเขาห่างกันหลายร้อยเมตร จากสายตาของหูหงเต๋อจึงมองไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ไม่เหมือนกับเยี่ยเทียน เหมือนเขาจะมองเห็นสัตว์ประหลาดที่เหมือนงูแต่ไม่ใช่งูตัวหนึ่งยื่นออกมาจากผิวน้ำ และหมอกเหล่านั้นก็ถูกมันสูดเข้าไปในปาก
สัตว์ประหลาดที่อยู่ในภูเขาที่สามารถดูดพลังงานสุดยอดของพระอาทิตย์และพระจันทร์ก็เป็นเหมือนในตำนาน เวลานี้เยี่ยเทียนไม่สนใจความกลัวแล้ว เขาอยากจะรู้ว่าสัตว์ประหลาดนั่นคือตัวอะไรกันแน่? และมีพลังวิเศษจริงไหม?
ความเร็วของเยี่ยเทียนนั้นสุดยอดมาก ระยะห่างหลายร้อยเมตรถูกเขาดึงเข้ามาใกล้ภายในชั่วพริบตา หลังจากรอให้สัตว์ประหลาดที่อยู่ในสระน้ำสูดอากาศพิษเส้นสุดท้ายหมดแล้ว ร่างกายของเยี่ยเทียนก็มาถึงสถานที่กว้างสิบกว่าเมตรของสระน้ำ
“กรุ กรุ!”
และเหมือนมันจะสัมผัสถึงพลังชีวิตที่อยู่ภายในของเยี่ยเทียนได้ สัตว์ประหลาดตัวนั้นกลับไม่ได้โจมตีเยี่ยเทียนเหมือนที่เล่าตามตำนาน แต่มันกำลังส่งเสียงเรียกออกมาเหมือนเด็กทารกที่กำลังเตือนเยี่ยเทียน
หลังจากเก็บพลังอาฆาตภายในร่างกายแล้ว กลับมีเลือดและพลังลมปราณโหมซัดสาดเข้ามา จากนั้นเยี่ยเทียนจึงเอ่ยพูดว่า “ฉันไม่ได้มีเจตนาร้าย แกกับฉันเป็นพวกเดียวกัน สามารถปรากฏตัวได้ไหม?”
เนื่องจากบึงน้ำนี้มีสีดำเหมือนหมึก นอกจากศีรษะเหมือนงูและมีวัตถุนูนออกมาแล้ว เยี่ยเทียนก็มองสภาพอย่างอื่นใต้น้ำไม่เห็นเลย
“กรุ…กรุ กรุ!”
ดูเหมือนมันจะสัมผัสถึงพลังชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์ของเยี่ยเทียนได้ ศีรษะที่อยู่ในสระน้ำนั้นจึงพยักหน้าให้เยี่ยเทียน จากนั้นก็ม้วนตัวลงในน้ำ แล้วร่างกายขนาดใหญ่ก็ลอยมาที่ริมฝั่ง
“ว้าว นี่..นี่คือมังกรคะนองน้ำจริงๆ ใช่ไหม? มีสิ่งมีชีวิตแบบนี้อยู่บนโลกใบนี้จริงเหรอ?” เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาทั้งหมดของสัตว์ประหลาดที่อยู่ในน้ำแล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และสติสตังเกือบหลุด
เจ้าตัวที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนตอนนี้ มีรูปร่างไม่ต่างจากงู ตัวยาวประมาณเจ็ดถึงแปดเมตร และลำตัวหนามากเหมือนกับถังน้ำ
ตรงลำคอของมันมีลายสีขาวงอกออกมา และหลังของมันยังมีลายสีดำอีกด้วย หน้าอกสีน้ำตาลอมแดง ตัวเลื่อมเป็นประกายทั้งตัว เหมือนกับผ้าดิ้นสีสันสวยงามวาววับจับตา
สิ่งเหล่านี้ยังไม่ทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึงพอ เพราะสิ่งที่มหัศจรรย์มากที่สุดคือศีรษะที่สูงราวสามเมตรของสิ่งมีชีวิตนี้ มีกรงเล็บงอกออกมาหนึ่งคู่ แต่ละกรงเล็บก็มีเพียงสามนิ้ว บางทีอาจจะมีสาเหตุจากการใช้ชีวิตในบึงน้ำ และนิ้วทั้งสามก็มีตีนกบ
หางที่ยาวแหลมของสิ่งมีชีวิตนี้แข็งแกร่งเหมือนหนามแหลม ดวงตาและคิ้วมีเนื้องอกออกมาตัดสลับระหว่างดวงตา ซึ่งเหมือนกับมังกรคะนองน้ำในตำนานจริงๆ
“กรุ กรุ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังตกตะลึงนั้น จู่ๆ เจ้ามังกรคะนองน้ำตัวนี้ก็ส่งเสียงที่ดุร้าย เยี่ยเทียนหันไปกลับเห็นหูหงเต๋อถือปืนเอ็มเจ็ดเก้าวิ่งพุ่งมาทางนี้
เมื่อเห็นมังกรคะนองน้ำตัวนี้รู้สึกกระวนกระวาย เยี่ยเทียนจึงรีบแผดเสียงใส่เสียงดัง “เหล่าหู กลับไป รีบกลับไป!”
จนกระทั่งหูหงเต๋อถอยออกไปจากปากหุบเขา เจ้ามังกรคะนองน้ำตัวนั้นจึงเงียบสงบลง แล้วใช้ดวงตาโตเหมือนหลอดไฟคู่นั้นมองเยี่ยเทียนไปมา เหมือนกำลังสงสัยว่าเขามีพลังชีวิตที่เหมือนกับ“เพื่อน” ของตัวเอง แต่ทำไมรูปร่างถึงได้ประหลาดขนาดนี้?
เมื่อเห็นมังกรคะนองน้ำตัวนี้เหมือนจะไม่ได้ทำร้ายตัวเอง เยี่ยเทียนจึงสบายใจ แล้วเอ่ยพูดว่า “ฉันพูดแกเข้าใจไหม?”
“กรุ กรุ!” เจ้าตัวนี้ขานรับเยี่ยเทียน แล้วจึงพยักหน้าติดต่อกันด้วยศีรษะที่ใหญ่โต จากนั้นจึงอ้าปาก แล้วกลิ่นเหม็นคาวก็มาแตะปลายจมูกของเยี่ยเทียนทันที