เมื่อเห็นอานุภาพการสะบัดหางของเฮยเจียว เยี่ยเทียนตกใจจนมีเหงื่อเย็นไหลทั้งตัวไม่หยุด ถ้าหากตัวเองไม่มีพลังที่เหมือนกับมัน ตัวเองก็คงยากที่จะหนีรอดจากมังกรคะนองน้ำที่ในบึงน้ำมังกรดำแห่งนี้
หลังจากสะบัดหางที่เป็นเหมือนแส้แล้ว เฮยเจียวจึงส่งเสียง “กรุ กรุ” ออกมาอย่างภาคภูมิใจ แล้วดวงตาคู่นั้นก็มองเยี่ยเทียนเหมือนเป็นการเยาะเย้ยเขา
การใช้ชีวิตอยู่ในภูเขาร้อยกว่าปี นอกจากกลุ่มคนที่สร้างความรู้สึกอันตรายให้มันเมื่อหลายสิบปีก่อน เฮยเจียวก็ไม่เคยเจอคู่แข่งอีกเลย และบริเวณรอบๆ บึงน้ำมังกรดำ มันจึงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
“เฮยเจียว สังคมตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว มีอาวุธมากมายที่สามารถฆ่าแกได้”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เพราะสังคมในตอนนี้ คนที่เป็นศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่กระแสหลักในสังคมแล้ว อย่างเช่น หูหงเต๋อที่อย่างน้อยก็สามารถต่อสู้กับคนธรรมดาได้สามถึงห้าคน แต่ถ้าคนธรรมดาถือปืนอยู่ในมือ ก็สามารถฆ่าเขาได้เช่นกัน
ดังนั้นแม้ว่าเฮยเจียวจะเก่งกาจแค่ไหน สุดท้ายมันก็คือสัตว์ที่อยู่บนโลกใบนี้ และพวกมนุษย์ก็มีวิธีฆ่ามัน หรือแม้กระทั่งจับตัวมันเป็นๆ เยี่ยเทียนไม่อยากให้สิ่งมีชีวิตที่คล้ายมังกรต้องเจอจุดจบแบบนั้น
“กรุ กรุ!” เฮยเจียวร้องและส่ายหน้า แต่สายตากลับมองไปที่หูหงเต๋อที่นอกหุบเขา เหมือนว่ามันจะรู้สึกได้ถึงของที่ถืออยู่ในมือของคนนั้น ที่เหมือนจะสามารถทำร้ายตัวเองได้นิดหน่อย
ถ้าอยากจะโน้มน้าวเจ้าผู้ครองภูเขาฉางไป๋ซานให้สำเร็จ เยี่ยเทียนจึงต้องใช้ลูกเล่นนิดหน่อย แล้วจึงพูดว่า “ไม่เชื่อใช่ไหม? แกตามฉันมา!”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินออกไปข้างนอก เฮยเจียวจึงลังเลพักหนึ่ง แต่ก็ยังเอี้ยวตัวตามไปข้างหน้า วิธีคลานของมันมีความพิเศษเฉพาะตัวมาก ไม่ขยับตีนกบสองข้างที่อยู่ข้างหน้าเลยสักนิด และทั้งตัวของมันก็เหมือนกับงูที่เลื้อยคดเคี้ยวไปข้างหน้าและรวดเร็วมาก
“เยี่ยเทียน คุณพามันมาทำอะไร?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนพามังกรคะนองน้ำเดินออกมาจากหุบเขา หูหงเต๋อจึงรีบถอยหลังติดต่อกัน จนกระทั่งถอยไปที่ป่าเก่าแก่ที่มีระยะห่างสามสิบเมตรจากปากหุบเขาแล้วจึงหยุดฝีเท้า
เยี่ยเทียนลูบศีรษะของเฮยเจียว แล้วชี้ไปที่หูหงเต๋อพลางพูด “เฮยเจียว นั้นเป็นพวกเดียวกัน ต่อไปถ้าแกเจอเขาห้ามทำร้ายเขานะ”
เฮยเจียวมองดูหูหงเต๋อ พร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความฉงน เพราะสัตว์เลื้อยคลานตัวนั้นไม่มีพลังจักรวาลเลยสักนิด อ่อนแอจนตัวเองสามารถกลืนเขาเข้าไปได้เพียงคำเดียว แล้วจะเรียกว่าเป็นพวกเดียวกันได้อย่างไร?
แต่บนภูเขาที่ใหญ่ขนาดนี้ เฮยเจียวได้เห็น “เพื่อน” ที่มีวรยุทธ์เหมือนกันเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงรู้สึกเชื่อเยี่ยเทียนอย่างบอกไม่ถูก จึงเก็บสายตาที่ดุร้ายไว้แล้วพยักหน้าให้หูหงเต๋อ
เยี่ยเทียนกวักมือเรียก แล้วพูด “เหล่าหู คุณมานี่ และในใจห้ามมีความคิดร้ายหรืออยากฆ่าใครนะ”
เฮยเจียวมีความสามารถที่แข็งแกร่งในการสัมผัสการขับเคลื่อนของพลังชีวิต แค่มีเจตนานิดหน่อยมันก็สามารถรับรู้ได้ ซึ่งไม่เหมือนกับการฝึกวรยุทธ์ของเยี่ยเทียน ความสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งชั่วร้ายจึงเป็นพรสวรรค์ของสัตว์ตั้งแต่เกิด
“เจ้า…เจ้าตัวนี้ถ้าพัฒนาการอีกหน่อย ก็…ก็จะเป็นมังกรจริงๆ ใช่ไหม?”
หูหงเต๋อไม่ใช่คนขี้ขลาด หลังจากเอาปืนไปไว้ข้างหลังแล้ว จึงเดินมาที่ตัวของเฮยเจียวที่ยาวสี่ถึงห้าเมตร และเหมือนถูกความรู้ที่สมจริงที่ทรงอานุภาพกดทับ ทำให้เขาไม่กล้าเดินเข้าไปข้างหน้า
“บนโลกใบนี้มีมังกรจริงไหมนั้นพูดยาก แต่เฮยเจียวตัวนี้ (มังกรคะนองน้ำ) เกรงว่าจะมีอยู่สองสามตัวมั้ง?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า สายตาจ้องมองไปที่หูหงเต๋อพลางพูด “เหล่าหู เรื่องที่มีมังกรคะนองน้ำอยู่ในบึงน้ำมังกรดำ คุณห้ามบอกใครเด็ดขาด ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล่าขานเป็นตำนาน ก็อาจจะมีคนเชื่อ”
และบนโลกใบนี้คนที่ชอบเสี่ยงก็มีมาก ถ้าหากมีคนรู้ว่าที่นี่มีมังกรคะนองน้ำอยู่จริง เกรงว่าในภายภาคหน้าบึงน้ำมังกรดำจะไม่สงบสุขอีกต่อไป แล้วภูเขาที่กว้างใหญ่ลูกนี้ก็ไม่อาจกั้นจิตใจที่ชั่วร้ายของคนได้
“ฉันรู้แล้ว เธอสบายใจได้!” หูหงเต๋อพยักหน้าตอบรับ
เยี่ยเทียนจึงเอ่ยพูด “อ้อใช่ เหล่าหู เอาปืนที่อยู่ข้างหลังคุณมาให้ผม!”
ถ้าอยากให้มังกรคะนองน้ำเชื่อการคุกคามของคนภายนอกที่มีต่อมัน จึงจำเป็นต้องให้มันรู้จักอานุภาพของอาวุธในยุคปัจจุบันนี้ หลังจากรับปืนเอ็มเจ็ดเก้ามาจากมือของหูหงเต๋อแล้ว เยี่ยเทียนจึงเหนี่ยวไกปืนแล้วยิงกระสุนไปที่ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลหมดไปหนึ่งชุด
“ปัง ๆ…ปัง ๆๆ!”
เสียงปืนดังกังวานสะท้อนไปมาอยู่ในภูเขา กระสุนหนึ่งชุดยิงไปโดนต้นไวท์เบิร์ช จากนั้นหิมะก็ร่วงลงมาไม่หยุด หลังจากยิงกระสุนหมดไปหนึ่งชุดแล้ว บนลำต้นไม้จึงมีรูกระสุนลึกอยู่มากมาย
“เป็นยังไงบ้าง? แกสามารถหลบกระสุนนี้ได้ไหม?”
เยี่ยเทียนมองไปทางเฮยเจียว แต่กลับพบว่ามันไม่ได้มีสีหน้าที่ตกใจเลย และดวงตาของมันก็เผยให้เห็นถึงการดูถูก
“กุ…กรุ!”
เฮยเจียวส่ายหน้าเบาๆ และยื่นหางแหลมที่เต็มไปด้วยหนามมากมายมาอยู่หน้าเยี่ยเทียนอย่างฉับพลัน ครั้นแล้วก็สัมผัสปืนกระบอกนั้น จากนั้นก็ขยับร่างกายเดินออกไปเจ็ดถึงแปดเมตร
“แก…แกจะให้ฉันยิงใส่แก?” เยี่ยเทียนเข้าใจความหมายของเฮยเจียว
“กรุ กรุ!” เฮยเจียวพยักหน้าหงึกๆ เหมือนจะมั่นใจการป้องกันบนตัวของมันมาก
“โอเค แกระวังหน่อยนะ!” เยี่ยเทียนรู้ว่าสัตว์วิเศษอย่างเฮยเจียว มีความรู้สึกรับรู้ที่แข็งแกร่งต่อสิ่งอันตราย ในเมื่อมันกล้าทำแบบนี้ แสดงว่ามันมีความมั่นใจมากแน่นอน
“ระวังนะ!” เยี่ยเทียนเปลี่ยนกระสุนหนึ่งชุด แล้วจึงเปลี่ยนโหมดเป็นยิงทีละนัด จากนั้นจึงเล็งไปที่หางของเฮยเจียวแล้วเหนี่ยวไกปืน
“ปัง ปัง!”
ยิงติดต่อกันสองนัด แล้วจึงเกิดเสียงปืนดังกังวาน ทว่าเสียงทองแดงกับเหล็กที่ปะทะกันออกมาสองเสียงนั้น ทำให้เยี่ยเทียนต้องเอาปืนลงและมองไปที่เฮยเจียว หางสีดำเป็นประกายสวยงามของมัน กลับปรากฏจุดสีขาวแค่สองจุด
“ว้าว นี่…นี่มันสุดยอดเกินไปแล้ว?”
ถึงแม้ปืนเอ็มเจ็ดเก้านี้จะมีอานุภาพไม่แรงเท่าปืนไรเฟิลอัตโนมัติ แต่ก็เป็นอาวุธมาตรฐานที่ใช้ในกองทัพ ซึ่งมีความสุดยอดกว่าปืนของพวกนักล่าสัตว์บนภูเขาฉางไป๋ซาน และใครจะรู้ว่ามันไม่สามารถทำอะไรเฮยเจียวได้เลย
หูหงเต๋อมองการกระทำของเยี่ยเทียนอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แล้วจึงเอ่ยถาม “เยี่ยเทียน พวกเธอหมายความว่ายังไง?”
“ผมกลัวมันจะกินคนเยอะ เป็นเหตุให้กองทหารมา จึงอยากให้มันอยู่นิ่งๆ หน่อยครับ”
เยี่ยเทียนเกาศีรษะแกรกๆ เพราะอาวุธที่มีอานุภาพมากที่สุดที่อยู่ในมือกลับไม่สามารถสั่นสะเทือนสยบเฮยเจียวได้เลย ดังนั้นคำพูดของเขาจึงไม่แรงโน้มน้าว
“มีวิธีง่ายมาก!” หูหงเต๋อคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงวิ่งไปที่กระเป๋าเป้ที่วางอยู่ชายป่า จากนั้นจึงหยิบวัตถุกลมๆ ออกมาสองอัน พลางพูด “เธอลองเอาเจ้านี่ไปลอง!”
เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในมือของหูหงเต๋อ เฮยเจียวเหมือนจะรับรู้ได้ แล้วจึงรวบตัวพรึบถอยไปข้างหลัง ถอยไปจนกระทั่งถึงในหุบเขา แล้วจึงยื่นศีรษะออกมา พร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เหล่าหู ไปเอาของพวกนี้มาจากไหน?” เมื่อเห็นสิ่งของพวกนี้ เยี่ยเทียนจึงตกใจมาก เพราะมันคือระเบิดมือต่อสู้รถถัง
หูหงเต๋อชี้ไปที่กระเป๋าสีดำใบใหญ่แล้วพูด “หามาจากในกระเป๋าของเมิ่งตาบอดกับพวกสองสามคนนั้น อ้อใช่ ยังมีหนังเสือที่ยังไม่ได้ฟอก คาดว่าเพิ่งจะล่ามาได้สองสามวัน”
เมื่อเห็นการกระทำของเฮยเจียว เยี่ยเทียนจึงรู้ว่าระเบิดมือมีพลังการคุกคามกับมันมาก แล้วจึงพูดทันที “เหล่าหู ผมใช้ของสิ่งนี้ไม่ค่อยเป็น คุณช่วยโยนไปหนึ่งอันทำให้เฮยเจียวตกใจหน่อย!”
“ได้!” หูหงเต๋อพยักหน้า แล้วจึงใช้นิ้วโป้งช้อนและดึงสลักออก จากนั้นจึงโยนไปที่ริมป่าที่อยู่ไกลๆ
หลังจากสองสามวินาทีผ่านไป จึงเกิดเสียงดัง “ตูม” และหิมะที่อยู่บนพื้นจึงระเบิดออกแล้วลอยสูงขึ้นสิบกว่าเมตร รากของต้นไวท์เบิร์ชหนาเท่าปากถ้วยก็ถูกระเบิดขาดเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นก็ล้มลงมาทางเยี่ยเทียนและคนอื่นๆ
อย่าว่าแต่เฮยเจียวเลย แม้แต่เยี่ยเทียนก็ยังตกใจ เขาเคยต่อสู้กับคนอื่นด้วยปืนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ไม่เคยเห็นระเบิดมือที่เป็นอาวุธทำลายล้างขนาดนี้มาก่อน
และสิ่งที่เยี่ยเทียนไม่รู้ก็คือ คราวที่แล้วที่ เทียนหลงเข้ามาที่ไต้หวันค่อนข้างฉุกละหุก จึงไม่ได้พกระเบิดมาด้วย ไม่อย่างนั้นเยี่ยเทียนคงไม่สามารถฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น
“หืม? เฮยเจียวล่ะ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนหันไปที่ปากหุบเขา กลับไม่เห็นเงาของเจ้าตัวนั้นแล้ว เมื่อไล่ตามไปจึงเห็นเฮยเจียวกระโดดเข้าไปในสระน้ำอย่างรู้สึกผิด ทำให้เยี่ยเทียนหัวเราะไม่หยุด
“ฮ่าๆ เจ้าตัวนี้น่าตลกจริงๆ”
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางหยิบสิ่งของที่สามารถทำให้คนบาดเจ็บเพราะได้รับอากาศหนาวชิ้นนั้นออกมาจากในกระเป๋า ยื่นให้หูหงเต๋อแล้วพูด “เหล่าหู ผมจะเข้าไปคุยกับเฮยเจียว คุณดูหน่อยว่านี่คืออะไร อ้อใช่ อย่าให้ผิวหนังสัมผัสมันเด็ดขาดนะ!”
หูหงเต๋อใช้ชีวิตอยู่ในภูเขาฉางไป๋ซานมานาน และของสิ่งนี้ก็เกิดที่ภูเขาฉางไป๋ซานเช่นกัน เยี่ยเทียนจึงอยากจะรู้ว่ารู้ความเป็นมาของสิ่งนี้บ้างไหม
“กุ…กรุ กรุ!”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนมามาที่ริมสระ เฮยเจียวจึงโผล่พรวดออกมาจากในสระน้ำ พร้อมกับกรงเล็บทั้งสองข้างโบกไปมาข้างหน้าตัวไม่หยุด และในที่สุดดวงตาก็เผยอารมณ์ของความหวาดกลัวออกมา
“รู้จักกลัวแล้วใช่ไหม? มีคนข้างนอกมากมายที่มีอาวุธแบบนี้ ต่อไปแกห้ามฆ่าใครอีก แล้วก็อย่าอยู่ห่างจากบึงน้ำมังกรดำนะ”
เยี่ยเทียนครุ่นคิดแล้วจึงพูดต่อ “ถ้าหากแกรับรู้ว่ามีคนเข้าใกล้ ก็ใช้อากาศพิษปิดหุบเขาไปเลย รอให้คนออกไปแล้ว แล้วค่อยปรับลมหายใจ อย่าให้ใครเห็นรูปร่างของแกเด็ดขาด”
เยี่ยเทียนรู้แล้วว่า อากาศพิษที่ปกคุลมบึงน้ำมังกรดำนี้ เกิดจากที่เฮยเจียวปรับลมหายใจแล้วปล่อยออกมาในตอนเช้ากับตอนพลบค่ำ
แต่ไม่รู้ทำไมหลังจากที่เฮยเจียวปล่อยลมหายใจออกมาผสมกับพลังจักรวาลที่อยู่ในหุบเขาแล้ว จึงกลายเป็นอากาศพิษไปได้ และยังทำให้ลักษณะของพิษมีความรุนแรงหลายเท่าตัว ทำให้คนหรือสัตว์ที่สัมผัสต้องตายทั้งหมด
“กรุกรุ!” ครั้งนี้หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เฮยเจียวจึงพยักหน้าติดต่อกัน เพราะมันที่มีชีวิตมากว่าหนึ่งร้อยปี จึงรู้ว่าชีวิตนั้นมีค่านัก
“น่าเสียดายฉันไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นาน วันนี้เราจากกันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร”
ถึงแม้ในโลกใบนี้จะมีคนนับหมื่นล้านคน แต่นอกจากศิษย์พี่ทั้งสองคนแล้ว เฮยเจียวกลับเป็นสิ่งเดียวที่เยี่ยเทียนพบว่าอยู่ในสายเดียวกันกับเขา จึงทำให้เขารู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
“กรุกรุ…” เหมือนเฮยเจียวจะเข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน ดวงตาจึงปรากฏความอาลัยอาวรณ์ออกมา จากนั้นจึงใช้ปากกัดขากางเกงของเยี่ยเทียนไม่หยุด
เยี่ยเทียนนั่งลงบนพื้น ใช้มือลูบศีรษะที่นูนขึ้นมาของเฮยเจียวพลางพูด “แกเหมาะที่จะอยู่ในภูเขาลูกใหญ่ ก็เหมือนฉันที่เหมาะสมกับโลกภายนอก เฮยเจียว วันหลังฉันมาจะหาแกอีกแน่นอน รอให้ถึงวันที่แกเปลี่ยนจากเจียว(มังกรคะนองน้ำ) กลายเป็นหลง (มังกร)!”
การเข้าภูเขาในครั้งนี้ใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์กว่าแล้ว เยี่ยเทียนกลัวอวี๋ชิงหย่าจะคิดถึง หลังจากนั่งอยู่ในหุบเขาหนึ่งชั่วโมงกว่า เยี่ยเทียนจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกมานอกหุบเขา
เฮยเจียวปฏิบัติตามคำสั่งของเยี่ยเทียน กระโดดลงไปอยู่ในบึงน้ำแล้วส่งเสียงครวญครางด้วยความเศร้าโศกออกมา จากนั้นจึงพ่นอากาศพิษออกมาจากปากของมัน หลังจากผสมกับพลังจักรวาลที่อยู่โดยรอบแล้วจึงค่อยๆ ปกคลุมหุบเขาลูกนี้อย่างช้าๆ