หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 189

ฤทธิ์ของยันต์รวมหยาง

“ยันต์รวมหยาง? มันคืออะไรน่ะ? จะใช้ได้ผลรึ?”

เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยิบกระดาษสีเหลืองออกมาหนึ่งแผ่น บนกระดาษเขียนอักขระหน้าตาพิลึกยึกๆ ยือๆ ไว้ แล้วบอกว่าสามารถคุ้มครองหลานสาวไม่ให้อาการป่วยกำเริบได้ สีหน้าของถังเหวินหย่วนก็บอกเยี่ยเทียนอยู่ชัดๆ เลยว่า เขาไม่เชื่อ!

“เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณนะเหล่าถัง ยันต์นี่น่ะใช้กับโรคของเสี่ยวเสวี่ยได้ผลยิ่งกว่าของขลังนั่นเสียอีก…”

เยี่ยเทียนค้อนใส่ถังเหวินหย่วนอย่างไม่สบอารมณ์ การผลิตของขลังนั้นขอเพียงพบจุดรวมพลังวิเศษ แค่เยี่ยเทียนตั้งค่ายกลชุมนุมพลังขึ้น เมื่อค่ายกลเริ่มทำงานก็จะสามารถสร้างของขลังขึ้นมาได้แล้ว เหมือนกับปล่อยให้เครื่องจักรในโรงงานประกอบชิ้นส่วนขึ้นมาเอง

แต่ในการผลิตยันต์นั้น เยี่ยเทียนจะต้องสูญเสียพลังชี่ดั้งเดิมของตัวเอง ลำพังเฉพาะประเด็นนี้ ในความคิดของเยี่ยเทียนก็ถือว่ายันต์ไม่ได้มีคุณค่าด้อยไปกว่าของขลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว

และยันต์รวมหยางนี้ก็มีคุณสมบัติในการรวบรวมพลังหยางจากธรรมชาติโดยเฉพาะ จึงมีฤทธิ์ข่มโรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาดของถังเสวียเสวี่ยได้พอดี หากพกยันต์ติดตัวไว้ตลอดเวลา ยังจะสามารถขจัดความทรมานจากอาการหยินเย็นกำเริบในแต่ละวันของถังเสวียเสวี่ยได้อีกด้วย

“จริงรึเปล่าเนี่ย?”

ถังเหวินหย่วนรับยันต์รวมหยางไปด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ แล้วจับดูพลิกไปพลิกมา เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่า แค่กระดาษแผ่นเดียวนี่ จะมีอานุภาพสูงยิ่งกว่าของขลังที่ช่วยให้คนรอดชีวิตได้เสียอีก?

แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยรักษาโรคของหลานสาวได้แล้ว แม้ในใจถังเหวินหย่วนจะไม่เชื่อถือในประสิทธิภาพของยันต์ใบนี้เท่าไรนัก แต่ก็ไม่กล้าไปซักไซ้เยี่ยเทียนอีก

ขณะที่ถังเหวินหย่วนกำลังรู้สึกสับสน หลัวจื้อปิ่งและเกาเฉียนจิ้นก็เดินออกมาจากห้องด้านใน

ดูท่าทางเกาเฉียนจิ้นจะพึงพอใจกับการให้บริการด้วยคาถา ‘เฟื่อง’ ของหลัวจื้อปิ่งไม่น้อยเลย จึงมีสีหน้าเปล่งปลั่งอารมณ์เบิกบานอย่างยิ่ง เมื่อเห็นถังเหวินหย่วนกำลังพินิจพิจารณาดูกระดาษแผ่นหนึ่งในมืออย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาก็อดถามด้วยความแปลกใจไม่ได้ “คุณปู่ถัง ที่ถืออยู่คืออะไรหรือครับ?”

ถังเหวินหย่วนตอบอย่างครุ่นคิด “เยี่ยเทียนบอกว่าเป็นยันต์น่ะ ช่วยให้อาการป่วยของเสี่ยวเสวี่ยไม่กำเริบได้…”

“ยันต์?”

เกาเฉียนจิ้นตาเป็นประกาย แล้วหันหน้าไปพูดกับหลงเสวี่ยเหลียน “เสวี่ยเหลียน เมื่อไม่นานมานี้อาเขยของเธอก็ไปได้ยันต์อะไรสักอย่างมาใบหนึ่งเหมือนกันนี่ เห็นเก็บไว้อย่างกับเป็นสมบัติ ไม่ยอมให้ใครดูเลยไม่ใช่หรือ?”

เนื่องจากเขาสนิทสนมกับหลงเสวี่ยเหลียนมากขึ้น เกาเฉียนจิ้นจึงพลอยได้พบปะกับเหลยอู้มากขึ้นตามไปด้วย และรู้ว่าเหลยอู้มีกระดาษเหลืองอยู่แผ่นหนึ่ง ปกติไม่ยอมปล่อยให้ห่างตัวเลยแม้แต่ชั่วขณะ เกาเฉียนจิ้นเคยเห็นมาครั้งหนึ่ง แต่เหลย อู้กลับไม่ยอมให้เขาแตะต้องเลยแม้แต่นิดเดียว

“จริงด้วย ยันต์นั่นอาเขยให้ เหมือนจะให้…ให้เยี่ยเทียนเป็นคนวาดนี่แหละมั้ง?”

เมื่อเกาเฉียนจิ้นเอ่ยถึงเรื่องนี้ หลงเสวี่ยเหลียนก็นึกขึ้นมาได้ แต่เธอไม่ค่อยสนใจพวกเครื่องรางของขลังเท่าไรนัก จึงไม่ได้จำแม่นเหมือนกับเกาเฉียนจิ้น

“อ้อ มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ? แล้วมันเป็นยันต์อะไรล่ะ?” พอได้ยินเกาเฉียนจิ้นกับหลงเสวี่ยเหลียนคุยกัน ถังเหวินหย่วนก็ตาลุกวาว

“ได้ยิน…ได้ยินอาเขยหนูบอกมาว่า เหมือนจะ เหมือนจะเรียกว่า…เรียกว่ายันต์วิเศษอะไรนี่ละมั้งคะ?”

เคราะห์ของเหลยอู้นั้นคือเสนียดดอกท้อ ไม่ค่อยเหมาะที่จะนำมาพูดกับหญิงสาว ก่อนหน้านี้จึงเอ่ยถึงไปแค่ครั้งเดียว ดังนั้นหลงเสวี่ยเหลียนเองก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน

“ยันต์วิเศษปลิดดอกท้อ ดวงของอาเขยพี่น่ะโดนเสนียดดอกท้อ เลยต้องพกยันต์นั่นไว้ต้านพลังพิฆาต…”

เยี่ยเทียนรู้ว่า ต่อให้ตัวเองไม่พูด ตาแก่ถังเหวินหย่วนนี่ก็คงจะไปขอยืนยันดูกับเหลยอู้อยู่ดี และคนที่รู้เกี่ยวกับเรื่องของเหลยอู้ก็มีอยู่หลายคน จึงไม่ถือว่าเขานำความลับของคนอื่นมาเผยแพร่

“ใช่ๆ ไอ้ที่เรียกว่ายันต์วิเศษปลิดดอกท้ออะไรเนี่ยแหละ ใช้แล้วเห็นผลชะงัดทีเดียวละ…”

หลงเสวี่ยเหลียนเห็นถังเหวินหย่วนยังท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงอดพูดไม่ได้ว่า “คุณปู่ถังคะ คุณปู่ยังไม่รู้อะไร เมื่อก่อนอาเขยหนูน่ะเจ้าชู้อย่างกับอะไรดี มีผู้หญิงห้อมล้อมตั้งเป็นโขยง แต่หลังจากที่เริ่มพกยันต์ดอกท้ออะไรเนี่ยแหละ เขากับอาหญิงของหนูก็ดีกันมากขึ้นเยอะเลย ยันต์นี่มันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ นะคะ…”

ที่จริงแล้วการขจัดเสนียดดอกท้อของเหลยอู้นั้น ปัจจัยหลักคือการแก้ไขฮวงจุ้ยบ้านพักของเขา ยันต์วิเศษปลิดดอกท้อเพียงแต่ช่วยเกื้อหนุนอีกทางหนึ่งเท่านั้นเอง แต่แน่นอนว่า เยี่ยเทียนคงไม่มาอธิบายให้คนพวกนี้ฟังหรอก

“เสวี่ยเหลียน นี่เธอพูดจริงหรือ?”

ถังเหวินหย่วนแม้ปากจะถามหลงเสวี่ยเหลียนอยู่ แต่สายตากลับจับจ้องไปที่เยี่ยเทียนตลอดเวลา เพราะเขาอยากจะได้ยินคำยืนยันจากปากของเยี่ยเทียน

“ก็ต้องจริงน่ะสิคะ ถ้าไม่เชื่อคุณปู่ก็ไปถามอาเขยหนูเอาเองเถอะ…” เมื่อเจตนาอันดีของตัวเองถูกสงสัย หลงเสวี่ยเหลียนจึงเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมา เพียงแต่เธอไม่รู้ว่า คุณปู่ไม่ได้สนใจฟังคำตอบของเธอเลยสักนิด

“ที่ควรบอกผมก็บอกไปหมดแล้ว เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณนะ จริงสิ หนึ่งปีหลังจากนี้พาเสี่ยวเสวี่ยมาปักกิ่งอีกนะครับ ถ้าถึงตอนนั้นร่างกายผมยังไม่ฟื้นฟูดี ก็จะให้เธออยู่ประคับประคองอาการที่ปักกิ่งไปอีกสักครึ่งปี…”

เยี่ยเทียนคร้านจะคุยกับตาจิ้งจอกเฒ่าแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าเขาอายุมากแล้ว และยังเป็นแหล่งรายได้ของเขาอยู่ด้วย เยี่ยเทียนก็คงไม่มาสนใจเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเองแบบนี้หรอก นึกว่าการฝืนลิขิตพลิกชะตานี่มันง่ายนักรึไง? คราวก่อนเยี่ยเทียนเกือบจะเผลอเอาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองไปทิ้งแล้วด้วยซ้ำ!

“เอ้อ เยี่ยเทียน หรือว่า…หรือให้เสี่ยวเสวี่ยอยู่ที่นี่ต่อไปเลยดีกว่านะ ถึงยังไงเธอก็ไปเรียนหนังสือไม่ได้อยู่แล้ว ตามฉันกลับไปฮ่องกงก็ไม่มีอะไรทำหรอก…”

แม้เขาจะเชื่อมั่นในคำพูดของเยี่ยเทียนอยู่มาก แต่การพาหลานสาวกลับไปด้วยนั้น ก็ดูไม่น่าจะปลอดภัยเท่ากับให้อยู่ใกล้ๆ เยี่ยเทียนหรอกจริงไหม? ถังเหวินหย่วนจึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมาในฉับพลัน

ตามความคิดของถังเหวินหย่วน การที่เขาฝากหลานสาวสุดที่รักไว้กับเยี่ยเทียนนี้ ก็แปลว่าเขากำลังแสดงความเชื่อมั่นต่อเยี่ยเทียน และจะว่าไป ถ้าถังเสวียเสวี่ยจะมาอยู่กับเยี่ยเทียน คนเป็นปู่ก็ต้องออกค่าใช้จ่ายให้อยู่แล้ว ไม่ปล่อยให้หลานสาวต้องอยู่อย่างลำบากหรอกจริงไหม?

“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว ตอนนี้ผมต้องฟื้นฟูร่างกาย ไม่มีเวลาจะมาปรนนิบัติหลานสาวคุณหรอกนะ เหล่าถัง คุณน่ะอย่าได้คืบจะเอาศอกสิ”

ใครเลยจะรู้ว่า เยี่ยเทียนกลับไม่ไว้หน้าถังเหวินหย่วนเลยสักนิด ชักสีหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ ขาดก็แต่ไม่ได้ยกมือขึ้นมาชี้หน้าด่าถังเหวินหย่วนเท่านั้นเอง การเปลี่ยนสีหน้าอย่างกะทันหันนี้ ทำเอาคนทั้งห้องเห็นแล้วตกตะลึงจนอ้าปากค้างไปตามๆ กัน

คงไม่มีใครคาดคิดกันเลยว่า เยี่ยเทียนจงใจที่จะทำแบบนั้น ในหนึ่งปีต่อจากนี้ไป เขาไม่มีเวลาจะไปยุ่งกับเรื่องอื่นแล้วจริงๆ หลังจากดัดแปลงเรือนสี่ประสานเสร็จสมบูรณ์แล้ว เยี่ยเทียนก็จะต้องเก็บตัวอยู่ในนั้นเป็นเวลานาน อาจจะไม่ได้ก้าวออกจากประตูไปแม้แต่ก้าวเดียวเลยด้วยซ้ำ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาจัดการกับชีวิตของถังเสวียเสวี่ยล่ะ?

เยี่ยเทียนรู้ว่า ตาแก่คนนี้นิสัยชอบเซ้าซี้ เกาะติดหนึบอย่างกับขนมเยลลี่ ถ้าไม่ชักสีหน้าใส่เขาเสียบ้าง เดี๋ยวก็คงจะยกเรื่องมิตรไมตรีระหว่างผู้ร่วมอุดมการณ์กลุ่มชิงปังซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเยี่ยเทียนเลยมาพูดอีกแน่ๆ

ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงได้จงใจชักสีหน้าไปแบบนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ถังเหวินหย่วนปล่อยลูกตื๊ออะไรออกมาอีก

“ได้ๆ ผม…ผมจะทำตามที่คุณบอกนะ!”

พอถังเหวินหย่วนโดนเยี่ยเทียนด่าก็ตื่นตระหนกขึ้นมา จนชะงักงันไม่ตอบสนองไปชั่วขณะ เพราะไม่มีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้มาอย่างน้อยๆ ก็ยี่สิบสามสิบปีแล้ว

แต่ไม่ว่าเหล่าถังจะขัดข้องใจสักแค่ไหน ก็คงต้องทนต่อไป ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เยี่ยเทียนสามารถช่วยชีวิตหลานสาวได้ ลำพังแค่สถานะของเยี่ยเทียน ถ้าเขานำบัตรรับรองจากหลี่ซั่นหยวนไปยื่นที่สมาคมหงเหมินละก็ อย่าว่าแต่แค่ด่าเลย ต่อให้ตบเขาสักหนึ่งผัวะ เขาก็คงได้แต่จำใจยอมรับ

‘ยอดคน ยอดคนแท้ๆ เลยนะเนี่ย!’

ผู้ที่ได้เปิดหูเปิดตามากที่สุดในวันนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นพวกเกาเฉียนจิ้นนี่เอง โดยเฉพาะหูจวิน ซึ่งกำลังโห่ร้องชื่นชมอยู่ในใจเป็นการใหญ่ ได้เห็นเจ้าพ่อระดับสูงสุดในแวดวงคนเชื้อสายจีนยอมโดนดุด่าอย่างพินอบพิเทาต่อหน้าต่อตาแบบนี้ สงสัยเอาไปพูดที่ไหนก็คงไม่มีใครเชื่อ

“เยี่ยเทียน แล้ว…แล้วยังมีอะไรที่ต้องระวังอีกไหม?” ในเมื่อเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของหลานสาว ถังเหวิน หย่วนจึงต้องถามละเอียดหน่อย

“ไม่มีอะไรแล้วละครับ ยันต์ใบนั้นเดี๋ยวคุณก็ไปหาคนทำซองใส่ให้แล้วกันนะ เอาที่กันน้ำกันไฟได้…”

เยี่ยเทียนพูดไป ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ และมองไปที่ถังเหวินหย่วนด้วยสีหน้าแปลกๆ  “เหล่าถัง คงไม่ใช่ว่าคุณจะเอายันต์รวมหยางไปเสียเฉยๆ แบบนี้หรอกนะ?”

“แล้ว…แล้วยังต้องทำอะไรอีกล่ะ?” ถังเหวินหย่วนได้ยินเยี่ยเทียนถามก็อึ้งไป

“ตอนที่ผมวาดยันต์นี่น่ะต้องเสียพลังชี่ไปตั้งมากมาย คุณเห็นเป็นผักกาดขาวแจกฟรีในตลาดรึไงฮึ?”

พอนึกถึงเมื่อครู่นี้ที่ตัวเองปฏิเสธเงินจากถังเหวินหย่วนไปหลายสิบล้าน คราวนี้เยี่ยเทียนก็ชักจะนึกเจ็บใจขึ้นมาแล้ว ถ้ายังพูดจาไพเราะอยู่ได้ก็แปลกแล้วล่ะ “ผมก็ไม่ใช่พวกทำการกุศล แล้วทำไมจะต้องมาแจกยันต์คุณฟรีๆ ด้วยล่ะ? เราสนิทกันมากรึไง?”

“อ้าว คุณ…คุณจะคิดเท่าไหร่ก็บอกมาก็ได้นี่”

พอได้ยินคำพูดตอนท้ายของเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนถึงเพิ่งจะโต้ตอบออกมาได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้มารยาทสังคม แต่ประเด็นคือ เมื่อกี้เห็นเยี่ยเทียนเพิ่งจะวางท่าอย่างผู้ทรงคุณธรรม เห็นเงินทองเป็นดั่งธุลีดินอยู่เลยนี่นา แล้วใครจะไปนึกล่ะว่าเขาจะมาคิดเงินค่ากระดาษแผ่นเดียวแบบนี้?

“ท่านถัง คิดเงินค่าอะไรหรือครับ?” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น เป็นเสียงของชายวัยกลางคนที่เปิดประตูให้พวกเยี่ยเทียนแล้วเดินจากไปคนนั้นนั่นเอง ไม่รู้ว่ากลับเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไร

“หนูรู้มาว่า ยันต์ของอาเขยหนูใบนั้นน่ะซื้อมาสามแสนนะคะ…” ประสาทส่วนไหนของหลงเสวี่ยเหลียนเกิดขัดข้องขึ้นมาก็ไม่ทราบ จู่ๆ ก็พูดแทรกขึ้นมาแบบนั้น จนเยี่ยเทียนแทบจะกระอักเลือด

“ได้เลย งั้นก็สามแสนแล้วกัน นี่ครับ…”

เยี่ยเทียนขึงตาใส่หลงเสวี่ยเหลียนอย่างดุร้ายแวบหนึ่ง แล้วแบมือให้ถังเหวินหย่วน ส่วนในใจนั้นเลือดไหลซิบๆ ‘ปัดโธ่เว้ย อาเขยหล่อนน่ะเอามาเทียบกับถังเหวินหย่วนได้ที่ไหนเล่า? นี่มันมหาเศรษฐีพันล้านเลยนะโว้ย!’

“ได้ๆ อาติง หยิบเช็คมาให้เยี่ยเทียนหน่อยซิ เขียนไปห้าแสนเลยนะ!”

ถังเหวินหย่วนสั่งให้ชายวัยกลางคนที่เมื่อครู่นี้หายไปไหนมาไม่ทราบนั้นเขียนเช็คให้เยี่ยเทียนด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน เพราะตอนนี้สีหน้าท่าทางของเยี่ยเทียนดูแปลกเหลือเกิน แต่เขาก็ไม่กล้าจ่ายให้เยอะเกินไป กลัวว่าเดี๋ยวจะไปยั่วโทสะอีกฝ่ายขึ้นมาอีก

‘ขี้งกจริง…’

เยี่ยเทียนลอบด่าในใจ รับเช็คมาจากลุงติง แล้วเขียนเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงบนกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน “เหล่าถัง งั้นผมไปก่อนละนะ ในหนึ่งปีนี้ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็อย่ามารบกวนผมล่ะ ไม่สิ ถึงจะมีเรื่องก็ไม่ต้องมาหาผมหรอก!”

“พูดยังไงของเอ็งวะ?!”

“อาติง กลับมา!”

ลุงติงที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกพอได้ยินเยี่ยเทียนถึงกับกล้าเรียกถังเหวินหย่วนว่าเหล่าถัง ลูกตาก็เหลือกถลนออกมาทันที สาวเท้าหมายจะตามเยี่ยเทียนไป แต่กลับถูกถังเหวินหย่วนเรียกไว้ก่อน

“ลุงติง จิตสังหารบนตัวลุงนี่แรงไปหน่อยนะ ถ้าไม่ขจัดไปเสียบ้าง เดี๋ยวบั้นปลายชีวิตจะอาภัพเอานา…” เสียงของเยี่ยเทียนดังแว่วเข้ามาจากนอกประตู

“แหะๆ เหล่าเกา คุณถังครับ ผมจะไปส่งเยี่ยเทียนสักหน่อยนะครับ ผมขอตัวก่อนละ…” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนออกไปจากห้องแล้ว หูจวินก็รีบพูดชี้แจงขึ้น แล้วเดินตามหลังไปทันที

หูจวินมีประสบการณ์ในสังคมมากมากกว่าเกาเฉียนจิ้น จึงดูออกแต่แรกแล้วว่า ‘อาจารย์หลัว’ คนนั้นออกจะดูไม่ชอบมาพากลอยู่ แทนที่จะไปขอเสี่ยงทายดูดวงกับเขา ไม่สู้ไปขอดูกับเยี่ยเทียนยังจะดีกว่าอีก

“ท่านถังครับ เจ้า…เจ้าหมอนั่นมันก็เกินไปแล้วนะครับ”

พอได้ยินเยี่ยเทียนแช่งตัวเองว่าบั้นปลายชีวิตจะอาภัพ ชายวัยกลางคนก็โมโหจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ถ้าไม่ใช่เพราะความเคารพที่มีต่อถังเหวินหย่วน เขาก็คงจะตามออกไปจัดการเยี่ยเทียนจริงๆ แล้ว

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset